"ธนาธร" ร่อนจม.ถึงปชช.-ผู้นำอปท.ร่วมปลดล็อกท้องถิ่น
https://siamrath.co.th/n/399056
วันที่ 13 พ.ย.65 นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก "Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ระบุข้อความว่า ...
[ จดหมายเปิดผนึก ถึงประชาชนที่เคารพ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่นทั่วประเทศไทย ]
เมื่อไหร่ประเทศไทยจะพ้นจากการเป็นประเทศ “กำลังพัฒนา”?
ตลอดเวลากว่า 4 ปีที่ผมและชาวอนาคตใหม่ เริ่มทำงานการเมืองมา ทุกจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ที่เราเดินทางไป เราได้เห็นคนเก่ง เห็นสถานที่ที่สวยงามตระการตา เห็นศักยภาพของผู้คน เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า เหตุใดประเทศไทยจึงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ทำไมเราจึงเป็นประเทศกำลังพัฒนา รายได้ปานกลาง มาตลอดหลายสิบปี
คำตอบที่ผมได้รับจากประสบการณ์ของผมเอง และจากการพูดคุยกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ก็คือ ระบบราชการ การบริหารแบบรัฐรวมศูนย์ของไทยนั่นเอง ที่ล่ามโซ่ตรวนประเทศไทยเอาไว้ ไม่ว่าเราจะมีของดีเท่าไหร่ แต่ขาดคนบริหารที่มองเห็นและเข้าใจของดีเหล่านั้น การแก้ปัญหาที่ล่าช้า นโยบายที่ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน คนรู้วิธีแก้ปัญหากลับไม่มีงบประมาณและอำนาจในการแก้ปัญหา ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางที่นั่งในห้องแอร์
พวกเราเชื่อว่าหากประเทศไทยไม่จัดการเรื่องปัญหาการกระจายอำนาจ ไม่ให้อิสระกับท้องถิ่น เราจะไม่มีวันไปไกลกว่านี้ได้
พวกเราคณะก้าวหน้าจึงได้รณรงค์ #ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น ซึ่งเป็นกิจกรรมเชิญชวนบุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อขจัดอุปสรรคในการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
การกระจายอำนาจเพื่อคืนอำนาจให้ท้องถิ่นและยุติรัฐราชการรวมศูนย์ เป็นกุญแจดอกเดียวที่จะปลดล็อกปัญหา ไม่ใช่แค่รับประกันว่าผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ยังทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจเต็มในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกองทัพ และเงินตรา รวมถึงยังได้เสนอให้มีการแก้ไขปัญหาอำนาจที่ทับซ้อนกันระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยให้ภารกิจการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่เป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน และเพิ่มอำนาจการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเสนอให้เพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีงบประมาณและมีอิสระมากขึ้นในการจัดทำบริการสาธารณะ ตอบสนองความต้องการของประชาชน
เมื่อเป็นเช่นนั้น สามารถ #ปลดล็อกท้องถิ่น ได้ ศักยภาพที่ถูกกดทับอยู่ในพื้นที่ต่างๆ จะถูกระเบิดพลังออกมา เปรียบเหมือนการยกก้อนหินที่กดทับ 77 จังหวัดออกไป ปลดปล่อยประเทศไทยให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่พวกเรารณรงค์รับรายชื่อจากประชาชนทั่วประเทศ จัดเวทีรณรงค์ใน 30 จังหวัด มีประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพวกเราทั้งสิ้น 80,772 รายชื่อ และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบรายชื่อ มีเอกสารครบถ้วน จำนวน 76,591 รายชื่อ
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารราชการของประเทศ อยากเห็นการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์เกิดขึ้นในประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการหาข้อตกลงร่วมกันจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นเรื่องประโยชน์ของการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และต่อประเทศไทย
ขณะนี้ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 เรียบร้อยแล้วและกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2565 ผมจึงขอให้พี่น้องประชาชน รวมถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาฯ และข้าราชการท้องถิ่นทุกท่าน ช่วยกันรณรงค์ และส่งเสียงเรียกร้องไปยังสมาชิกรัฐสภา ให้ลงคะแนนรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้
หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้สำเร็จ คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่นายกฯท้องถิ่น ไม่ใช่ข้าราชการท้องถิ่น แต่คือประชาชนคนไทยทั้ง 77 จังหวัด ที่จะได้ปลดปล่อยศักยภาพของท้องถิ่นตัวเอง พาประเทศไทยไปให้ไกลกว่านี้ ก้าวหน้า และก้าวไกลกว่านี้
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/682238443252068
‘นพดล’ แนะ รบ.อย่าพูดแค่ให้ ปชช.ร่วมเป็นเจ้าภาพเอเปคที่ดี แต่ควรบอกคนไทยได้อะไรบ้าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3671295
“นพดล” แนะ รบ.อย่าพูดแค่ให้ ปชช.ร่วมเป็นเจ้าภาพเอเปคที่ดี แต่ควรบอกคนไทยได้อะไรบ้าง
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นาย
นพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ซึ่งถือเป็นเกียรติของประเทศ ซึ่งในปี 2546 ไทยก็เคยเป็นเจ้าภาพในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำ ซึ่งความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพนั้น อาจดูได้จากการมีผู้นำมาประชุมมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากครั้งนี้เป็นการประชุมสุดยอด ไม่ใช่ระดับรัฐมนตรี
นอกจากนั้นต้องดูว่าเนื้อหาสาระของการประชุม ไทยได้ผลักดันประเด็นที่สำคัญอะไรสำเร็จบ้าง โดยตนมีข้อสังเกตว่า 1. การประชุมเอเปคปี 2546 เกิดขึ้นหลังการระบาดโรคซาร์ส ในปีนี้เกิดขึ้นหลังระบาดโควิด แต่ครั้งนี้ผู้นำหลายประเทศไม่ได้เดินทางมา ในขณะที่ในปี 2546 ผู้นำมาเกือบครบ สถานะประเทศไทยในเวทีโลกขณะนั้นโดดเด่น ในการประชุมเอเปคนี้ พล.อ.
ประยุทธ์ คงไม่ได้จับมือกับประธานาธิบดีไบเดนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากท่านมาประชุมที่ประเทศกัมพูชา และบินไปประชุมต่อที่ประเทศอินโดนีเซีย และกลับประเทศของตน ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเมินตนเองอย่างไร
นาย
นพดลกล่าวต่อว่า 2.ความสามารถของผู้นำรัฐบาลของประเทศเจ้าภาพจะส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของการประชุม เพราะต้องเป็นประธานในที่ประชุมด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันข้อมติร่วมหรือผลักดันวาระของไทย ขอเสนอว่าหลังประชุมเสร็จ รัฐบาลควรให้นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญประเมินหาตัวชี้วัดความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพ เพื่อการประเมินที่ถูกต้อง รัฐบาลประสบความสำเร็จในการเผยแพร่เมนูรายการอาหารผู้นำที่มาร่วมประชุมเอเปค ออกประกาศจุดห้ามชุมนุมในบางจุด และเด็กนักเรียนต้องเสียสละหยุดเรียน 2 วัน ตนเชื่อว่าคนไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพที่ดี แต่อยากให้รัฐบาลบอกให้ชัด เป็นรูปธรรมว่าคนไทยจะได้อะไรบ้างในทางการค้า การลงทุน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนไทยจำนวนมากมีความหวังว่าหลังการประชุมเอเปคจะได้มีโอกาสเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อเลือก ส.ส.และพรรคการเมืองนำไปสู่การเป็นรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างมีประสิทธิผลต่อไป
อมรัตน์ ไม่กังวลใจ โดนหมายจับ สน.นางเลิ้ง คดีหมิ่น ‘ประยุทธ์’ รายงานตัวพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3671588
อมรัตน์ เผยไม่กังวลใจ โดนหมายจับ สน.นางเลิ้ง หมิ่น ‘ประยุทธ์’ รายงานตัวพรุ่งนี้
จากกรณีที่ นาย
อภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีและการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 32/2563 แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีกับ นาง
อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงในบัญชีทวิตเตอร์ ซึ่งเปิดบัญชีแบบสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับนาง
อมรัตน์แล้ว โดยนาง
อมรัตน์จะเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง วันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นาง
อมรัตน์เผยทาง
เพจเฟซบุ๊ก ว่า
คดีหมิ่นประมาทนายกฯไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษร้ายแรงอะไร ดิฉันไม่มีความกังวลใจใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องคิดหลบหนี (ไม่เคยคิดหลบหนีในทุกคดี แม้จะไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม)
ก่อนที่จะไปรายงานตัวที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อขอให้ศาลปลดล็อกหมายจับในวันพรุ่งนี้ (14) เวลา 13.30 น. ขอชี้แจงคร่าวๆ ต่อผู้สนใจสอบถามมาดังนี้
หากใครติดตามข่าวจะทราบว่าที่ สน.นางเลิ้ง เต็มไปด้วยคดีความเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง ลูกน้องคุณประยุทธ์ เป็นผู้เข้าแจ้งความต่อบุคคลจำนวนมาก เท่าที่นึกได้เร็วๆ อาทิ คุณฮาร์ท สุทธิพงศ์ คุณมิลลิ คุณจอห์น วิญญู อาจารย์นักวิชาการ เช่น อ.ยุกติ ฯลฯ
สำหรับตัวดิฉันได้รับหมายเรียกรัวๆ แทบนับไม่ถ้วนจาก สน.นี้ จนสับสนไม่รู้คดีไหนเป็นคดีไหน คดีไหนเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ งงไปหมด โดยเฉพาะวันหลังจากการอภิปรายในสภา
ดิฉันไม่ได้บิดพลิ้ว ที่ผ่านมาเคยไปรายงานตัวตามหมายเรียก สน.นางเลิ้ง มาแล้ว ไปให้ปากคำพิมพ์ลายนิ้วมือ และ สน.นางเลิ้ง นำตัวดิฉันส่งฟ้องอัยการ ซึ่งก็ไปตามนัด ขณะนี้คดีนั้นอยู่ในชั้นอัยการ
หลังจากนั้นดิฉันทำงานในสภา ใน กมธ. งานบริหารพรรค และงานเดินสายพบสมาชิก รวมทั้งกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญทั้งใน กทม.และ ตจว.แทบไม่มีวันหยุดพัก
1. หมายเรียกคดีหมิ่นประมาทจาก สน.นางเลิ้ง หลายครั้งส่งไม่ถึงมือ เพราะที่อยู่ปัจจุบันกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเป็นคนละหลังกัน
2. หลายครั้งดิฉันขอให้ทนายแจ้งทาง สน.ขอเลื่อนนัดออกไป เพราะไปตรงกับกำหนดการไป ตจว.
3. ครั้งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพต้องเข้าผ่าตัดที่ รพ.พญาไท 2 ก็แจ้งขอเลื่อนไป และต่อมาเมื่อเปิดสมัยประชุมก็ขอใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียก
ขณะแอดมิตหลังผ่าตัดที่ รพ.แพทย์แจ้งว่ามี จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ตามมาตรวจสอบกับแพทย์เจ้าของไข้ถึงที่ รพ.ว่าผ่าตัดจริงหรือไม่
หลังเปิดสมัยประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา แม้ดิฉันสามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ได้ (ดิฉันยังไม่ทราบว่าถูกศาลออกหมายจับแล้ว)
แต่สัปดาห์นี้ (14-18 พ.ย.) มีการงดประชุมสภาทั้งสัปดาห์เนื่องจากการประชุมเอเปค ดิฉันเห็นเป็นโอกาสดี มีเวลาว่าง ไม่มีคิวงาน ตจว. จึงรีบแจ้งทนายให้ติดต่อกับทาง สน.นางเลิ้ง เพื่อขอเข้ารายงานตัวตามหมายเรียกในวันที่ 14 พ.ย. เวลาบ่ายโมงครึ่ง
หลังทนายโทรไปนัด วันรุ่งขึ้นจึงทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าดิฉันถูกศาลออกหมายจับก่อนหน้าไปแล้ว (เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนเหมือนกันว่าหมายจับออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.65)
ในตอนแรกทนายติดต่อจะขอไป สน.ในวันที่ 15 แต่หลังวางสายเช็กตารางงานอีกทีพบว่าไม่สะดวก จึงโทรไปขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 14 เวลาบ่ายโมงครึ่งแทน
ช่วงเวลาชั่วครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะขอเปลี่ยนวันจาก 15 เป็น 14 จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ก็รีบแพร่กระจายข่าวต่อสื่อมวลชนไปแล้ว
ในข่าวจึงลงวันที่นัดหมายผิดวันเป็นวันที่ 15 จะถือว่า จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง มีความกระตือรือร้นในการติดตามคดีหมิ่นประมาทนายกฯอย่างผิดสังเกตได้หรือไม่
JJNY : 5in1 "ธนาธร" ร่อนจม.│‘นพดล’ แนะ รบ.│อมรัตน์ไม่กังวล│GenZ ให้รบ.ระยุทธ์สอบตก│รมว.แรงงานออสเตรียชวนชัชชาติวิ่ง
https://siamrath.co.th/n/399056
วันที่ 13 พ.ย.65 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก "Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" ระบุข้อความว่า ...
[ จดหมายเปิดผนึก ถึงประชาชนที่เคารพ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ข้าราชการและบุคลากรท้องถิ่นทั่วประเทศไทย ]
เมื่อไหร่ประเทศไทยจะพ้นจากการเป็นประเทศ “กำลังพัฒนา”?
ตลอดเวลากว่า 4 ปีที่ผมและชาวอนาคตใหม่ เริ่มทำงานการเมืองมา ทุกจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ที่เราเดินทางไป เราได้เห็นคนเก่ง เห็นสถานที่ที่สวยงามตระการตา เห็นศักยภาพของผู้คน เห็นโอกาสทางเศรษฐกิจมากมายที่ทำให้เราตั้งคำถามว่า เหตุใดประเทศไทยจึงไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ทำไมเราจึงเป็นประเทศกำลังพัฒนา รายได้ปานกลาง มาตลอดหลายสิบปี
คำตอบที่ผมได้รับจากประสบการณ์ของผมเอง และจากการพูดคุยกับประชาชนหลากหลายกลุ่ม ก็คือ ระบบราชการ การบริหารแบบรัฐรวมศูนย์ของไทยนั่นเอง ที่ล่ามโซ่ตรวนประเทศไทยเอาไว้ ไม่ว่าเราจะมีของดีเท่าไหร่ แต่ขาดคนบริหารที่มองเห็นและเข้าใจของดีเหล่านั้น การแก้ปัญหาที่ล่าช้า นโยบายที่ไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน คนรู้วิธีแก้ปัญหากลับไม่มีงบประมาณและอำนาจในการแก้ปัญหา ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลางที่นั่งในห้องแอร์
พวกเราเชื่อว่าหากประเทศไทยไม่จัดการเรื่องปัญหาการกระจายอำนาจ ไม่ให้อิสระกับท้องถิ่น เราจะไม่มีวันไปไกลกว่านี้ได้
พวกเราคณะก้าวหน้าจึงได้รณรงค์ #ขอคนละชื่อปลดล็อกท้องถิ่น ซึ่งเป็นกิจกรรมเชิญชวนบุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 เพื่อขจัดอุปสรรคในการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน
การกระจายอำนาจเพื่อคืนอำนาจให้ท้องถิ่นและยุติรัฐราชการรวมศูนย์ เป็นกุญแจดอกเดียวที่จะปลดล็อกปัญหา ไม่ใช่แค่รับประกันว่าผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง แต่ยังทำให้ท้องถิ่นมีอำนาจเต็มในการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่ทุกเรื่อง ยกเว้นแค่เรื่องกองทัพ และเงินตรา รวมถึงยังได้เสนอให้มีการแก้ไขปัญหาอำนาจที่ทับซ้อนกันระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยให้ภารกิจการจัดทำบริการสาธารณะในพื้นที่เป็นภารกิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อน และเพิ่มอำนาจการตรวจสอบและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังเสนอให้เพิ่มรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้มีงบประมาณและมีอิสระมากขึ้นในการจัดทำบริการสาธารณะ ตอบสนองความต้องการของประชาชน
เมื่อเป็นเช่นนั้น สามารถ #ปลดล็อกท้องถิ่น ได้ ศักยภาพที่ถูกกดทับอยู่ในพื้นที่ต่างๆ จะถูกระเบิดพลังออกมา เปรียบเหมือนการยกก้อนหินที่กดทับ 77 จังหวัดออกไป ปลดปล่อยประเทศไทยให้พุ่งทะยานไปข้างหน้า
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่พวกเรารณรงค์รับรายชื่อจากประชาชนทั่วประเทศ จัดเวทีรณรงค์ใน 30 จังหวัด มีประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพวกเราทั้งสิ้น 80,772 รายชื่อ และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบรายชื่อ มีเอกสารครบถ้วน จำนวน 76,591 รายชื่อ
ทั้งหมดนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารราชการของประเทศ อยากเห็นการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์เกิดขึ้นในประเทศไทย ยิ่งไปกว่านั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการหาข้อตกลงร่วมกันจากประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เป็นเรื่องประโยชน์ของการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และต่อประเทศไทย
ขณะนี้ ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 เรียบร้อยแล้วและกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2565 ผมจึงขอให้พี่น้องประชาชน รวมถึงนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาชิกสภาฯ และข้าราชการท้องถิ่นทุกท่าน ช่วยกันรณรงค์ และส่งเสียงเรียกร้องไปยังสมาชิกรัฐสภา ให้ลงคะแนนรับหลักการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้
หากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้สำเร็จ คนที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่นายกฯท้องถิ่น ไม่ใช่ข้าราชการท้องถิ่น แต่คือประชาชนคนไทยทั้ง 77 จังหวัด ที่จะได้ปลดปล่อยศักยภาพของท้องถิ่นตัวเอง พาประเทศไทยไปให้ไกลกว่านี้ ก้าวหน้า และก้าวไกลกว่านี้
https://www.facebook.com/ThanathornOfficial/posts/682238443252068
‘นพดล’ แนะ รบ.อย่าพูดแค่ให้ ปชช.ร่วมเป็นเจ้าภาพเอเปคที่ดี แต่ควรบอกคนไทยได้อะไรบ้าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_3671295
“นพดล” แนะ รบ.อย่าพูดแค่ให้ ปชช.ร่วมเป็นเจ้าภาพเอเปคที่ดี แต่ควรบอกคนไทยได้อะไรบ้าง
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก หรือ เอเปค ซึ่งถือเป็นเกียรติของประเทศ ซึ่งในปี 2546 ไทยก็เคยเป็นเจ้าภาพในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเป็นแกนนำ ซึ่งความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพนั้น อาจดูได้จากการมีผู้นำมาประชุมมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากครั้งนี้เป็นการประชุมสุดยอด ไม่ใช่ระดับรัฐมนตรี
นอกจากนั้นต้องดูว่าเนื้อหาสาระของการประชุม ไทยได้ผลักดันประเด็นที่สำคัญอะไรสำเร็จบ้าง โดยตนมีข้อสังเกตว่า 1. การประชุมเอเปคปี 2546 เกิดขึ้นหลังการระบาดโรคซาร์ส ในปีนี้เกิดขึ้นหลังระบาดโควิด แต่ครั้งนี้ผู้นำหลายประเทศไม่ได้เดินทางมา ในขณะที่ในปี 2546 ผู้นำมาเกือบครบ สถานะประเทศไทยในเวทีโลกขณะนั้นโดดเด่น ในการประชุมเอเปคนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ได้จับมือกับประธานาธิบดีไบเดนที่กรุงเทพฯ เนื่องจากท่านมาประชุมที่ประเทศกัมพูชา และบินไปประชุมต่อที่ประเทศอินโดนีเซีย และกลับประเทศของตน ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาว่า 8 ปีที่ผ่านมาประเมินตนเองอย่างไร
นายนพดลกล่าวต่อว่า 2.ความสามารถของผู้นำรัฐบาลของประเทศเจ้าภาพจะส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของการประชุม เพราะต้องเป็นประธานในที่ประชุมด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันข้อมติร่วมหรือผลักดันวาระของไทย ขอเสนอว่าหลังประชุมเสร็จ รัฐบาลควรให้นักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญประเมินหาตัวชี้วัดความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพ เพื่อการประเมินที่ถูกต้อง รัฐบาลประสบความสำเร็จในการเผยแพร่เมนูรายการอาหารผู้นำที่มาร่วมประชุมเอเปค ออกประกาศจุดห้ามชุมนุมในบางจุด และเด็กนักเรียนต้องเสียสละหยุดเรียน 2 วัน ตนเชื่อว่าคนไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพที่ดี แต่อยากให้รัฐบาลบอกให้ชัด เป็นรูปธรรมว่าคนไทยจะได้อะไรบ้างในทางการค้า การลงทุน การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้า อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยคนไทยจำนวนมากมีความหวังว่าหลังการประชุมเอเปคจะได้มีโอกาสเดินหน้าสู่การเลือกตั้งเพื่อเลือก ส.ส.และพรรคการเมืองนำไปสู่การเป็นรัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องอย่างมีประสิทธิผลต่อไป
อมรัตน์ ไม่กังวลใจ โดนหมายจับ สน.นางเลิ้ง คดีหมิ่น ‘ประยุทธ์’ รายงานตัวพรุ่งนี้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3671588
อมรัตน์ เผยไม่กังวลใจ โดนหมายจับ สน.นางเลิ้ง หมิ่น ‘ประยุทธ์’ รายงานตัวพรุ่งนี้
จากกรณีที่ นายอภิวัฒน์ ขันทอง กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีแก่ผู้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีและการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือ คตส. ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 32/2563 แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง ให้ดำเนินคดีกับ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความลงในบัญชีทวิตเตอร์ ซึ่งเปิดบัญชีแบบสาธารณะ บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ล่าสุด ศาลอาญากรุงเทพใต้อนุมัติหมายจับนางอมรัตน์แล้ว โดยนางอมรัตน์จะเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง วันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน นางอมรัตน์เผยทาง เพจเฟซบุ๊ก ว่า
คดีหมิ่นประมาทนายกฯไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษร้ายแรงอะไร ดิฉันไม่มีความกังวลใจใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องคิดหลบหนี (ไม่เคยคิดหลบหนีในทุกคดี แม้จะไม่มีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม)
ก่อนที่จะไปรายงานตัวที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อขอให้ศาลปลดล็อกหมายจับในวันพรุ่งนี้ (14) เวลา 13.30 น. ขอชี้แจงคร่าวๆ ต่อผู้สนใจสอบถามมาดังนี้
หากใครติดตามข่าวจะทราบว่าที่ สน.นางเลิ้ง เต็มไปด้วยคดีความเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทนายกรัฐมนตรีที่นายอภิวัฒน์ ขันทอง ลูกน้องคุณประยุทธ์ เป็นผู้เข้าแจ้งความต่อบุคคลจำนวนมาก เท่าที่นึกได้เร็วๆ อาทิ คุณฮาร์ท สุทธิพงศ์ คุณมิลลิ คุณจอห์น วิญญู อาจารย์นักวิชาการ เช่น อ.ยุกติ ฯลฯ
สำหรับตัวดิฉันได้รับหมายเรียกรัวๆ แทบนับไม่ถ้วนจาก สน.นี้ จนสับสนไม่รู้คดีไหนเป็นคดีไหน คดีไหนเรียกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ งงไปหมด โดยเฉพาะวันหลังจากการอภิปรายในสภา
ดิฉันไม่ได้บิดพลิ้ว ที่ผ่านมาเคยไปรายงานตัวตามหมายเรียก สน.นางเลิ้ง มาแล้ว ไปให้ปากคำพิมพ์ลายนิ้วมือ และ สน.นางเลิ้ง นำตัวดิฉันส่งฟ้องอัยการ ซึ่งก็ไปตามนัด ขณะนี้คดีนั้นอยู่ในชั้นอัยการ
หลังจากนั้นดิฉันทำงานในสภา ใน กมธ. งานบริหารพรรค และงานเดินสายพบสมาชิก รวมทั้งกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญทั้งใน กทม.และ ตจว.แทบไม่มีวันหยุดพัก
1. หมายเรียกคดีหมิ่นประมาทจาก สน.นางเลิ้ง หลายครั้งส่งไม่ถึงมือ เพราะที่อยู่ปัจจุบันกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้านเป็นคนละหลังกัน
2. หลายครั้งดิฉันขอให้ทนายแจ้งทาง สน.ขอเลื่อนนัดออกไป เพราะไปตรงกับกำหนดการไป ตจว.
3. ครั้งหนึ่งมีปัญหาสุขภาพต้องเข้าผ่าตัดที่ รพ.พญาไท 2 ก็แจ้งขอเลื่อนไป และต่อมาเมื่อเปิดสมัยประชุมก็ขอใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียก
ขณะแอดมิตหลังผ่าตัดที่ รพ.แพทย์แจ้งว่ามี จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ตามมาตรวจสอบกับแพทย์เจ้าของไข้ถึงที่ รพ.ว่าผ่าตัดจริงหรือไม่
หลังเปิดสมัยประชุมล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา แม้ดิฉันสามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ไม่ต้องไปรับทราบข้อกล่าวหาก็ได้ (ดิฉันยังไม่ทราบว่าถูกศาลออกหมายจับแล้ว)
แต่สัปดาห์นี้ (14-18 พ.ย.) มีการงดประชุมสภาทั้งสัปดาห์เนื่องจากการประชุมเอเปค ดิฉันเห็นเป็นโอกาสดี มีเวลาว่าง ไม่มีคิวงาน ตจว. จึงรีบแจ้งทนายให้ติดต่อกับทาง สน.นางเลิ้ง เพื่อขอเข้ารายงานตัวตามหมายเรียกในวันที่ 14 พ.ย. เวลาบ่ายโมงครึ่ง
หลังทนายโทรไปนัด วันรุ่งขึ้นจึงทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่าดิฉันถูกศาลออกหมายจับก่อนหน้าไปแล้ว (เพิ่งทราบจากสื่อมวลชนเหมือนกันว่าหมายจับออกตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.65)
ในตอนแรกทนายติดต่อจะขอไป สน.ในวันที่ 15 แต่หลังวางสายเช็กตารางงานอีกทีพบว่าไม่สะดวก จึงโทรไปขอเปลี่ยนเป็นวันที่ 14 เวลาบ่ายโมงครึ่งแทน
ช่วงเวลาชั่วครู่เดียวเท่านั้นก่อนจะขอเปลี่ยนวันจาก 15 เป็น 14 จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ก็รีบแพร่กระจายข่าวต่อสื่อมวลชนไปแล้ว
ในข่าวจึงลงวันที่นัดหมายผิดวันเป็นวันที่ 15 จะถือว่า จนท.ตำรวจ สน.นางเลิ้ง มีความกระตือรือร้นในการติดตามคดีหมิ่นประมาทนายกฯอย่างผิดสังเกตได้หรือไม่