ผมมีโอกาสได้คุยกับคนเยอะหลาย ๆ เรื่อง ทั้งในสมัยเรียนและทำงาน ผมสังเกตว่ามีหลายครั้งที่มีการแสดงความเห็นถึงเรื่องนึงไว้อย่างแน่วแน่ แต่พอมันเกิดขึ้นกับตัวเอง กลับเปลี่ยนความเห็นตัวเองไปในอีกทิศทางนึงเลย ตัวอย่างเช่น
1.ผมมีเพื่อนคนนึงเป็นช่างภาพ รับงานถ่ายภาพเป็นอาชีพหลัก (ผมว่าค่อนข้างมืออาชีพเลย) ช่วงที่มีดราม่าเกี่ยวกับวินมอเตอร์ไซด์ด่าคนขับ Grab หาว่าแย่งลูกค้า ตัวเองทำถูกกฎหมายเหนื่อยแทบตายกว่าจะได้เสื้อวินมา Grab มาแย่งไปแบบนี้ได้ยังไง เพื่อนผมคนนี้เข้าข้าง Grab เต็มที่ บอกว่าลูกค้ามีสิทธิเลือกเองว่าจะจ่ายเงินให้ใคร ระบบทุนนิยมต้องแข่งกันที่คุณภาพ คุณก็บริการให้ดีเหมือน Grab สิลูกค้าจะได้มาใช้ แต่ว่าหลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ทุกคนคงจำกันได้มันมีดราม่าเกี่ยวกับช่างภาพที่ตัดราคา คิดราคาถูกเกินไป ทำให้พวกช่างภาพรู้สึกไม่ชอบใจด่าว่าทำแบบนี้เสื่อมเสียถึงช่างภาพมืออาชีพ กลายเป็นว่าเพื่อนผมคนนี้เข้าข้างพวกช่างภาพมืออาชีพครับ ด่าช่างภาพที่คิดราคาถูก หาว่าทำให้เสื่อมเสีย
ประเด็นผมคืองี้ครับ ถ้าเพื่อนผมคนนี้ไม่ด่า Grab ที่มาแย่งลูกค้าจากพวกวิน เขาก็ต้องไม่ด่าช่างภาพที่คิดราคาถูกด้วย เพราะเป็นทุนนิยม แข่งกันที่คุณภาพ ให้ลูกค้าเลือกเองว่าจะจ่ายเงินให้ใคร
2.สมัยเรียนกลุ่มผมมีทั้งชายและหญิง อยู่หอในกัน (เลือก roommate เองไม่ได้ แล้วแต่หอจะจัดการให้) มีผู้ชายมาบ่นว่าไม่โอเคเลยโดนจับให้อยู่ห้องเดียวกับพวกตุ๊ดเกย์ คือห้องนึง 4 คน มีเขาเป็นผู้ชายคนเดียว พอเอาเรื่องนี้มาบ่น ผู้หญิงคนนึงแสดงความเห็นว่า ทำไมเหยียดเพศจัง เขาไม่ทำอะไรหรอก เขาก็เลือกนะ อยู่ไปเหอะ แต่หลังจากนั้นพอเรียนจบเริ่มทำงาน ผู้หญิงคนนี้มีการไป outing กับบริษัท นอนห้องละสองคน เขาถูกจับให้นอนกับทอม ทีนี้แหละ มาบ่นใหญ่เลย ไม่โอเค ไม่ชอบ ถึงขั้นไปบอกทีม Admin ว่าให้เปลี่ยน สุดท้ายเปลี่ยนไม่ได้ ตัดสินใจไม่ไป outing เลยครับ บอกว่ามีธุระที่บ้านวันนั้นพอดี
ประเด็นคือทำไมเขาบอกให้ผู้ชายนอนกับตุ๊ดเกย์ได้ทั้งเทอมการศึกษา แต่พอถึงทีตัวเองต้องนอนกับทอมแค่คืนสองคืนถึงไม่นอนครับ
3.ผมมีพี่ที่ทำงานคนนึงเป็นผู้หญิง พี่คนนี้เคยให้ความเห็นไว้ว่าคนเราจะเป็นเพศอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดีก็พอ เป็นตุ๊ด เกย์ ทอม ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้สังคมเขายอมรับกันหมดแล้ว หลังจากนั้นพี่ผมคนนี้มีลูกชายครับ แต่พี่คนนี้มาบ่น ๆ กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ บอกว่าลูกเขาชอบเล่นตุ๊กตา ร้องไห้บ่อย ตอนเรียนอนุบาลก็คบแต่กลุ่มเพื่อนผู้หญิง ท่าทางไม่แข็งแรง ไม่สู้คน เลยกลัวว่าลูกตัวเองจะเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย
ประเด็นคือปากบอกว่ารับได้ทุกเพศ แต่ทำไมถึงไม่โอเคถ้าลูกตัวเองจะเป็น LGBT (ยังไม่แน่ว่าจะเป็นหรือเปล่าเพราะยังเด็กอยู่)
4.ในฟิตเนสแห่งนึง มีลูกค้าคนนึงทำโทรศัพท์หาย แล้วเขาบอกว่าเห็นแว๊บ ๆ ว่าเพื่อนผมเป็นคนแอบหยิบโทรศัพท์เขาไป เขาเลยแจ้งพนักงานฟิตเนส พนักงานกับคนที่โทรศัพท์หายเลยมาบอกเพื่อนผมว่า เพื่อความสบายใจขออนุญาตค้นกระเป๋าได้ไหม ถ้าไม่ได้เอาไปก็ไม่ต้องกลัว เพื่อนผมไม่ยอมครับ บอกว่ามีสิทธิอะไรมาค้น แล้วถ้าค้นแล้วไม่เจอจะรับผิดชอบยังไง สิทธิถูกละเมิดไปแล้ว คุยกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เพื่อนผมก็ไม่ยอมให้ค้นครับแถมออกแนวด่าด้วย (มันไม่ยอมคน) สรุปโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำครับ เขาน่าจะลืมไว้ในห้องน้ำ ก็ขอโทษกัน ทีนี้หลังจากนั้นมันมีเหตุการณ์ที่เพื่อนผมทำ Airpods Pro หาย สิ่งที่มันทำคือขอค้นกระเป๋าคนในทีมทุกคนครับ คือมันไม่ได้ออกไปนอกออฟฟิศเลยตั้งแต่ตอนบ่าย มันเข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างห้องประชุมกับโต๊ะทำงาน มันเลยมั่นใจว่าต้องมีใครในแผนกหยิบไป บอกว่าถ้าไม่ได้เอาไปก็ไม่ต้องกลัวนี่ ขอค้นนิดเดียวเอง (จนถึงวันนี้มันก็ยังหาไม่เจอ)
ประเด็นคือเพื่อนผมคนนี้ไม่ยอมให้คนอื่นค้นกระเป๋า แต่ทำไมเวลาของตัวเองหายกลับอยากค้นกระเป๋าคนอื่น
5.ผมมีน้าคนนึง เป็นคนหัวสมัยใหม่ จำได้เลยเคยบอกตอนผมเด็ก ๆ ว่าการอยู่ก่อนแต่งไม่เห็นเสียหาย ทำได้ ตอนนี้น้าเขามีลูกแล้ว และผมได้ยินมาผ่านการคุยกันกับญาติ ๆ ว่าน้าคนนี้ไม่โอเคที่จะให้ลูกตัวเองอยู่ก่อนแต่ง
ประเด็นคือปากบอกว่าเห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่ง แต่พอเป็นลูกของตัวเองกลับไม่ยอมให้อยู่ก่อนแต่ง
ทุกคนมองยังไงบ้างครับ การเปลี่ยนทิศทางความเห็นแบบนี้มันผิดไหม ถือว่าคนคนนั้นเชื่อถือไม่ได้หรือเปล่า ไม่มีหลักการ ไม่มีจุดยืน หรือทุกคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องนึกถึงผลประโยชน์ตัวเองก่อนเสมอ
เป็นเรื่องผิดไหมที่คนคนนึงมีการแสดงความเห็นไว้แบบนึง แต่พอสถานการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเองกลับเปลี่ยนความเห็นไปอีกทางนึง
1.ผมมีเพื่อนคนนึงเป็นช่างภาพ รับงานถ่ายภาพเป็นอาชีพหลัก (ผมว่าค่อนข้างมืออาชีพเลย) ช่วงที่มีดราม่าเกี่ยวกับวินมอเตอร์ไซด์ด่าคนขับ Grab หาว่าแย่งลูกค้า ตัวเองทำถูกกฎหมายเหนื่อยแทบตายกว่าจะได้เสื้อวินมา Grab มาแย่งไปแบบนี้ได้ยังไง เพื่อนผมคนนี้เข้าข้าง Grab เต็มที่ บอกว่าลูกค้ามีสิทธิเลือกเองว่าจะจ่ายเงินให้ใคร ระบบทุนนิยมต้องแข่งกันที่คุณภาพ คุณก็บริการให้ดีเหมือน Grab สิลูกค้าจะได้มาใช้ แต่ว่าหลังจากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ทุกคนคงจำกันได้มันมีดราม่าเกี่ยวกับช่างภาพที่ตัดราคา คิดราคาถูกเกินไป ทำให้พวกช่างภาพรู้สึกไม่ชอบใจด่าว่าทำแบบนี้เสื่อมเสียถึงช่างภาพมืออาชีพ กลายเป็นว่าเพื่อนผมคนนี้เข้าข้างพวกช่างภาพมืออาชีพครับ ด่าช่างภาพที่คิดราคาถูก หาว่าทำให้เสื่อมเสีย
ประเด็นผมคืองี้ครับ ถ้าเพื่อนผมคนนี้ไม่ด่า Grab ที่มาแย่งลูกค้าจากพวกวิน เขาก็ต้องไม่ด่าช่างภาพที่คิดราคาถูกด้วย เพราะเป็นทุนนิยม แข่งกันที่คุณภาพ ให้ลูกค้าเลือกเองว่าจะจ่ายเงินให้ใคร
2.สมัยเรียนกลุ่มผมมีทั้งชายและหญิง อยู่หอในกัน (เลือก roommate เองไม่ได้ แล้วแต่หอจะจัดการให้) มีผู้ชายมาบ่นว่าไม่โอเคเลยโดนจับให้อยู่ห้องเดียวกับพวกตุ๊ดเกย์ คือห้องนึง 4 คน มีเขาเป็นผู้ชายคนเดียว พอเอาเรื่องนี้มาบ่น ผู้หญิงคนนึงแสดงความเห็นว่า ทำไมเหยียดเพศจัง เขาไม่ทำอะไรหรอก เขาก็เลือกนะ อยู่ไปเหอะ แต่หลังจากนั้นพอเรียนจบเริ่มทำงาน ผู้หญิงคนนี้มีการไป outing กับบริษัท นอนห้องละสองคน เขาถูกจับให้นอนกับทอม ทีนี้แหละ มาบ่นใหญ่เลย ไม่โอเค ไม่ชอบ ถึงขั้นไปบอกทีม Admin ว่าให้เปลี่ยน สุดท้ายเปลี่ยนไม่ได้ ตัดสินใจไม่ไป outing เลยครับ บอกว่ามีธุระที่บ้านวันนั้นพอดี
ประเด็นคือทำไมเขาบอกให้ผู้ชายนอนกับตุ๊ดเกย์ได้ทั้งเทอมการศึกษา แต่พอถึงทีตัวเองต้องนอนกับทอมแค่คืนสองคืนถึงไม่นอนครับ
3.ผมมีพี่ที่ทำงานคนนึงเป็นผู้หญิง พี่คนนี้เคยให้ความเห็นไว้ว่าคนเราจะเป็นเพศอะไรก็ได้ ขอให้เป็นคนดีก็พอ เป็นตุ๊ด เกย์ ทอม ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้สังคมเขายอมรับกันหมดแล้ว หลังจากนั้นพี่ผมคนนี้มีลูกชายครับ แต่พี่คนนี้มาบ่น ๆ กับเพื่อน ๆ น้อง ๆ บอกว่าลูกเขาชอบเล่นตุ๊กตา ร้องไห้บ่อย ตอนเรียนอนุบาลก็คบแต่กลุ่มเพื่อนผู้หญิง ท่าทางไม่แข็งแรง ไม่สู้คน เลยกลัวว่าลูกตัวเองจะเบี่ยงเบนทางเพศ ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเลย
ประเด็นคือปากบอกว่ารับได้ทุกเพศ แต่ทำไมถึงไม่โอเคถ้าลูกตัวเองจะเป็น LGBT (ยังไม่แน่ว่าจะเป็นหรือเปล่าเพราะยังเด็กอยู่)
4.ในฟิตเนสแห่งนึง มีลูกค้าคนนึงทำโทรศัพท์หาย แล้วเขาบอกว่าเห็นแว๊บ ๆ ว่าเพื่อนผมเป็นคนแอบหยิบโทรศัพท์เขาไป เขาเลยแจ้งพนักงานฟิตเนส พนักงานกับคนที่โทรศัพท์หายเลยมาบอกเพื่อนผมว่า เพื่อความสบายใจขออนุญาตค้นกระเป๋าได้ไหม ถ้าไม่ได้เอาไปก็ไม่ต้องกลัว เพื่อนผมไม่ยอมครับ บอกว่ามีสิทธิอะไรมาค้น แล้วถ้าค้นแล้วไม่เจอจะรับผิดชอบยังไง สิทธิถูกละเมิดไปแล้ว คุยกันอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เพื่อนผมก็ไม่ยอมให้ค้นครับแถมออกแนวด่าด้วย (มันไม่ยอมคน) สรุปโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำครับ เขาน่าจะลืมไว้ในห้องน้ำ ก็ขอโทษกัน ทีนี้หลังจากนั้นมันมีเหตุการณ์ที่เพื่อนผมทำ Airpods Pro หาย สิ่งที่มันทำคือขอค้นกระเป๋าคนในทีมทุกคนครับ คือมันไม่ได้ออกไปนอกออฟฟิศเลยตั้งแต่ตอนบ่าย มันเข้า ๆ ออก ๆ ระหว่างห้องประชุมกับโต๊ะทำงาน มันเลยมั่นใจว่าต้องมีใครในแผนกหยิบไป บอกว่าถ้าไม่ได้เอาไปก็ไม่ต้องกลัวนี่ ขอค้นนิดเดียวเอง (จนถึงวันนี้มันก็ยังหาไม่เจอ)
ประเด็นคือเพื่อนผมคนนี้ไม่ยอมให้คนอื่นค้นกระเป๋า แต่ทำไมเวลาของตัวเองหายกลับอยากค้นกระเป๋าคนอื่น
5.ผมมีน้าคนนึง เป็นคนหัวสมัยใหม่ จำได้เลยเคยบอกตอนผมเด็ก ๆ ว่าการอยู่ก่อนแต่งไม่เห็นเสียหาย ทำได้ ตอนนี้น้าเขามีลูกแล้ว และผมได้ยินมาผ่านการคุยกันกับญาติ ๆ ว่าน้าคนนี้ไม่โอเคที่จะให้ลูกตัวเองอยู่ก่อนแต่ง
ประเด็นคือปากบอกว่าเห็นด้วยกับการอยู่ก่อนแต่ง แต่พอเป็นลูกของตัวเองกลับไม่ยอมให้อยู่ก่อนแต่ง
ทุกคนมองยังไงบ้างครับ การเปลี่ยนทิศทางความเห็นแบบนี้มันผิดไหม ถือว่าคนคนนั้นเชื่อถือไม่ได้หรือเปล่า ไม่มีหลักการ ไม่มีจุดยืน หรือทุกคนมองว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องนึกถึงผลประโยชน์ตัวเองก่อนเสมอ