JJNY : เพื่อไทยโพสต์วิดีโอ 8ปี รบ.| "ธนาธร"ชี้กลุ่มทุนไม่น่ารังเกียจ| สมชัยยัน 7 ก.พ.66 เส้นตาย| เอกชนโอดต้นทุนสูง

เพื่อไทย โพสต์วิดีโอ 8 ปี รัฐบาล vs ชาวโลก ชวนติดตามประชุมใหญ่วิสามัญ 6 ธ.ค.นี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3708387
  
 
เพื่อไทย โพสต์วิดีโอ 8 ปี รัฐบาล vs ชาวโลก ชวนติดตามประชุมใหญ่วิสามัญ 6 ธ.ค.นี้
 
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟซบุ๊ก พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความกำหนดการ พร้อมคลิปวิดีโอ การประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 1 พ.ศ.2565 ซึ่งจะจัดขึ้นวันที่ 6 ธันวาคมนี้
 
ซึ่งภายในงานจะมีการแสดงวิสัยทัศน์ “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน Think Big, Act Smart, For All Thais” โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย และมีการประชุมตามระเบียบวาระ เลือกคณะกรรมการบริหาร (กก.บห.) แทนตำแหน่งที่ว่าง
 
โดยในคลิปวิดีโอมีลักษณะรวมภาพช่วงเวลาที่หายไปตลอด 8 ปีภายใต้ความล้มเหลวของรัฐบาล ชวนคิด คนไทยมีชีวิตเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่ และพลาดโอกาสอะไรไปบ้าง ในทุกด้านของประเทศ



"ธนาธร" ชี้ กลุ่มทุนไม่น่ารังเกียจ หากไม่เกาะอำนาจรัฐ เอื้อประโยชน์ตัวเอง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2569278

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมวงสมาชิกสัมพันธ์ก้าวไกลขอนแก่น ชี้ กลุ่มทุน ไม่ได้น่ารังเกียจถ้าสร้างนวัตกรรม แต่น่ารังเกียจที่ยึดเกาะอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ตัวเอง
 
วันที่ 3 ธ.ค. 65 ที่ Jump Space จ.ขอนแก่น นายศรายุทธ ใจหลัก ผู้อำนวยการพรรคก้าวไกล และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมงานประชุมสมาชิกพรรคก้าวไกล เพื่อพบปะสมาชิกพรรคและรณรงค์การขยายฐานสมาชิกให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง

นายศรายุทธ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลวันนี้มีสมาชิกพรรคทั่วประเทศ 57,544 คน เฉพาะที่ขอนแก่นมีสมาชิกพรรค 2,250 คน ในวันต่อๆ ไป เราจะเพิ่มจำนวนสมาชิกพรรคในขอนแก่นให้มากขึ้น เป็น 5,000 คน 10,000 คน และไปให้ถึง 1,000,000 คน เช่นเดียวกับทุกๆ จังหวัด เพื่อทำให้พรรคก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่เข้มแข็งจากฐานสมาชิก เป็นหัวหอกนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่โครงสร้างสังคม การเมือง และเศรษฐกิจไทย ตนจึงขอเชิญชวนประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ให้มาร่วมสร้างฐานสมาชิก ร่วมสร้างพรรคไปด้วยกัน
   
ด้านนายธนาธร กล่าวว่า พรรคการเมืองหนึ่งๆ จะเกิดขึ้นได้ ต้องเริ่มจากแนวอุดมการณ์และแนวนโยบายที่แต่ละคนเห็นตรงกันว่าอยากให้ประเทศไทยไปทางไหน ปัจจุบันปัญหาสำคัญของประเทศไทย คือเรื่องความเหลื่อมล้ำ เวลาเราบอกว่าเศรษฐกิจโตเท่าไร จีดีพีโตกี่เปอร์เซ็นต์ มันไม่เคยบอกว่าที่โตนั้น ไปโตที่ใคร นี่คือเหตุผลที่เราไม่พอใจว่าการเติบโตของเศรษฐกิจมันช้าเกินไป และที่ออกดอกออกผลเติบโต ก็ไปโตที่บางคนเท่านั้น ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก และเรื่องนี้แยกไม่ออกกับโครงสร้างการพัฒนาการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้น ถ้าใครพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำ แต่ไม่พูดเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองที่ผิดเพี้ยน คนนั้นก็กำลังหลอกตัวเองอยู่
   
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำส่งผลกระทบต่อสังคม ใน 20 ปีที่ผ่านมา อัตราเด็กเกิดใหม่จาก 1 ล้านคน/ปี ลดลงต่อเนื่องเหลือเพียง 5 แสนคน/ปี หากตั้งคำถามว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาในสังคมนี้ต้องจ่ายเท่าไร ค่าเฉลี่ยรายได้ของคนที่อยู่ตรงกลางของทั้งประเทศคือ 7,500 บาท/เดือน/คน หรือ 15,000 บาท/เดือน เป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับสามีภรรยาคู่หนึ่งในการเลี้ยงเด็กให้เติบโตได้อย่างมีคุณภาพหรือไม่ เมื่อคนเกิดน้อยลง และประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย หมายความว่าประชากรวัยทำงานตอนนี้และในอนาคตจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อดูแลเด็กและผู้สูงอายุ เราปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีมาตรการรับมือที่ชัดเจนเพียงพอได้อย่างไร
   
ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าตั้งคำถาม ว่าทำไมกลุ่มทุนขนาดใหญ่ของประเทศไทยจึงสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ที่ไม่ว่าจะมองทางใด เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการรัฐประหารปี 2557 รวมถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจในปัจจุบัน แม้การเป็นบริษัทใหญ่หรือเป็นคนรวย ไม่ใช่เรื่องที่น่ารังเกียจในตัวมันเอง แต่สิ่งที่น่ารังเกียจคือการเติบโตหรือความมั่งคั่งของคนกลุ่มนี้ ไม่ได้มาจากการผลิตนวัตกรรมเพื่อพัฒนาสังคม แต่มาจากการยึดเกาะกับอำนาจรัฐ ล็อบบี้นโยบายรัฐ และสร้างกฎหมายผูกขาดให้กับกลุ่มตัวเอง นี่คือความบิดเบี้ยวของประเทศไทย และเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นพรรคที่พร้อมต่อสู้กับทุนผูกขาด
   
ตลอดการทำงานของเราตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่ มีคนเสนอว่าอย่าอภิปรายรัฐมนตรีคนนั้นคนนี้เลย หรืออย่างน้อยช่วยเปิดข้อสอบก่อนก็ยังดี แล้วเขาก็เสนอเงินหลักล้านให้เราทำ แต่เราไม่รับ เพราะเราเชื่อว่าพรรคการเมืองหนึ่งจะทำเพื่อประชาชนได้ ก็เพราะพรรคการเมืองนั้นถูกสร้างมาจากประชาชนและสมาชิกพรรค และเพราะเราไม่ได้รับเงินพวกเขา เราถึงกล้าเสนอกฎหมายหยุดทุนผูกขาด เราจึงกล้าตัดสินใจได้อย่างอิสระอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์ประชาชน” นายธนาธรกล่าว.



สมชัย ยัน 7 ก.พ.66 เส้นตายนักการเมืองย้ายหาพรรคใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3708320

สมชัย วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองก่อนเลือกตั้ง ยัน 7 ก.พ.66 เส้นตายนักการเมืองย้ายหาพรรคใหม่
 
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบายพรรคเสรีรวมไทย (สร.) และอดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ส.ส.จะแห่ลาออกช่วงปลายสมัยประชุมสภาว่า สำหรับคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง มีด้วยกัน 2 กรณี กรณีแรกคือ สภาอยู่ครบวาระจนถึงวันที่ 23 มีนาคม การนับอายุการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจะต้องเป็นสมาชิกพรรคใดพรรคหนึ่งเพียงพรรคเดียว ไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง
ซึ่งกรณีครบวาระ ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน ตามไทม์ไลน์ที่ กกต.วางไว้ คือจะมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2566 ดังนั้น หากนับย้อน 90 วัน จุดปลอดภัยของการสังกัดพรรคการเมืองกรณีสภาอยู่ครบวาระ คือต้องสังกัดพรรคการเมืองที่ประสงค์ลงเลือกตั้งก่อนวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566
 
ส่วนกรณีหากมีการยุบสภาเกิดขึ้น การเลือกตั้งจะต้องจัดภายในเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน และต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 30 วัน กรณีหลังจะมีความยืดหยุ่นสูงกว่า เพราะยุบสภาแล้วก็ยังสามารถเปลี่ยนพรรคการเมืองใหม่ได้
 
นายสมชัยกล่าวต่อว่า ถ้ามองเทคนิคทางการเมืองของคนที่เป็นนักการเมือง คิดว่าเพื่อความปลอดภัยจะต้องยึดวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นหลัก เพราะหากถึงปลายเดือนมกราคม 2566 ถ้ายังไม่มีการยุบสภาเกิดขึ้น ถ้าต้องการย้ายพรรคต้องลาออกจากพรรคเดิมเพื่อหาสังกัดพรรคใหม่ เพราะถ้าหากไม่ลาออกไปอยู่พรรคใหม่ โดยเชื่อว่านายกฯจะยุบสภาก่อนครบกำหนด หากเข้าเดือนกุมภาพันธ์ 2566 แล้วนายกฯยังไม่ยุบสภา ผลที่เกิดขึ้นคือจะยังไม่สามารถย้ายพรรคได้เลยต้องอยู่พรรคเดิมไป หากพรรคส่งลง ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับใดก็แล้วแต่ไม่มีสิทธิย้ายพรรคได้ ต้องเตือนกันว่าถ้าปลายเดือนมกราคม 2566 จะมีสัญญาณยุบสภาหรือไม่ ถ้าต้องการย้ายพรรคก็ต้องลาออกเพื่อไปสังกัดพรรคใหม่ เพราะเรื่องนี้เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะยุบสภาเมื่อใด
 
เมื่อถามว่า ช่วงปลายสมัย ส.ส.แห่ลาออก จะกระทบกับการประชุมสภาหรือไม่ นายสมชัยกล่าวว่า แน่นอนว่าการประชุมแต่ละครั้งต้องมีคนมาร่วมประชุมเกินกึ่งหนึ่ง ประเด็นอยู่ที่ว่าคนลาออกอยู่ซีกฝั่งฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล ถ้าฝ่ายรัฐบาลมากกว่าอาจเป็นปัญหาว่ารัฐบาลจะไม่มีเสียงข้างมากในสภาทำให้เกิดการแพ้โหวต โดยเฉพาะการลงมติในกฎหมายที่มีความสำคัญ แต่หาก ส.ส.เหลือแค่เพียง 200 คน ถ้าลดลงแบบนั้นดูจากสภาพแล้วไม่น่าคงความเป็นสภาไว้ได้ จะนำไปสู่การให้นายกฯตัดสินใจยุบสภาได้
 
จำนวนเท่าใดไม่สำคัญแต่ว่าต้องเป็นจำนวนที่รัฐบาลมากกว่าฝ่ายค้าน ถ้าน้อยกว่าจะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปไม่ได้ เพราะเวลาเสนออะไรก็จะแพ้ได้ แต่ระยะนี้เชื่อว่าเป็นช่วงที่ทุกฝ่ายเฝ้าดูสถานการณ์มากกว่า อาจมีการเจรจา การไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ผมคิดว่ายังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” นายสมชัยกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่