3 พ.เพื่อไทย ‘พลภูมิ เพ็ญพิสุทธิ์ พงศกร’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ ยุบสภา เปิดทาง รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3697826
3 พ.เพื่อไทย ‘พลภูมิ เพ็ญพิสุทธิ์ พงศกร’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ ยุบสภา เปิดทาง รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ ฟาดแรง 8 ปี ไร้ผลงาน นโยบายหาเสียงทำไม่ได้ มุ่งรักษาอำนาจ
นาย
พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ขณะนี้เป็นช่วงปลายรัฐบาล ที่ทุกพรรคการเมืองเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง แต่ละพรรคการเมืองเริ่มทยอยประกาศนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศกันแล้ว แต่สิ่งที่เกิดคำถามในใจประชาชน คือนโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะพรรคแกนนำหลักของรัฐบาล ที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ยังไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้เลย เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ต่อวัน,เงินเดือนผู้จบ อาชีวะ 18,000 บาทและปริญญาตรี 20,000บาท นโยบายมารดาประชารัฐ เป็นต้น ทำให้เห็นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่รับปากกับประชาชนไว้เลย มัวแต่สนใจแต่ประเด็นการเมืองเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตัวเองไว้ให้ได้นานที่สุด
“
วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะสร้างดาวดวงใหม่เพื่อกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ แบบนี้แล้วประชาชนจะหวังพึ่งอะไรได้ นโยบายที่จะประกาศมาไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้รับความใส่ใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างจากพรรคเพื่อไทย ที่เราเสนอนโยบายอะไรไว้เราทำได้จริง ประชาชนได้รับการแก้ปัญหาตามที่เรารประกาศไว้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองหาเสียงไว้ได้แบบนี้ก็ยุบสภาฯไปเลยดีกว่า ประเทศจะได้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงาน” นาย
พลภูมิ กล่าว
ด้าน น.ส.
เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตยานนาวา บางคอแหลม กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจ และคะแนนลำดับทุจริต Corruption Perceptions Index หรือ CPI คะแนนลดลงอย่างมาก จากภายใต้รัฐบาลของพล.อ.
ประยุทธ์
ส่งผลกระทบภาพรวมในการบริหาร และความไว้ใจจากประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การบริหารงานของพล.อ.
ประยุทธ์นั้น ประชาชนมีความเดือดร้อน ทั้งด้านหนี้สิน ข้าวของแพง และ เงินเฟ้อ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และหนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาข้างหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจในการหารายได้เข้าประเทศนั้นมีไม่มากพอ เมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันมาก แต่รัฐบาลชุดนี้กลับให้ความสำคัญ ในการใช้งบประมาณซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หลายครั้ง ในขณะที่ประชาชนนั้นพบสถานการณ์ยากลำบาก แต่กลับใช้งบประมาณในสิ่งที่ไม่เร่งด่วน โดยเฉพาะการเพิ่มงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธ ทั้งสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคมไทย ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ตนคิดว่า ควรทบทวนเรื่องบทบาทหน้าที่ของทหารว่า ทหารควรอยู่ในการเมืองต่อไปหรือไม่ ?
ขณะที่นาย
พงศกร รัตนเรืองวัฒนา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางกะปิ-วังทองหลางพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชนมีความเดือดร้อน ทั้งเรื่องเศษฐกิจ ปากท้องความเป็นอยู่ ปัญหาสังคมไม่ได้รับการแก้ไข เช่นเรื่องยาเสพติดที่มีการระบาดอย่างหนัก แต่เจ้าหน้าที่ไม่เหลียวแล เป็นผลมาจากการบริหารที่ปล่อยปะละเลย ไม่เอาใจใส่ปัญหาอย่างจริงจัง มีเรื่องทีก็ขันน็อตทีแบบที่เป็นอยู่ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จริงจังกับเรื่องนี้คงไม่มีใครกล้าแตกแถว แต่หากยังทำงานอยู่เหมือนเดิมปัญหานี้คงไม่ได้รับการแก้ไข ถึงอยากขอร้องว่าถ้าจะกลับมาเป็นนายกฯอีกแล้วไม่แก้ปัญหาให้ประชาชนเหมือน 8 ปีที่ผ่านมาอย่ากลับมาดีกว่า
“ช่อ พรรณิการ์” ชวนจับตาร่างแก้ไข รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น จ่อเข้าสภา 29-30 พ.ย.นี้
https://siamrath.co.th/n/403041
“ช่อ พรรณิการ์” ชวนจับตา ร่างแก้ไข รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น จ่อเข้าสภา 29-30 พ.ย. นี้ เชื่อ ส.ส. และ ส.ว.โหวตเห็นชอบ ด้าน “ศิริกัญญา” ชี้ การแบ่งรายได้ให้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ต้องมีรัฐบาลที่มีเจตจำนงทางการเมืองเข้าไปผลักดัน
วันที่ 28 พ.ย.65 น.ส.
พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า, น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.
วราภรณ์ แสงชา วิทยากร
อิสระและข้าราชการส่วนท้องถิ่น และน.ส.ชั
ชฎา กำลังแพทย์ นักศึกษาปริญญาเอก ประเทศญี่ปุ่น ที่ผลักดันด้านการกระจายอำนาจ ดำเนินรายการโดยนาย
สันติสุข กาญจนประกร ร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ '
หลากมิติผู้หญิงกับการกระจายอำนาจ'
น.ส.
พรรณิการ์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า การคืนอำนาจบริหารท้องถิ่น กลับสู่มือประชาชนจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าสู่การเมืองมากขึ้น ยิ่งการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทำให้ผู้หญิงมีโอกาสได้เข้าไปบริหารราชการมากขึ้น และไม่เพียงแต่ผู้หญิงจะสามารถเข้าสู่พื้นที่การเมืองได้มากขึ้น การกระจายอำนาจ คืนอำนาจที่แท้จริงสู่ประชาชน จะทำให้ตัวแทน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาติพันธุ์ หรือ กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่การเมืองได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ น.ส.
พรรณิการ์ ยังระบุด้วยว่า วันที่ 29-30 พฤศจิกายนนี้คาดว่า ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าร่างปลดล็อกท้องถิ่นจะเข้าสู่การพิจารณาอภิปรายกันในสภา ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องผ่านความเห็นชอบของทั้ง ส.ส. และ ส.ว. แต่ก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้จะผ่านความเห็นชอบ ซึ่งขนาดร่างสุราก้าวหน้า เพื่อปลดล็อกสุราพื้นบ้าน ยังขาดอีกแค่เพียง 2 เสียงเท่านั้นในวาระที่ 2 ขนาดเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุนใหญ่ด้วย แต่รอบนี้ ประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจ หากไปดูสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. ส.ว. จำนวนมากมีความผูกพันกับการเมืองท้องถิ่น หลายคนก็เคยเป็นนายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันมาก่อนอีกทั้ง ส.ว. หลายคน พรรคการเมืองหลายพรรคก็เคยประกาศว่าเอาด้วยกับการกระจายอำนาจ มีนโยบายที่เคยใช้หาเสียง และหลายคนก็เข้าใจความเจ็บปวดของการเป็นรัฐรวมศูนย์ รวมอำนาจเอาไว้ที่ส่วนกลาง ที่สร้างปัญหาอุปสรรคไม่ใช่แค่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาและอุปสรรคในวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากไฟถนนเสีย ถนนพรุพัง ประชาชนไม่รู้เลยว่าเขาต้องไปติดต่อใคร จะเป็น อบต. หรือเทศบาล ซึ่งโดยมากก็ไปหา อบต. เทศบาล แต่พบว่าถนนหลายเส้นอยู่ในอำนาจของกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ที่อยู่ส่วนกลาง กลายเป็นว่าปัญหาไม่ถูกแก้หรือแก้ล่าช้า
“
เราหวังว่า ส.ส. และ ส.ว. จะโหวตเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น วางอคติทางการเมืองและเห็นแก่ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ และที่สำคัญจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำสอดรับกันหรือไม่ ไม่ใช่พูดอย่าง แต่พอถึงเวลาต้องแก้ไขกฎหมายที่ทำให้เกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น คืนอำนาจกลับสู่ประชาชนในพื้นที่ กลับไม่ยอมลงมติเห็นชอบ ถ้าเป็นเช่นนั้นประชาชนต้องช่วยกันติดตามและจดจำเอาไว้ว่าใครเป็นเช่นใด การกระทำกับคำพูดไปด้วยกันหรือไม่” น.ส.
พรรณิการ์ ระบุ
น.ส.
วราภรณ์ แสงชา ข้าราชการท้องถิ่น กล่าวว่า สนับสนุนให้เรื่องนี้ถูกผลักดันให้สำเร็จ เพราะปัจจุบันท้องถิ่นถูกขี่คอ จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ท้องถิ่นมีงบประมาณและบุคลากรไม่พอ ภารกิจที่ทำได้ก็ถูกจำกัดอำนาจ ดังนั้นถึงเวลาแล้วเรื่องการกระจายอำนาจจะถูกผลักดันให้สำเร็จ กระจายอำนาจจริงๆ ตามหลักการ อยากให้สมาชิกรัฐสภาและผู้มีอำนาจเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศ
ด้าน น.ส.
ศิริกัญญา รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า การกระจายอำนาจ แท้จริงแล้วคือการคืนอำนาจกลับสู่ประชาชนให้ประชาชนได้มีอำนาจ สามารถร่วมกำหนดการพัฒนาในพื้นที่ และร่วมตรวจสอบการทำหน้าของนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้เลือกมา ส่วนเรื่องที่มีการกังวลกันว่ากระจายอำนาจแล้วจะทำให้ยิ่งมีการคอร์รัปชันนั้น ตนเองมองว่า ที่เห็นข่าวเรื่องการคอร์รัปชันเป็นระยะของท้องถิ่นนั้น เพราะประชาชนนั้นอยู่ใกล้ชิด และก็ยิ่งถูกพิสูจน์ว่าท้องถิ่นถูกตรวจสอบได้จากประชาชนและองค์กรตรวจสอบ ซึ่งต่างจากโครงการของส่วนกลาง และยิ่งหากพิจารณาความเสียหาย จะพบว่าความเสียหายจากส่วนกลางนั้นมากกว่าท้องถิ่นด้วย ซึ่งงานวิจัยหลายๆ ชิ้นก็พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีประเด็นว่ากฎระเบียบของส่วนกลาง หรือช่วงตอนรัฐประหารสมัยพลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ก็มีคำสั่ง คสช. ออกมาก็สะท้อนวิธีคิดแบบรัฐรวมศูนย์ นั่นก็เป็นสิ่งที่กดทับท้องถิ่นเอาไว้ ซึ่งทำให้การขับเคลื่อนท้องถิ่นไม่เกิดขึ้น และยังถอยหลังไปมากด้วยภายหลังจากการัฐประหาร และประเด็นเรื่องความต้องการที่จะผลักดันงบประมาณของท้องถิ่นให้มีส่วนแบ่งรายได้ 35% นั้นก็ถูกพูดกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเจตจำนงทางการเมือง เพราะเมื่อท้องถิ่นได้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น ก็หมายความว่า ส่วนกลางก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้น้อยลง ประเด็นนี้เลยยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเจตจำนงทางการเมืองในเรื่องนี้ เข้าไปผลักดัน
ปชป.ยกธรรมเนียมปฏิบัติ ทวง ‘บิ๊กตู่’ ปรับ ครม.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3697671
ปชป.ยกธรรมเนียมปฏิบัติ ทวง “บิ๊กตู่” ปรับ ครม.
กรณีนาย
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แสดงความอึดอัดที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีตามที่พรรค ปชป.ส่งชื่อนาย
นริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ทูลเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย แทนนาย
นิพนธ์ บุญญามณี ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาร่วม 7 สัปดาห์แล้ว
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นาย
นิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ปชป. ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีสมาชิกพรรคสอบถามอยู่ตลอด ทำให้นาย
จุรินทร์เกิดความอึดอัดเมื่อไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรค ปชป.เพียงพรรคเดียว พรรคอื่นจะปรับหรือไม่ขึ้นอยู่ที่พรรคนั้น ขณะนี้การประชุมเอเปคเสร็จสิ้นแล้ว ภารกิจ นายกฯลดน้อยลงแล้วน่าจะดำเนินการได้แล้ว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมายาวนาน โดยพรรคเห็นว่าจะเกิดประโยชน์กับส่วนรวม เพราะภารกิจการแจกโฉนดที่ดินทำกิน การช่วยเหลือประชาชนประสบภัยพิบัติ เป็นภารกิจสำคัญที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องทำ
ด้านนาย
ราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่า พรรคยึดหลักการในการปรับ ครม. เมื่อมีรัฐมนตรีของพรรคว่างลงเนื่องจากมีการลาออกของนาย
นิพนธ์ พรรคได้เลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน และมีมติเลือกนายนริศ และหัวหน้าพรรคได้นำชื่อส่งให้นายกฯเพื่อดำเนินการต่อครบถ้วนตามกระบวนการแล้ว
นาย
ราเมศ กล่าวต่อว่า หลักการสำคัญอีกประการ คือมีนโยบายสำคัญที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยคนเดิมได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของพรรค คือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินของประชาชน พรรคตั้งใจที่จะให้นายนริศ เร่งเข้าไปขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดในช่วงที่รัฐบาลกำลังจะหมดวาระ หากเข้ามาทำหน้าที่จะเป็นผลดีต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
JJNY : 3 พ.เพื่อไทยจี้ ‘ตู่’ ยุบสภา| “ช่อ”ชวนจับตาร่างแก้ไขรธน.| ปชป.ทวง‘ตู่’ ปรับ ครม.| จีนประท้วง‘โควิดเป็นศูนย์’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3697826
3 พ.เพื่อไทย ‘พลภูมิ เพ็ญพิสุทธิ์ พงศกร’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ ยุบสภา เปิดทาง รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ ฟาดแรง 8 ปี ไร้ผลงาน นโยบายหาเสียงทำไม่ได้ มุ่งรักษาอำนาจ
นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม.เขตบึงกุ่ม-คันนายาว พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองว่า ขณะนี้เป็นช่วงปลายรัฐบาล ที่ทุกพรรคการเมืองเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง แต่ละพรรคการเมืองเริ่มทยอยประกาศนโยบายในการแก้ไขปัญหาประเทศกันแล้ว แต่สิ่งที่เกิดคำถามในใจประชาชน คือนโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะพรรคแกนนำหลักของรัฐบาล ที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ยังไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้เลย เช่น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ต่อวัน,เงินเดือนผู้จบ อาชีวะ 18,000 บาทและปริญญาตรี 20,000บาท นโยบายมารดาประชารัฐ เป็นต้น ทำให้เห็นว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่รับปากกับประชาชนไว้เลย มัวแต่สนใจแต่ประเด็นการเมืองเพื่อรักษาอำนาจของกลุ่มตัวเองไว้ให้ได้นานที่สุด
“วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะสร้างดาวดวงใหม่เพื่อกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ แบบนี้แล้วประชาชนจะหวังพึ่งอะไรได้ นโยบายที่จะประกาศมาไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้รับความใส่ใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างจากพรรคเพื่อไทย ที่เราเสนอนโยบายอะไรไว้เราทำได้จริง ประชาชนได้รับการแก้ปัญหาตามที่เรารประกาศไว้ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถทำสิ่งที่ตัวเองหาเสียงไว้ได้แบบนี้ก็ยุบสภาฯไปเลยดีกว่า ประเทศจะได้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำงาน” นายพลภูมิ กล่าว
ด้าน น.ส. เพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตยานนาวา บางคอแหลม กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา ประชาชนเดือดร้อนจากพิษเศรษฐกิจ และคะแนนลำดับทุจริต Corruption Perceptions Index หรือ CPI คะแนนลดลงอย่างมาก จากภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์
ส่งผลกระทบภาพรวมในการบริหาร และความไว้ใจจากประชาชน ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ประชาชนมีความเดือดร้อน ทั้งด้านหนี้สิน ข้าวของแพง และ เงินเฟ้อ รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ และหนี้ครัวเรือนเป็นระเบิดเวลาข้างหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจในการหารายได้เข้าประเทศนั้นมีไม่มากพอ เมื่อได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด จึงทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันมาก แต่รัฐบาลชุดนี้กลับให้ความสำคัญ ในการใช้งบประมาณซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หลายครั้ง ในขณะที่ประชาชนนั้นพบสถานการณ์ยากลำบาก แต่กลับใช้งบประมาณในสิ่งที่ไม่เร่งด่วน โดยเฉพาะการเพิ่มงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธ ทั้งสภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคมไทย ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ตนคิดว่า ควรทบทวนเรื่องบทบาทหน้าที่ของทหารว่า ทหารควรอยู่ในการเมืองต่อไปหรือไม่ ?
ขณะที่นายพงศกร รัตนเรืองวัฒนา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางกะปิ-วังทองหลางพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชนมีความเดือดร้อน ทั้งเรื่องเศษฐกิจ ปากท้องความเป็นอยู่ ปัญหาสังคมไม่ได้รับการแก้ไข เช่นเรื่องยาเสพติดที่มีการระบาดอย่างหนัก แต่เจ้าหน้าที่ไม่เหลียวแล เป็นผลมาจากการบริหารที่ปล่อยปะละเลย ไม่เอาใจใส่ปัญหาอย่างจริงจัง มีเรื่องทีก็ขันน็อตทีแบบที่เป็นอยู่ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จริงจังกับเรื่องนี้คงไม่มีใครกล้าแตกแถว แต่หากยังทำงานอยู่เหมือนเดิมปัญหานี้คงไม่ได้รับการแก้ไข ถึงอยากขอร้องว่าถ้าจะกลับมาเป็นนายกฯอีกแล้วไม่แก้ปัญหาให้ประชาชนเหมือน 8 ปีที่ผ่านมาอย่ากลับมาดีกว่า
“ช่อ พรรณิการ์” ชวนจับตาร่างแก้ไข รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น จ่อเข้าสภา 29-30 พ.ย.นี้
https://siamrath.co.th/n/403041
“ช่อ พรรณิการ์” ชวนจับตา ร่างแก้ไข รธน.ปลดล็อกท้องถิ่น จ่อเข้าสภา 29-30 พ.ย. นี้ เชื่อ ส.ส. และ ส.ว.โหวตเห็นชอบ ด้าน “ศิริกัญญา” ชี้ การแบ่งรายได้ให้ท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ต้องมีรัฐบาลที่มีเจตจำนงทางการเมืองเข้าไปผลักดัน
วันที่ 28 พ.ย.65 น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า, น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, น.ส.วราภรณ์ แสงชา วิทยากรอิสระและข้าราชการส่วนท้องถิ่น และน.ส.ชัชฎา กำลังแพทย์ นักศึกษาปริญญาเอก ประเทศญี่ปุ่น ที่ผลักดันด้านการกระจายอำนาจ ดำเนินรายการโดยนายสันติสุข กาญจนประกร ร่วมเสวนาภายใต้หัวข้อ 'หลากมิติผู้หญิงกับการกระจายอำนาจ'
น.ส.พรรณิการ์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า การคืนอำนาจบริหารท้องถิ่น กลับสู่มือประชาชนจะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้หญิงเข้าสู่การเมืองมากขึ้น ยิ่งการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทำให้ผู้หญิงมีโอกาสได้เข้าไปบริหารราชการมากขึ้น และไม่เพียงแต่ผู้หญิงจะสามารถเข้าสู่พื้นที่การเมืองได้มากขึ้น การกระจายอำนาจ คืนอำนาจที่แท้จริงสู่ประชาชน จะทำให้ตัวแทน ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาติพันธุ์ หรือ กลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่การเมืองได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ น.ส.พรรณิการ์ ยังระบุด้วยว่า วันที่ 29-30 พฤศจิกายนนี้คาดว่า ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น หรือที่เรียกกันว่าร่างปลดล็อกท้องถิ่นจะเข้าสู่การพิจารณาอภิปรายกันในสภา ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นต้องผ่านความเห็นชอบของทั้ง ส.ส. และ ส.ว. แต่ก็เชื่อว่ามีความเป็นไปได้จะผ่านความเห็นชอบ ซึ่งขนาดร่างสุราก้าวหน้า เพื่อปลดล็อกสุราพื้นบ้าน ยังขาดอีกแค่เพียง 2 เสียงเท่านั้นในวาระที่ 2 ขนาดเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับทุนใหญ่ด้วย แต่รอบนี้ ประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจ หากไปดูสมาชิกรัฐสภา ทั้ง ส.ส. ส.ว. จำนวนมากมีความผูกพันกับการเมืองท้องถิ่น หลายคนก็เคยเป็นนายกเทศมนตรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกันมาก่อนอีกทั้ง ส.ว. หลายคน พรรคการเมืองหลายพรรคก็เคยประกาศว่าเอาด้วยกับการกระจายอำนาจ มีนโยบายที่เคยใช้หาเสียง และหลายคนก็เข้าใจความเจ็บปวดของการเป็นรัฐรวมศูนย์ รวมอำนาจเอาไว้ที่ส่วนกลาง ที่สร้างปัญหาอุปสรรคไม่ใช่แค่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาและอุปสรรคในวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากไฟถนนเสีย ถนนพรุพัง ประชาชนไม่รู้เลยว่าเขาต้องไปติดต่อใคร จะเป็น อบต. หรือเทศบาล ซึ่งโดยมากก็ไปหา อบต. เทศบาล แต่พบว่าถนนหลายเส้นอยู่ในอำนาจของกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท ที่อยู่ส่วนกลาง กลายเป็นว่าปัญหาไม่ถูกแก้หรือแก้ล่าช้า
“เราหวังว่า ส.ส. และ ส.ว. จะโหวตเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น วางอคติทางการเมืองและเห็นแก่ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ และที่สำคัญจะเป็นข้อพิสูจน์ว่า สิ่งที่พูดกับสิ่งที่ทำสอดรับกันหรือไม่ ไม่ใช่พูดอย่าง แต่พอถึงเวลาต้องแก้ไขกฎหมายที่ทำให้เกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น คืนอำนาจกลับสู่ประชาชนในพื้นที่ กลับไม่ยอมลงมติเห็นชอบ ถ้าเป็นเช่นนั้นประชาชนต้องช่วยกันติดตามและจดจำเอาไว้ว่าใครเป็นเช่นใด การกระทำกับคำพูดไปด้วยกันหรือไม่” น.ส.พรรณิการ์ ระบุ
น.ส.วราภรณ์ แสงชา ข้าราชการท้องถิ่น กล่าวว่า สนับสนุนให้เรื่องนี้ถูกผลักดันให้สำเร็จ เพราะปัจจุบันท้องถิ่นถูกขี่คอ จากส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ท้องถิ่นมีงบประมาณและบุคลากรไม่พอ ภารกิจที่ทำได้ก็ถูกจำกัดอำนาจ ดังนั้นถึงเวลาแล้วเรื่องการกระจายอำนาจจะถูกผลักดันให้สำเร็จ กระจายอำนาจจริงๆ ตามหลักการ อยากให้สมาชิกรัฐสภาและผู้มีอำนาจเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนและประเทศ
ด้าน น.ส.ศิริกัญญา รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่า การกระจายอำนาจ แท้จริงแล้วคือการคืนอำนาจกลับสู่ประชาชนให้ประชาชนได้มีอำนาจ สามารถร่วมกำหนดการพัฒนาในพื้นที่ และร่วมตรวจสอบการทำหน้าของนักการเมืองท้องถิ่นที่ได้เลือกมา ส่วนเรื่องที่มีการกังวลกันว่ากระจายอำนาจแล้วจะทำให้ยิ่งมีการคอร์รัปชันนั้น ตนเองมองว่า ที่เห็นข่าวเรื่องการคอร์รัปชันเป็นระยะของท้องถิ่นนั้น เพราะประชาชนนั้นอยู่ใกล้ชิด และก็ยิ่งถูกพิสูจน์ว่าท้องถิ่นถูกตรวจสอบได้จากประชาชนและองค์กรตรวจสอบ ซึ่งต่างจากโครงการของส่วนกลาง และยิ่งหากพิจารณาความเสียหาย จะพบว่าความเสียหายจากส่วนกลางนั้นมากกว่าท้องถิ่นด้วย ซึ่งงานวิจัยหลายๆ ชิ้นก็พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้ ยังมีประเด็นว่ากฎระเบียบของส่วนกลาง หรือช่วงตอนรัฐประหารสมัยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ก็มีคำสั่ง คสช. ออกมาก็สะท้อนวิธีคิดแบบรัฐรวมศูนย์ นั่นก็เป็นสิ่งที่กดทับท้องถิ่นเอาไว้ ซึ่งทำให้การขับเคลื่อนท้องถิ่นไม่เกิดขึ้น และยังถอยหลังไปมากด้วยภายหลังจากการัฐประหาร และประเด็นเรื่องความต้องการที่จะผลักดันงบประมาณของท้องถิ่นให้มีส่วนแบ่งรายได้ 35% นั้นก็ถูกพูดกันมาหลายทศวรรษแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องเจตจำนงทางการเมือง เพราะเมื่อท้องถิ่นได้ส่วนแบ่งรายได้เพิ่มขึ้น ก็หมายความว่า ส่วนกลางก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้น้อยลง ประเด็นนี้เลยยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าจะเกิดขึ้นได้ จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีเจตจำนงทางการเมืองในเรื่องนี้ เข้าไปผลักดัน
ปชป.ยกธรรมเนียมปฏิบัติ ทวง ‘บิ๊กตู่’ ปรับ ครม.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3697671
ปชป.ยกธรรมเนียมปฏิบัติ ทวง “บิ๊กตู่” ปรับ ครม.
กรณีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) แสดงความอึดอัดที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังไม่ปรับคณะรัฐมนตรีตามที่พรรค ปชป.ส่งชื่อนายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง ทูลเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย แทนนายนิพนธ์ บุญญามณี ทั้งที่เวลาล่วงเลยมาร่วม 7 สัปดาห์แล้ว
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค ปชป. ให้สัมภาษณ์ว่า ได้มีสมาชิกพรรคสอบถามอยู่ตลอด ทำให้นายจุรินทร์เกิดความอึดอัดเมื่อไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องของพรรค ปชป.เพียงพรรคเดียว พรรคอื่นจะปรับหรือไม่ขึ้นอยู่ที่พรรคนั้น ขณะนี้การประชุมเอเปคเสร็จสิ้นแล้ว ภารกิจ นายกฯลดน้อยลงแล้วน่าจะดำเนินการได้แล้ว ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันมายาวนาน โดยพรรคเห็นว่าจะเกิดประโยชน์กับส่วนรวม เพราะภารกิจการแจกโฉนดที่ดินทำกิน การช่วยเหลือประชาชนประสบภัยพิบัติ เป็นภารกิจสำคัญที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยต้องทำ
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่า พรรคยึดหลักการในการปรับ ครม. เมื่อมีรัฐมนตรีของพรรคว่างลงเนื่องจากมีการลาออกของนายนิพนธ์ พรรคได้เลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งแทน และมีมติเลือกนายนริศ และหัวหน้าพรรคได้นำชื่อส่งให้นายกฯเพื่อดำเนินการต่อครบถ้วนตามกระบวนการแล้ว
นายราเมศ กล่าวต่อว่า หลักการสำคัญอีกประการ คือมีนโยบายสำคัญที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยคนเดิมได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของพรรค คือเรื่องสิทธิในที่ดินทำกินของประชาชน พรรคตั้งใจที่จะให้นายนริศ เร่งเข้าไปขับเคลื่อนผลักดันให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุดในช่วงที่รัฐบาลกำลังจะหมดวาระ หากเข้ามาทำหน้าที่จะเป็นผลดีต่อประชาชนเป็นอย่างมาก