สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
จขกท และผู้สนใจจะศึกษาพระพุทธศาสนาทุกท่าน
คุณจะสามารถมนสิการว่า "เราไม่มี" หรือว่า "ไม่มีเรา" ได้ก็ต่อเมื่อคุณเห็นด้วยญาณทัศนะของตัวคุณเอง
และการจะเห็นเช่นนั้นได้ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาจะต้องเกิดกระทำกิจ "รู้ชัด"
เท่านั้นก็ยังไม่พอ ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นลึกเข้าไปถึง "ปัจจัย"
เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่าสภาวะธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้านี้ "มันมี" ไม่ใช่ไม่มีครับ
พระพุทธดำรัสตรัสสอนว่า
"[๔๓] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัย
ส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็น
ความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี
โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่
เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย
อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า
ทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวก
นั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะ
จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ
[๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุด
ข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้
ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ"
แต่การที่ จขกท ท่องจำและสกดจิตตนเองว่า "เราไม่มี" โดยไม่แทงทะลุซึ่งปัจจัย
เขาย่อมเข้าไปใกล้ส่วนสุดข้อที่ 2 นั่นเอง
ซึ่งส่วนสุดฝยข้อที่ 2 นี่เอง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดิ่งลงสู่ผลอันี้ายที่สุด
เพราะเมื่อมีทิฏฐิว่า "เราไม่มี" โดยไม่เข้าใจว่า ผลจากกรรมที่ได้กระทำออกไปนั้น
ยังจะส่งผลสะท้อนกลับมาอยู่เสมอ จึงล่วงอกุศลกรรมบทออกมาได้อย่างง่ายดาย
ครับก็ขอให้ตั้งหลักกันให้ดีๆ ครับ
การท่องจำว่า "เราไม่มี" จนกระทั่งเกิดทิฏฐิว่า "ขาดสูญ" ขึ้นมานั้น จะก่อให้เกิดผลร้ายขึ้นได้ง่ายๆ
อนัตตาธรรมเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองลอยๆ
ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก และรูป สิ่งเหล่านี้เกิดเพราะปัจจัยทั้งนั้น
"เราไม่มี" โดยไม่โยนิโสมนสิการถึง "ปัจจัย" ย่อมให้โทษ มากกว่าให้คุณ
คุณจะสามารถมนสิการว่า "เราไม่มี" หรือว่า "ไม่มีเรา" ได้ก็ต่อเมื่อคุณเห็นด้วยญาณทัศนะของตัวคุณเอง
และการจะเห็นเช่นนั้นได้ ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาจะต้องเกิดกระทำกิจ "รู้ชัด"
เท่านั้นก็ยังไม่พอ ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นลึกเข้าไปถึง "ปัจจัย"
เพราะปฏิเสธไม่ได้ ว่าสภาวะธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้านี้ "มันมี" ไม่ใช่ไม่มีครับ
พระพุทธดำรัสตรัสสอนว่า
"[๔๓] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัย
ส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก
ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคลเห็น
ความดับแห่งโลกด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี
โลกนี้โดยมากยังพัวพันด้วยอุบายอุปาทานและอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่
เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ซึ่งอุบายและอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวสและอนุสัย
อันเป็นที่ตั้งมั่นแห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัยว่า
ทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวก
นั้นมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่นเลย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล กัจจานะ
จึงชื่อว่าสัมมาทิฐิ ฯ
[๔๔] ดูกรกัจจานะ ส่วนสุดข้อที่ ๑ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ ส่วนสุด
ข้อที่ ๒ นี้ว่า สิ่งทั้งปวงไม่มี ตถาคตแสดงธรรมโดยสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้
ส่วนสุดทั้ง ๒ นั้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย
จึงมีวิญญาณ ... ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขาร
ดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ"
แต่การที่ จขกท ท่องจำและสกดจิตตนเองว่า "เราไม่มี" โดยไม่แทงทะลุซึ่งปัจจัย
เขาย่อมเข้าไปใกล้ส่วนสุดข้อที่ 2 นั่นเอง
ซึ่งส่วนสุดฝยข้อที่ 2 นี่เอง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดิ่งลงสู่ผลอันี้ายที่สุด
เพราะเมื่อมีทิฏฐิว่า "เราไม่มี" โดยไม่เข้าใจว่า ผลจากกรรมที่ได้กระทำออกไปนั้น
ยังจะส่งผลสะท้อนกลับมาอยู่เสมอ จึงล่วงอกุศลกรรมบทออกมาได้อย่างง่ายดาย
ครับก็ขอให้ตั้งหลักกันให้ดีๆ ครับ
การท่องจำว่า "เราไม่มี" จนกระทั่งเกิดทิฏฐิว่า "ขาดสูญ" ขึ้นมานั้น จะก่อให้เกิดผลร้ายขึ้นได้ง่ายๆ
อนัตตาธรรมเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองลอยๆ
ไม่ว่าจะเป็นจิต เจตสิก และรูป สิ่งเหล่านี้เกิดเพราะปัจจัยทั้งนั้น
"เราไม่มี" โดยไม่โยนิโสมนสิการถึง "ปัจจัย" ย่อมให้โทษ มากกว่าให้คุณ
ความคิดเห็นที่ 24
ก่อนจะแสดงความเห็นสุดท้าย
ขอแสดงพระสูตรสักหน่อยว่า
"[๑๐๘] พระนครสาวัตถี. ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งอุทานว่า ภิกษุ
น้อมใจไปอย่างนี้ว่า
ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี การปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา
ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้."
เกรงกลัวบาปกรรมกันบ้างนะครับทุกท่าน จะก่อกรรมแต่ละครั้งก็ให้มีสติ มีสัมปชัญญะ
รู้ว่าอย่างไหนเป็นกุศล อย่างไหนเป็นอกุศลกันนะครับ.
ขอแสดงพระสูตรสักหน่อยว่า
"[๑๐๘] พระนครสาวัตถี. ฯลฯ ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งอุทานว่า ภิกษุ
น้อมใจไปอย่างนี้ว่า
ถ้าว่าเราไม่พึงมี ขันธปัญจกของเราก็ไม่พึงมี
กรรมสังขารจักไม่มี การปฏิสนธิก็จักไม่มีแก่เรา
ดังนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้."
เกรงกลัวบาปกรรมกันบ้างนะครับทุกท่าน จะก่อกรรมแต่ละครั้งก็ให้มีสติ มีสัมปชัญญะ
รู้ว่าอย่างไหนเป็นกุศล อย่างไหนเป็นอกุศลกันนะครับ.
ความคิดเห็นที่ 22
ผมพูดถึงคุณนั่นแหละ และผมก็ทราบถึงสภาวะจิตของคุณอีกด้วย
ผมไม่ได้ใช้ญาณแบบพระอริยเจ้าทั้งหลายเขาใช้กันหรอก
ผมใช้หลักจิตตวิทยาโดยการอ่านจากการนำเสนอและปฏิกิริยาที่คุณมีต่อเพื่อนสมาชิก
ว่าคุณนั้น ไม่ได้เกรงกลัวปัจจัยแห่งความมี เลย
สภาวะธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ เกิดเพราะปัจจัยแห่งความมี ที่คุณได้ก่อขึ้นทั้งนั้น
ผมไม่ได้ใช้ญาณแบบพระอริยเจ้าทั้งหลายเขาใช้กันหรอก
ผมใช้หลักจิตตวิทยาโดยการอ่านจากการนำเสนอและปฏิกิริยาที่คุณมีต่อเพื่อนสมาชิก
ว่าคุณนั้น ไม่ได้เกรงกลัวปัจจัยแห่งความมี เลย
สภาวะธรรมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ เกิดเพราะปัจจัยแห่งความมี ที่คุณได้ก่อขึ้นทั้งนั้น
แสดงความคิดเห็น
เห็นขณะนี้ ลึกซึ้งตรงไหน (อ.สุจินต์)
อ. สุจินต์: "...ต้องรู้ว่า ความไม่รู้ (อวิชชา) มากมายมหาศาล เหมือนหลับสนิท ได้ยินเสียงพระธรรมแว่วๆ เป็นเครื่องส่องทางที่จะปลุกให้ตื่น ให้รู้ความจริงว่า ขณะนี้คืออะไร อย่าลืมนะคะ "หงายของที่คว่ำ" หนักเหลือเกิน หงายยากเหลือเกิน ใช่ไหม? และ ข้างในมีอะไร? ยังต้อง "เปิดของที่ปิด" ที่อยู่ข้างในอีก เปิดไม่เป็น ไม่รู้จะเปิดอย่างไร ต้อง "บอกทางแก่คนหลง" ที่ไม่รู้วิธีเปิดอีก บอกแล้ว ก็ไม่มีที่จะเข้าใจ ต้อง "ส่องประทีปในที่มืด" เดี๋ยวนี้มืดไหม กับปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะ ไกลกันลิบ!!"