"พิธา"ย้ำจุดยืนก้าวไกลไม่ร่วมกับพรรคสืบทอดอำนาจ
nationtv.tv/news/politics/378891910
"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์"ย้ำจุดยืนก้าวไกลชัดเป็นไปไม่ได้ร่วมงานการเมืองกับพลังประชารัฐ ส่วนสูตรจับขั้วยังเป็นเพียงสมมติฐาน
5 พฤศจิกายน 2565 "
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า พรรคไม่ขอวิจารณ์ พรรคเพื่อไทยหากจับขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคของตนคือก้าวไกล ซึ่งสิ่งที่ควบคุมได้ก็คือ การเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอานโยบายที่ถูกต้อง และมีเงื่อนไขที่อยู่บนโต๊ะให้ประชาชนได้ทราบ เพราะตนต้องการผลักดันนโยบายที่เป็นลายเซ็นของตน ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมกันในเศรษฐกิจ ต้องทำสุราก้าวหน้าให้ผ่าน รวมถึงเรื่องสมรสเท่าเทียมซึ่งต้องทำให้ได้ สวัสดิการจะเกิดได้ต้องมีการปฏิรูปกองทัพ
ทั้งนี้ ยังไม่มีการหารือกับกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร ถึงเวลาถ้าคณิตศาสตร์การเมืองผลมันออก มีใบสั่งจากประชาชนแล้วว่าต้องทำอย่างไร เดี๋ยวต้องค่อยว่ากันว่า เงื่อนไขคืออะไร ก็ต้องคุยกันในคืนวันที่ผลเลือกตั้งออก
"
การร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อุดมการณ์ต่างกันและสืบทอดจากอำนาจเผด็จการ ตอนนี้มันฟันธงแบบนั้นไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่าจะร่วมงานกับใคร เอาเงื่อนไขมาเป็นตัวตั้ง ไม่มีการเจรจาใต้โต๊ะ ก็ต้องรู้ว่าเงื่อนไขของเรามีอะไรที่ยอมได้หรือไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็พูดได้ว่ามันมีพรรคการเมืองที่มาจากระบบรัฐประหารการสืบทอดอำนาจที่เราไม่มีวันเข้าร่วมอย่างแน่นอน ส่วนตรงกลางเราต้องดูอีกทีว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราต้องอยู่กับความเป็นจริงในทางการเมือง แต่ที่แน่ๆ ถ้ามาจากการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้มาจากประชาชน มีการคอร์รัปชัน เราไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว" นาย
พิธา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องดังกล่าวเป็นสมมติฐานที่ไม่ต้องไปถึงขนาดนั้น เพราะตนก็ยังไม่เห็นความชัดเจนจากทางพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนก็ยินดีกับพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนมีสูตรการจับขั้วอย่างไร เป็นสมมติฐานที่อยู่ไกลเกินกว่าหัวหน้าพรรคอย่างตน ตอบให้เป็นประเด็นการเมืองต่อไปได้
เมื่อถามว่า กระแสข่าว "พล.อ.
ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี อาจแยกตัวจาก "พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ที่จะไปรวมไทยสร้างชาติ จะลดทอนเรื่องของการตัดสินใจที่จะร่วมกับพรรคเพื่อไทย และพลังประชารัฐ นาย
พิธา กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ แต่ทำงานกันไม่ได้แน่นอน เป็นนายกฯคนละครึ่งแบบนี้ และอยู่ได้แค่ 2 ปีแบบนี้ เหมือนยาหมดอายุ ที่หมดอายุไปนานแล้ว แต่ขอเพิ่มอีก 2 ปี
"
ซึ่งพออยู่บนหิ้งฤทธิ์ยา ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการพูดให้คนฟัง หรือตัดสินใจที่จะทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือข้าราชการ ส่วนจะรักษาอำนาจได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของเขา แต่บริหารไม่ได้เป็นเรื่องที่แน่นอน" นาย
พิธา ระบุ
ก้าวไกล ประกาศรีดงบกองทัพ ทำ 19 สวัสดิการก้าวหน้า ดูแลคนไทย ตั้งแต่เกิดยันตาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657081
“พิธา” นำทีมแถลงเปิดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้า ไม่ขายฝัน ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย ใช้งบ 6.5 แสนล้าน รีดไขมันกองทัพ มีเงินจ่าย ทำได้จริง ชูเรียนฟรี ค่าเเรงขั้นต่ำ 450 บ. ประกันสังคมถ้วนหน้า
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ศูนย์เด็กเล็กในวัดลาดพร้าว กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดงานแถลงข่าวเปิดนโยบายชุดที่สอง “
สวัสดิการไทยก้าวหน้า” มีแกนนำพรรคเข้าร่วมคึกคัก อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรค ก.ก.
นาย
พิธากล่าวเปิดงานว่า สวัสดิการไทยก้าวหน้า เกี่ยวข้องกับปากท้องโดยตรง เชื่อมโยงนโยบายด้านอื่น เช่น การเมือง การทำสวัสดิการใช้งบมาก ต้องจัดสรรงบใหม่ เอางบความมั่นคงมาเป็นงบสวัสดิการ เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ จะเป็นเช่นนั้นได้ ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อำนาจต้องเป็นของประชาชน บุคคลหนึ่งที่พูดถึงสวัสดิการมานาน ที่เรียกว่าตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน คือ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แต่ผ่านมาหลายสิบปี สังคมไทยวันนี้ยังมีสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุม ในวันที่ประชาชนมีความตื่นตัวสูงขึ้นเรื่องสวัสดิการ พรรคก้าวไกลจึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
นาย
พิธากล่าวว่า นโยบายสวัสดิการของเรา จะสร้างประเทศที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยการวางตาข่ายรองรับคุณภาพชีวิต และโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชน สร้างประเทศที่ปลดปล่อยศักยภาพของคนไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไปข้างหน้า คนรุ่นใหม่จะกล้าเสี่ยงสร้างธุรกิจหรือไล่ตามความฝันของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าพลาดไป ล้มแล้วยังลุกได้เรามาเสนอรัฐสวัสดิการที่ทำได้จริง ไม่ได้ขายฝัน สามารถหาเงินมาจ่ายรัฐสวัสดิการได้ทุกบาททุกสตางค์ เป็นนโยบายสวัสดิการก้าวหน้า ตั้งแต่ เกิดจนตาย
ด้าน น.ส.
ศิริกัญญากล่าวว่า ด้วยการอธิบายถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ 650,000 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2570 ที่จะต้องนำมาสร้างระบบสวัสดิการตามข้อเสนอของพรรค ก.ก. โดยถือเป็นความรับผิดชอบของพรรคที่ต้องแจกแจงที่มารายได้ทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน เพื่อยืนยันว่าสวัสดิการทั้งหมด มีเงินจ่าย ทำได้จริง หลักการสำคัญของพรรค ในการจัดหางบประมาณ คือต้องไม่สร้างผลกระทบต่อคนหมู่มาก เริ่มต้นที่การตัดลดงบที่ไม่จำเป็น เช่น ลดขนาดกองทัพ เรียกคืนธุรกิจกองทัพ ลดงบกลาง ลดโครงการที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพ ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่แล้ว เช่น การจัดเก็บภาษีรายได้นิติบุคคลที่เป็นธรรม ระหว่างทุนใหญ่ กับผู้ประกอบการรายย่อย และการพิจารณาภาษีก้าวหน้าประเภทใหม่ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เช่น ภาษีที่ดินรวมแปลงในกรณีที่บุคคลครอบครองที่ดินจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ และภาษีความมั่งคั่ง ด้วยการเก็บภาษีความมั่งคั่งแบบขั้นบันไดจากบุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิเกิน 300 ล้านบาท เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชุดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้า แบ่งตาม 5 ช่วงวัย คือ เกิด เติบโต ทำงาน สูงวัย และทุกอายุ มี 19 นโยบาย ดังนี้ ช่วงวัยเกิด คือ ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้ ศูนย์ดูแลเด็กใกล้บ้านและที่ทำงาน ช่วงวัยเติบโต คือ เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ยกเลิกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผ้าอนามัยและนำร่องแจกผ้าอนามัยฟรีในโรงเรียน
ช่วงวัยทำงาน คือ ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชยและค่าเดินทางหาหมอ เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และคูปองเรียนเสริม ช่วงสูงวัย คือ เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท และช่วงทุกอายุ คือ บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง รัฐช่วยผ่อน-จ่ายค่าเช่า น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่ เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ 18 เน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
เศรษฐา แนะรัฐ ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน วางเงื่อนไขให้เข้ม-ผูกมัดระยะยาว ดีกว่าการขายขาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657283
เศรษฐา แนะรัฐ ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน วางเงื่อนไขให้เข้ม-ผูกมัดระยะยาว ดีกว่าการขายขาด
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นาย
เศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวิตข้อความแสดงความคิดเห็นเรื่องการออกกฎกระทรวงให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้ ซื้อที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยมีเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำ 40 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยระบุว่า
“เรื่องต่างชาติซื้อที่ดิน มีคนถามว่าผมคิดยังไง การเพิ่มน้ำหนักผูกมัดในรูปแบบการเช่าระยะยาวแทนก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีไม่แพ้กันนะครับ โดย ให้เช่าได้ระยะยาวมากขึ้น และทำให้การเช่ามีศักดิ์และสิทธิ์ในการครอบครองและใช้ประโยชน์เสมือนเป็นเจ้าของ”
“และเมื่อเช่าไปแล้ว สิทธิการใช้ที่ดินตรงนั้นต้องเป็นสิทธิขาดในการครอบครองใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ของผู้เช่า เว้นแต่ทำผิดกฏหมายและ/หรือสัญญาที่ตกลงกันไว้
“ถ้าโครงสร้างนี้เกิดขึ้นได้ ผมว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องขายที่ดินให้ขาดก็ได้ และยังสามารถทำหน้าที่ดึงให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ในไทย และมีความผูกพันระยะยาว สร้างรายได้เข้าประเทศจากภาษีค่าเช่า และการใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ นาย
เศรษฐา ได้ทวิตอีกว่า “
นโยบายเรื่องการบริหารจัดการน้ำก็สำคัญยิ่ง เงินลงทุนเรื่องนี้ทั้งหมดจะถูกนําไปใช้ในการสร้าง GDP ของประเทศเราผ่านภาคเกษตร ในขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ เงินเราไปสร้าง GDP ให้คู่ค้าเราที่เราซื้อของจากเขา ภาวะงบจำกัดคอรัปชั่นยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องนี้ต้องระวัง”
นิพิฏฐ์ ชี้ 2 ปรากฏการณ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน มั่นใจกลิ่นยุบสภา โชยมาแล้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657197
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นาย
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมย้ำว่า การยุบสภากำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยระบุว่า
“อย่างที่เคยพูดไว้ สมัยประชุมนี้ จะมีปรากฏการณ์ 2 เรื่อง เกิดขึ้น คือ
1. ส.ส.เริ่มลาออก
2. สภาล่ม
วันนี้ ปรากฏการณ์ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เหตุการณ์นี้ สะท้อนว่า
1. สภาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะประชุมไม่ได้ ส.ส.อยู่ไปก็เปลืองเงินเดือนภาษีอากรของประชาชน
2. รัฐบาลไม่สามารถใช้สภาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมายได้อีกต่อไปแล้ว
กลิ่นการยุบสภา จึงโชยมา…”
JJNY : 5in1 "พิธา"ย้ำจุดยืน| ก้าวไกลประกาศรีดงบกองทัพ| นิพิฏฐ์ ชี้ 2ปรากฏการณ์| เศรษฐาแนะให้ต่างชาติเช่า| โสมแดงไม่เลิก!
nationtv.tv/news/politics/378891910
"พิธา ลิ้มเจริญรัตน์"ย้ำจุดยืนก้าวไกลชัดเป็นไปไม่ได้ร่วมงานการเมืองกับพลังประชารัฐ ส่วนสูตรจับขั้วยังเป็นเพียงสมมติฐาน
5 พฤศจิกายน 2565 "นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า พรรคไม่ขอวิจารณ์ พรรคเพื่อไทยหากจับขั้วกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคของตนคือก้าวไกล ซึ่งสิ่งที่ควบคุมได้ก็คือ การเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง เอานโยบายที่ถูกต้อง และมีเงื่อนไขที่อยู่บนโต๊ะให้ประชาชนได้ทราบ เพราะตนต้องการผลักดันนโยบายที่เป็นลายเซ็นของตน ที่ต้องการผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมกันในเศรษฐกิจ ต้องทำสุราก้าวหน้าให้ผ่าน รวมถึงเรื่องสมรสเท่าเทียมซึ่งต้องทำให้ได้ สวัสดิการจะเกิดได้ต้องมีการปฏิรูปกองทัพ
ทั้งนี้ ยังไม่มีการหารือกับกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไร ถึงเวลาถ้าคณิตศาสตร์การเมืองผลมันออก มีใบสั่งจากประชาชนแล้วว่าต้องทำอย่างไร เดี๋ยวต้องค่อยว่ากันว่า เงื่อนไขคืออะไร ก็ต้องคุยกันในคืนวันที่ผลเลือกตั้งออก
"การร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อุดมการณ์ต่างกันและสืบทอดจากอำนาจเผด็จการ ตอนนี้มันฟันธงแบบนั้นไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่าจะร่วมงานกับใคร เอาเงื่อนไขมาเป็นตัวตั้ง ไม่มีการเจรจาใต้โต๊ะ ก็ต้องรู้ว่าเงื่อนไขของเรามีอะไรที่ยอมได้หรือไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็พูดได้ว่ามันมีพรรคการเมืองที่มาจากระบบรัฐประหารการสืบทอดอำนาจที่เราไม่มีวันเข้าร่วมอย่างแน่นอน ส่วนตรงกลางเราต้องดูอีกทีว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราต้องอยู่กับความเป็นจริงในทางการเมือง แต่ที่แน่ๆ ถ้ามาจากการสืบทอดอำนาจ ไม่ได้มาจากประชาชน มีการคอร์รัปชัน เราไปด้วยไม่ได้อยู่แล้ว" นายพิธา กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องดังกล่าวเป็นสมมติฐานที่ไม่ต้องไปถึงขนาดนั้น เพราะตนก็ยังไม่เห็นความชัดเจนจากทางพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนก็ยินดีกับพรรคเพื่อไทย แต่ไม่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนมีสูตรการจับขั้วอย่างไร เป็นสมมติฐานที่อยู่ไกลเกินกว่าหัวหน้าพรรคอย่างตน ตอบให้เป็นประเด็นการเมืองต่อไปได้
เมื่อถามว่า กระแสข่าว "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี อาจแยกตัวจาก "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ที่จะไปรวมไทยสร้างชาติ จะลดทอนเรื่องของการตัดสินใจที่จะร่วมกับพรรคเพื่อไทย และพลังประชารัฐ นายพิธา กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ แต่ทำงานกันไม่ได้แน่นอน เป็นนายกฯคนละครึ่งแบบนี้ และอยู่ได้แค่ 2 ปีแบบนี้ เหมือนยาหมดอายุ ที่หมดอายุไปนานแล้ว แต่ขอเพิ่มอีก 2 ปี
"ซึ่งพออยู่บนหิ้งฤทธิ์ยา ก็ไม่มีประสิทธิภาพในการพูดให้คนฟัง หรือตัดสินใจที่จะทำงานด้วย ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือข้าราชการ ส่วนจะรักษาอำนาจได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของเขา แต่บริหารไม่ได้เป็นเรื่องที่แน่นอน" นายพิธา ระบุ
ก้าวไกล ประกาศรีดงบกองทัพ ทำ 19 สวัสดิการก้าวหน้า ดูแลคนไทย ตั้งแต่เกิดยันตาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657081
“พิธา” นำทีมแถลงเปิดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้า ไม่ขายฝัน ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย ใช้งบ 6.5 แสนล้าน รีดไขมันกองทัพ มีเงินจ่าย ทำได้จริง ชูเรียนฟรี ค่าเเรงขั้นต่ำ 450 บ. ประกันสังคมถ้วนหน้า
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ศูนย์เด็กเล็กในวัดลาดพร้าว กทม. พรรคก้าวไกล (ก.ก.) จัดงานแถลงข่าวเปิดนโยบายชุดที่สอง “สวัสดิการไทยก้าวหน้า” มีแกนนำพรรคเข้าร่วมคึกคัก อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค และ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. ในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรค ก.ก.
นายพิธากล่าวเปิดงานว่า สวัสดิการไทยก้าวหน้า เกี่ยวข้องกับปากท้องโดยตรง เชื่อมโยงนโยบายด้านอื่น เช่น การเมือง การทำสวัสดิการใช้งบมาก ต้องจัดสรรงบใหม่ เอางบความมั่นคงมาเป็นงบสวัสดิการ เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขให้คนส่วนใหญ่ของประเทศ จะเป็นเช่นนั้นได้ ประเทศต้องเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ อำนาจต้องเป็นของประชาชน บุคคลหนึ่งที่พูดถึงสวัสดิการมานาน ที่เรียกว่าตั้งแต่ครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน คือ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ แต่ผ่านมาหลายสิบปี สังคมไทยวันนี้ยังมีสวัสดิการที่ไม่ครอบคลุม ในวันที่ประชาชนมีความตื่นตัวสูงขึ้นเรื่องสวัสดิการ พรรคก้าวไกลจึงขอใช้โอกาสนี้เพื่อทำให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย
นายพิธากล่าวว่า นโยบายสวัสดิการของเรา จะสร้างประเทศที่เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างประเทศที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน โดยการวางตาข่ายรองรับคุณภาพชีวิต และโอกาสที่เท่าเทียมกันของประชาชน สร้างประเทศที่ปลดปล่อยศักยภาพของคนไทย เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจไปข้างหน้า คนรุ่นใหม่จะกล้าเสี่ยงสร้างธุรกิจหรือไล่ตามความฝันของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้ว่าถ้าพลาดไป ล้มแล้วยังลุกได้เรามาเสนอรัฐสวัสดิการที่ทำได้จริง ไม่ได้ขายฝัน สามารถหาเงินมาจ่ายรัฐสวัสดิการได้ทุกบาททุกสตางค์ เป็นนโยบายสวัสดิการก้าวหน้า ตั้งแต่ เกิดจนตาย
ด้าน น.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ด้วยการอธิบายถึงแหล่งที่มาของงบประมาณ 650,000 ล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2570 ที่จะต้องนำมาสร้างระบบสวัสดิการตามข้อเสนอของพรรค ก.ก. โดยถือเป็นความรับผิดชอบของพรรคที่ต้องแจกแจงที่มารายได้ทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมากับประชาชน เพื่อยืนยันว่าสวัสดิการทั้งหมด มีเงินจ่าย ทำได้จริง หลักการสำคัญของพรรค ในการจัดหางบประมาณ คือต้องไม่สร้างผลกระทบต่อคนหมู่มาก เริ่มต้นที่การตัดลดงบที่ไม่จำเป็น เช่น ลดขนาดกองทัพ เรียกคืนธุรกิจกองทัพ ลดงบกลาง ลดโครงการที่ไม่จำเป็น เพิ่มประสิทธิภาพ ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีที่มีอยู่แล้ว เช่น การจัดเก็บภาษีรายได้นิติบุคคลที่เป็นธรรม ระหว่างทุนใหญ่ กับผู้ประกอบการรายย่อย และการพิจารณาภาษีก้าวหน้าประเภทใหม่ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เช่น ภาษีที่ดินรวมแปลงในกรณีที่บุคคลครอบครองที่ดินจำนวนมากที่กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดทั่วประเทศ และภาษีความมั่งคั่ง ด้วยการเก็บภาษีความมั่งคั่งแบบขั้นบันไดจากบุคคลที่มีทรัพย์สินสุทธิเกิน 300 ล้านบาท เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับชุดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้า แบ่งตาม 5 ช่วงวัย คือ เกิด เติบโต ทำงาน สูงวัย และทุกอายุ มี 19 นโยบาย ดังนี้ ช่วงวัยเกิด คือ ของขวัญแรกเกิด 3,000 บาท ให้พ่อ-แม่ ซื้อสิ่งของจำเป็นในการเลี้ยงลูก เงินเด็กเล็กเดือนละ 1,200 บาท สิทธิลาคลอด 180 วัน พ่อแม่แบ่งกันได้ ศูนย์ดูแลเด็กใกล้บ้านและที่ทำงาน ช่วงวัยเติบโต คือ เรียนฟรี อาหารฟรี มีรถรับส่ง คูปองเปิดโลก ให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ยกเลิกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มผ้าอนามัยและนำร่องแจกผ้าอนามัยฟรีในโรงเรียน
ช่วงวัยทำงาน คือ ค่าแรงขั้นต่ำปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท รัฐช่วย SME 6 เดือนแรก สัญญาจ้างเป็นธรรม ทำงานไม่เกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แรงงานทุกกลุ่มตั้งสหภาพได้ สอดคล้องหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ประกันสังคมถ้วนหน้า เจ็บป่วยได้เงินชดเชยและค่าเดินทางหาหมอ เรียนเสริมทักษะ-เปลี่ยนอาชีพ ฟรีไม่จำกัดผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และคูปองเรียนเสริม ช่วงสูงวัย คือ เงินผู้สูงวัยเดือนละ 3,000 บาท สร้างระบบดูแลผู้ป่วยติดเตียง ค่าทำศพถ้วนหน้า 10,000 บาท และช่วงทุกอายุ คือ บ้านตั้งตัว 350,000 หลัง รัฐช่วยผ่อน-จ่ายค่าเช่า น้ำประปาดื่มได้ทุกพื้นที่ เติมเงินให้ท้องถิ่น เพิ่มขนส่งสาธารณะ 18 เน็ตฟรี 1 GB ต่อเดือน เงินคนพิการเดือนละ 3,000 บาท
เศรษฐา แนะรัฐ ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน วางเงื่อนไขให้เข้ม-ผูกมัดระยะยาว ดีกว่าการขายขาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657283
เศรษฐา แนะรัฐ ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน วางเงื่อนไขให้เข้ม-ผูกมัดระยะยาว ดีกว่าการขายขาด
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวิตข้อความแสดงความคิดเห็นเรื่องการออกกฎกระทรวงให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้ ซื้อที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยมีเงื่อนไขเงินลงทุนขั้นต่ำ 40 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยระบุว่า
“เรื่องต่างชาติซื้อที่ดิน มีคนถามว่าผมคิดยังไง การเพิ่มน้ำหนักผูกมัดในรูปแบบการเช่าระยะยาวแทนก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีไม่แพ้กันนะครับ โดย ให้เช่าได้ระยะยาวมากขึ้น และทำให้การเช่ามีศักดิ์และสิทธิ์ในการครอบครองและใช้ประโยชน์เสมือนเป็นเจ้าของ”
“และเมื่อเช่าไปแล้ว สิทธิการใช้ที่ดินตรงนั้นต้องเป็นสิทธิขาดในการครอบครองใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ของผู้เช่า เว้นแต่ทำผิดกฏหมายและ/หรือสัญญาที่ตกลงกันไว้
“ถ้าโครงสร้างนี้เกิดขึ้นได้ ผมว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องขายที่ดินให้ขาดก็ได้ และยังสามารถทำหน้าที่ดึงให้คนต่างชาติเข้ามาอยู่ในไทย และมีความผูกพันระยะยาว สร้างรายได้เข้าประเทศจากภาษีค่าเช่า และการใช้ประโยชน์ได้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน”
นอกจากนี้ นายเศรษฐา ได้ทวิตอีกว่า “นโยบายเรื่องการบริหารจัดการน้ำก็สำคัญยิ่ง เงินลงทุนเรื่องนี้ทั้งหมดจะถูกนําไปใช้ในการสร้าง GDP ของประเทศเราผ่านภาคเกษตร ในขณะที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ๆ เงินเราไปสร้าง GDP ให้คู่ค้าเราที่เราซื้อของจากเขา ภาวะงบจำกัดคอรัปชั่นยังเป็นปัญหาใหญ่ เรื่องนี้ต้องระวัง”
นิพิฏฐ์ ชี้ 2 ปรากฏการณ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน มั่นใจกลิ่นยุบสภา โชยมาแล้ว
https://www.matichon.co.th/politics/news_3657197
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็นทางการเมือง พร้อมย้ำว่า การยุบสภากำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ โดยระบุว่า
“อย่างที่เคยพูดไว้ สมัยประชุมนี้ จะมีปรากฏการณ์ 2 เรื่อง เกิดขึ้น คือ
1. ส.ส.เริ่มลาออก
2. สภาล่ม
วันนี้ ปรากฏการณ์ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นในวันเดียวกัน เหตุการณ์นี้ สะท้อนว่า
1. สภาไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะประชุมไม่ได้ ส.ส.อยู่ไปก็เปลืองเงินเดือนภาษีอากรของประชาชน
2. รัฐบาลไม่สามารถใช้สภาเป็นเครื่องมือในการออกกฎหมายได้อีกต่อไปแล้ว
กลิ่นการยุบสภา จึงโชยมา…”