เคยมั้ย แววตาที่ลืมไม่ลง กับความประทับใจแรกพบคนไม่รู้จักกัน

นี่คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเกือบสิบปีมาแล้ว ในวันนั้นผมผู้ซึ่งมีครอบครัวแล้ว ทำได้เพียงหันหลังเดินจากสายตาที่มองคู่นั้น และเก็บเอาช่วงเวลานั้นให้ผ่านเลยไป และไม่มีวันได้พบเจออีกครั้ง

ค่ำวันหนึ่ง แถบชานเมืองกรุงเทพ ในวันที่ผมเพิ่งจบงานแถวนั้นและต้องกลับบ้านด้วยรถสาธารณะเพราะรถยนต์ดันเจ็บป่วยต้องเข้าโรงหมอแอดมิดหลายวัน งานนี้สำคัญจนยังไงก็ต้องไปให้ได้ ขาไปก็นั่งแท็กซี่ไป ขากลับรถติดมหันต์อย่างแน่นอน ถ้านั่งแท็กซี่ ต้องให้เรียกได้ก็คงโดนค่ารถไปเฉียดครึ่งพัน ทางออกก็คือ รถตู้โดยสาร ที่จะพาผู้โดยสารพุ่งขึ้นไปบนทางด่วนผ่าเข้ากรุงได้ในราคาไม่หนักหนา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้สบายเท่าแท็กซี่ แต่ก็นับว่าดีมากแล้วเทียบกับสิ่งที่จ่าย ไม่ต้องลุ้นยืนห้อยโหนบนรถเมล์ ผมจึงเลือกวินรถตู้ใกล้ๆตรงนั้น มีเงลาพอจะแวะไปหาอะไรกินเป็นมื้อเย็นสักหน่อย โทรหาภรรยาและลูกว่ากำลังจะกลับไปแล้วนะ

ผมกะให้เวลาผ่านไปจนรถเริ่มเบาบางลง ไปซื้อตั๋วรถตู้ ได้ที่นั่งมาตามหวัง เป็นรถเที่ยวเกือบสุดท้ายของวินนี้  สภาพในตอนนี้ พร้อมหลับอย่างบอกไม่ถูก เสื้อเชิ้ตที่ใส่ถูกพักแขนขึ้นมาเหนือข้อศอก เน็คไท ร่นลงมา ปลดกระดุมคอออกหลวมๆเพื่อความสบาย กะว่า ขึ้นรถแล้ว ถ้าได้นั่งริมหน้าต่าง ผมจะหลับอย่างทิ้งตัว แต่ก็น่าเสียดาย ที่นั่งที่ได้มาเป็นเบาะเสริมซึ่งกางออกมา ด้านซ้ายเป็นชายร่างท้วมนั่งล้นอยู่ริมหน้าต่าง ด้านขวา เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่เสื้อเชิ้ต เหมือนพนักงานบริษัทที่ไม่ได้มีเครื่องแบบอะไร แต่ก็จัดว่าสุภาพเรียบร้อย
และเธอคนนี้แหละครับ ที่จะทำให้เรื่องราวนี้ไม่เคยหายไปจากผมเลย

ผมขึ้นรถตู้ไปพร้อมๆกับสายฝนที่โปรยลงมาพอดี นับว่าโชคดีก็คงไม่ผิดนัก หากช้ากว่นานี้ อาจจะเปียกก่อนจะได้ที่นั่ง แต่ในโชคดีก็คือโชคร้าย ที่ทำให้เราต้องรอจนผู้โดยสารเต็มคันก่อนถึงจะออกได้ เนื่องจากนี่คือรถรอบก่อนสุดท้าย รถไม่ได้รีบออกตามกำหนดเวลาจนกว่ารถเที่ยวสุดท้ายจะวนมาจ่อคิวถึงจะออกได้ และฝนที่ตกทำให้กรุงเทพคืนนั้นเกิดรถติดสะสมในหลายจุด รถตู้ที่ตีรถกลับมาส่งคน เพื่อออกคิวท้าย มาล่าช้ากว่าเวลาที่ตั้งไว้
"รอเต็มแล้วรถออกนะครับ"
เด็กรถเปิดประตู้รถตู้มาแจ้งผู้โดยสารที่นั่งกันอยู่ในรถและปิดประตูกลับไปแบบไม่รอคำตอบใดๆ คนนั่งก็มีบ้างที่ทำท่าไม่พอใจ แต่ไม่กี่วินาที ทุกคนก็ทำใจสงบลงและ นั่งต่อไป แน่นอนครับ ถ้ารอไม่ได้ คุณก็ตากฝนออกไปยืนโบกรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ หรือจะเรียกแท็กซี่ก็ตามสะดวก แต่ถ้าไม่อยากไปในสองรูปแบบนั้น ก็นั่งรอในรถนี่ไปเย็นๆ แห้งๆ ช้าหน่อยแต่ถูกและสบายกว่าเยอะ

เม็ดฝนหนาบนหน้าต่างรถตู้ กับเสียงเพลงในหูฟังที่ผมใส่หูไว้ กำลังทำให้ช่วงเวลาเอื่อยๆของผม ดูผ่อนคลายขึ้น ที่นั่งที่ยังว่างอยู่สองที่ กับเม็ดฝนหนาตัว ดูจะไม่ง่ายเลยที่จะมีคนวิ่งตากฝนมาคิวรถตู้ ดังนั้น จงทำใจให้สงบ หาเพลงสบายฟัง และ ปิดเปลือกตาให้ผ่อนคลาย

ที่นั่งเสริม ซึ่งมีระดับที่นั่งสูงกว่าเบาะปกติข้างๆ ทำให้ผมรอดจากพี่ชายหุ่นหมีที่นั่งล้นเก้าอี้มาได้ แม้ว่าจะโดนเบียดอยู่บ้าง แต่จากตัวผมที่สูงขึ้น ทำให้ การเบียดไหล่ชนไหล่ กลายเป็นช่วงไหล่และแขนผมเกยตัวเค้าอยู่ ประกอบกับอีกข้างที่เป็นหญิงสาวร่างเล็ก ทำให้ผมเองก็พอจะขยับตัวมาทางขวาได้มากขึ้น การนั่งจึงไม่ได้ลำบากอะไร แต่แน่นอนครับ การจะหลับลงในสภาพนี้ทำได้ไม่ง่ายเลย เพราะ เบาะเสริมไม่มีที่พิงหัวให้เราเอนตัวได้ ผมต้องนั่งคอตรง หลังเกือบตรงอยู่เช่นนั้น กอดกระเป๋าไว้กับตัว จนเริ่มหนาว จึงเปลี่ยนเป็น เอาเสื้อสูทมาคลุมตัวห่มด้านหน้าไว้ เอากระเป๋าวางทับด้านนอกอีกที

จากการขยับตัวห่มเสื้อและจัดท่านั่งของผม ทำให้ไหล่และแขนของผมไปเบียดไปโดนสาวคนข้างๆอยู่บ้าง ผมกลัวเธจะรำคาญ จึงหันไปก้มหัวและเอ่ยเบาๆว่า "ขอโทษครับ"  เธอจึงยิ้มส่ายหน้าเหมือนจะตอบว่า "ไม่เป็นไรค่ะ"  แล้วขยับตัวให้ผมได้จัดท่านั่งได้อย่างสะดวก ก่อนจะกลับลงมานั่งใหม่ ซึ่งรอบนี้ ตัวผมนั่งเบียดชิดกับเธอแบบไม่ตั้งใจ ช่วงไหล่ผม และต้นแขนเกยทับค่อนหน้ามานิดหน่อย และสูงกว่าเธอพอประมาณ ผมพยายามจัดระเบียบตัวเองให้ไม่เบียดไปทั้งพี่หมีด้านซ้ายและสาวผมยาวด้านขวา
ทันใดนั้น ก็มีคนเปิดประตูรถตู้และผู้โดยสารสองคนสุดท้ายที่ฝ่าฝนจนเปียกพุ่งขึ้นมานั่งสองที่ที่มีอยู่ และแทบจะทันทีนั้นเองที่ พนักงานขับรถก็เข้าประจำค็อกพิท พร้อมเทคออฟออกไปจากรันเวย์รถตู้วินอย่างรวดเร็ว จนได้ระดับเพดานบินที่เหมาะสมในถนนใหญ่ ก็เข้าสู่โหมด "รถติด" อย่างที่คาดไว้ ถูกต้องครับ รถติด ฝนตก กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งความอดทน ยิ่งน้ำที่เริ่มเจิ่งนองด้วยแล้ว ทำให้ประกายแสงไฟ ขาว แดง เหลือง สลับไปมาจากรถและไฟถนนที่เคลื่อนตัวสะท้อนแสงน้ำอย่างช้าๆ เป็นความงดงามของราตรีที่ไม่มีเมืองไหนเทียบได้

ในขณะที่ผมเพลิดเพลินกับประกายอัญฒมณีหยดน้ำรอบตัว กำลังเคลิ้มๆจะปิดตาลงนั่นเอง ผมรู้สกถึงบางอย่างที่ไหล่ขวาของผม น้ำหนักบางอย่างกดเข้ามาอย่างแผ่วเบา โดยไม่ต้องหันไปมองผมก็รู้ว่า นี่คือ หัวของเธอ ที่พิงเข้ามาที่ไหล่ และกำลังลงน้ำหนักมากขึ้นๆ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกว่า เธอกำลังหลับพักผ่อนลง

กลิ่นหอมจากเส้นผมที่คงเพิ่งสระจากร้านทำผมมาไม่นาน กับกลิ่นกายของการทำงานมาทั้งวันผสมกันเป็นไออุ่นๆโชยเอื่อยมาแตะจมูก  ผมนั่งนิ่ง กอดอกหลวมๆอยู่ภายใต้เสื้อสุทที่คลุมตัวเอาไว้ ตอนนี้ผมไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ได้แต่นั่งเฉย โดยพยายามไม่เกร็ง แต่จากสภาพการจราจรที่ทุกครั้ง หากมีโอกาสจะขยับได้ นักบินของเที่ยวบินวินตู้ ก็จะออกตัว พร้อมจกช่องว่างอย่างร้ายกาจ ราวกับว่าก่อนนี้ เค้าขับเครื่องบินรบมาก่อนก็ไม่ปาน การโยกซ้ายขวา เบรคหยุดสั้นๆสลับไปมา ทำให้คนบนรถโยกย้ายตัวไปมาเบาๆ แต่สำหรับผม ผมไม่สามารถปล่อยตัวให้โยกแบบนั้นได้ครับ ผมนั่งเกร็งตัวนิ่งให้ตัวไม่แกว่งไปมา เพราะ หากผมส่ายไปมา จะกระแทกให้เธอต้องตื่นอย่างไม่ต้องสงสัย ผมได้แต่รู้สึกว่า หากเธอตื่น เธอคงจะเขินอายที่เป็นาวเป็นนาง มาหลับหัวไหลพิงชายที่ไหนก็ไม่รู้

แต่เบาะเสริม กับความสูงของเราสอง เจ้ากรรมก็ดันลงตัวพอดี ตำแหน่งที่นั่ง ไหล่ผมที่เกยมาด้านหน้านิดหน่อย ทำให้เธอเอียงหัวมานิดเดียวก็เข้าล็อคพิงไปได้อย่างพอดีแล้ว

"ห่านเอ๊ยยย อะไรวะ มันเปิดไฟเขียวยังไงของมัน ทางนี้เปิดสิบวิ ทางนั้นเปิดมาเป็นนาที"
เสียงสบถลอยมาจากคนขับรถ เมื่อต้องเบรคตัวโก่งหยุดติดไฟแดงเป็นคันแรก หลังจากที่ติดแหง่กมาเป็นนาที พอไฟเขียวมาก็ไหลไปได้เพียงไม่กี่คันเท่านั้น แสงสีแดงเรืองๆที่สะท้อนประกายเม็ดฝนรอบคันเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ตอนนี้เราติดไฟแดงอยู่ แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเอง แทบจะทันทีที่ประกายแสงเปลี่ยนสี เป็นสีเขียว  รถตู้ของเราก็สวมวิญญาณรถซิ่ง สับเกียร์จังหวะเดียวกับที่ไฟเปลี่ยนสี ออกตัวด้วยแรงจีระดับนักบินอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้คนบนรถถึงกับหลังติดเบาะกันไปเลย บ้างก็ตื่นจากการหลับไหล บ้างก็มีเสียงอุทานเบาๆ และแน่นอนครับ น้ำหนักของหัวที่พิงไหล่ผมนั้นฉับพลันก็เบาลง และ เส้นผมอ่อนนุ่มหอมชนจำนั้นก็ แยกออกจากไหล่ผมไปอย่างช้าๆ ราวกับว่าเธอคงตกใจ ผมชำเลืองตาไปมองเธอเผื่อว่าเธอจะพูดหรือแสดงท่าทางอะไร แต่สิ่งที่เห็นคือ เธอหันออกไปนอกหน้าต่าง ไม่แม้แต่จะสบตา

ภาพของแสงไฟวิ่ง วิบวับผ่านไปอย่างเร็วดเร็ว ทำให้รู้ว่า เรากำลังพุ่งขึ้นไปบนทางด่วนแล้ว และทางด่วนนี้เอง เพียงไม่กี่สิบนาทีจากนี้ พวกเราทุกคนจะถึงที่หมายใจกลางกลุงอย่างแน่นอน แต่ อนิจจา ชะตาของคนกรุงที่น่าเศร้า  สิบวินาทีหลังจากชำระค่าะรรมเนียมทางพิเศษ รถก็หยุดนิ่ง บนลานจอดรถราคาหลายร้อยล้านบาท ยกระดับระฟ้า แห่ง สยามประเทศ

อีกครั้งที่รถเคลื่อนไปอย่างแช่มช้า เอื่อย ต่อนยอน ทำให้หัวต่างๆในรถนี้เริ่มผล็อยลงอีกครั้ง บ้างก็พิงกระจกข้าง บ้างก็โยกไปมาขึ้นลงตามสติที่ดับหาย ผมกำลังจะปล่อยตัวให้นั่งคำนับพระอินทร์ แต่ทันไดในั้นเอง ผมก็รู้สึกเหมือนโดนเบียดดันมาจากด้านขวา หญิงสาวที่เธอเอาหัวพิงไหล่ผมหลับไปรอบก่อนหน้านี้ คราวนี้ เหมือนกับว่าเธอทนไม่ไหว ยอมแพ้ให้กับความเพลีย เอนตัว ทิ้งสีข้าง ต้นแขน ไหล่เข้ามาหาผมอย่างอ่อนแรง และวางหัวเข้ากับไหล่ผมอย่างแผ่วเบา
มือผม ที่ปอดอกตัวเองอยู่ในเสื้อสูทที่คลุมไว้หลวมๆเป็นผ้าห่ม สัมผัสกับต้นแขนของเธอ  โดนทับเอาไว้แบบช่วยไม่ได้ ไม่รู้จะขยับมือออกไปยังไงดี ได้แต่นั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาหินอยู่แบบนั้น รถก็ยังขยับไปมาสลับหยุดนิ่งเ)็นระยะๆ ขยับเบาก็ไม่เป็นไร แต่พอขยับแรงสักหน่อยทำให้ผมรู้สึกได้ว่าเธอตื่นและกำลังจะขยับตัว ยกหัวขึ้น ซึ่งผมเกิดทำในสิ่งที่แปลกประหลาด สุ่มเสี่ยงจะโดนสังคมประนามเหลือเกิน 

ผมเอามือของผม ที่เคยโดนต้นแขนเธอทับไว้ แตะไปที่ต้นแขนของเธอ  ในขณะที่เธอกำลังยกตัวและหัวออกจากไหล่ผม เธอหยุดนิ่งทันทีทันใด 3 วินาทีผ่านไป เหมือนโลกหยุดหมุน ทุกอย่างรอบตัว แม้แต่เม็ดฝนก็หยุดอยู่ตรงนั้น ผมแตะมือที่ตอนนี้สัมผัสกับต้นแขนเธอเบาๆ 2-3 ครั้ง เหมือนกับการตบหลังคนคุ้นเคยว่า "ม่เป็นไรนะ"  ผมรู้สึกว่าแขนเธอเกร็งน้อยลง ร่างกายผ่อนคลายมากขึ้น เธอขยับตัวนิดหน่อย ก่อนจะทิ้งน้ำหนักพิงมาทางผม วางหัวและผมอ่อนนุ่มของเธอ รอบนี้อย่างบรรจงและแผ่วเบา  เธอเอามือข้างซ้ายของเธอมาแตะไว้ที่แขนผม  ก่อนจะเอี้ยวตัว เอามือขวามาซุกกอดตัวเอง เหมือนเด็กที่เจออากาศหนาว ห่อตัวพิงเข้ากับหมอนใบโต

ผมดึงเสื้อสูทที่คลุมตัวเองไว้ เลื่อนมันไปคลุมมือของเธอทั้งสองข้างอย่างช้าๆ  เธอดึงชายเสื้อนั้น คลุมช่วงมือที่จับและเกาะที่แขนเอาไว้ ก่อนจะนั่งนิ่ง ทิ้งน้ำหนักหัวหลับไปอีกครั้ง และในจังหวะช่วงนี้เอง ที่รถตู้วิ่งแยกออกจากเส้นทางซึ่งคับคั่ง เข้าสู่ทางที่โล่งโปร่งจนรถทำความเร็ว มุ่งหน้าสู่ที่หมายได้อย่างว่องไวขึ้น รถวิ่งนิ่งๆของมันไปอย่างนั้น ได้ไม่นาน ผมซึ่งก็เพลีย อ่อนแรงจากการทำงานมาตั้งแต่เช้ามืด ก็เผลอทิ้งหัวหลับไปแบบไม่ตั้งใจ  ซึ่งก็ไม่รู้หรอกครับว่านานกี่นาที กี่สิบนาที รู้แต่ว่า น้าหมีข้างๆขยับตัวทำให้ผมรู้สึกตื่น

แก้มของผม พิงแนบอยู่กับเส้นผมของเธอ เมื่อหัวของเธอพิงไหล่ผมหลับ หัวของผมซึ่งอ่อนระทวยลงมาพิงทับอยู่กับเธอ หนุนเส้นผมของเธอต่างหมอน รู้สึกตัวได้เช่นนั้นก็ยกหัวขึ้นอย่างตกใจ ทั้งเกรงใจและรู้สึกเขินอาย แต่ทันใดนั้นเอง
"แปะๆ" นิ้วมือของเธอ ที่เกาะแขนผมอยู่ แปะเบาๆกลับมาสองครั้ง เหมือนกับคำพูดว่า "ไม่เป็นไร"  ก่อนจะยกหัวตัวเองขึ้นและขยับตัวเบียดมาใกล้อีกหน่อย ก่อนจะวางหัวกลับลงไปใหม่ ตอนนี้ สภาพของผม และฌะอ ไม่ต่างจากคู่รัก ที่นั่งคล้องแขน เกาะแขนกันหลับไป 
"แปะๆ"

เธอแตะปลายนิ้วกับผมที่แขนเบาๆ เหมือนกับจะสื่อสารบางอย่าง แต่สำหรับผม ชายหนุ่มสายเลือดนักรบไทย จะมาทิ้งกาย เอนหัวพิงสตรีร่างน้อยเยี่ยงนี้ได้หรือกระไร ผผมนั่งนิ่งตัวตรงให้เธอพักผ่อนอย่างทะนง 
ไม่สิ ผมไม่ใช่พระเอกกล้ามล่ำแบบนั้น ผมมันหนุ่มออฟฟิศอิดโรง ที่นั่งนิ่งอยู่บนรถตู้ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า คนธรรมดาคนนึง ในดลกและนครอันกว้างใหญ่นี้ ที่ยังเอิญมาเจอกับเธอ หญิงที่ก็ใช้ชีวิตต่อสู้อยู่ในเมืองที่โหดร้ายนี้ด้วยกัน แต่เรา กลับได้มา พักพิง และเป็นที่พักพิงให้กัน แม้เพียงสั้นๆแต่ก็เหมือนเป็นช่วงเวลาให้ได้ปล่อยใจไหลไปกับเม็ดฝนชะล้างความอ่อนล้าและภาระหนักอึ้งรอบกาย

ผมขยับมือ ไปวางทาบไว้บนมือของเธอ เพียงแค่ 2 ข้อนิ้วมือเท่านั้นที่สัมผัสในตอนนี้  เธอขยับนิ้วมืออย่างแผ่วเอบา ยกปลายนิ้วชี้ข้นมาเกี่ยวกับข้อนิ้วชี้แรกของผมไว้เช่นนั้น เหมือนกับล็อคไว้ ไม่ให้ล่วงเกินเธอมากไปกว่านี้  แต่การขยับนิ้วที่อ่อนโยน แผ่วเบา เหมือนการเกาคางลูกแมวน้อยๆบนนิ้วผมนั้น มันเป็นความรู้สึกที่แปลกอย่างบอกไม่ถูกเลย ทำให้รู้ว่า เธอพิงหัว เอนกายมาซบไหล่ผมไว้โดยไม่ได้หลับแม้แต่นิดเดียว จากจุดนั้น อีกราวสิบกว่านาที เราก็มาถึงทางลง ทางด่วน มือที่เกเาะเกี่ยวและสัมผัสเบานั้นยังอยู่ ตัวที่ยังทิ้งกายเอนมา หัวและเส้นผมอ่อนนุ่มยังส่งกลิ่นกรุ่นอยู่ไม่ห่างจากหัวของผม เพียงผมหันไปทางขวาเท่านั้น แก้มและจมูกของผมก็จะซุกลงไปที่เส้นผม กับไรผมบนหน้าผากของเธอ

และเพียงนาทีหลังจากนั้น ที่รถตู้ลงมาถึงยังที่หมายปลายทาง 
"สาวรีย์แล้วครับ" ไฟรถตู้เปิดสว่างจ้า พร้อมกับทุกคนที่ขยับตัว ประตูที่เปิดออกให้ผู้โดยสารลุก และก้าวออกไปสู่บรรยากาศชื
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่