JJNY : กูรู “ไพศาล”เทียบชัดๆ|“ชัชชาติ” ลั่น กทม. พร้อม 100%|ดัชนีค้าปลีกเดือนตุลาคมยังฝืด|ค่าบาทหลุดเหนือโซน 38 บ.

กูรู “ไพศาล”เทียบชัดๆจัดประชุม “เอเปค”ยุค “ทักษิณ-บิ๊กตู่” ต่างกันลิบลับ
https://www.dailynews.co.th/news/1645865/

“ไพศาล”เทียบชัดๆจัดประชุม “เอเปค”ยุค “ทักษิณ-บิ๊กตู่”ต่างกันลิบลับ รัฐบาลชุดนี้สุดวังเวง ประชาชนไม่มีโอกาสรู้ว่าใครจะมาประชุมแน่และมีกิจกรรมอะไรบ้าง ใครได้ประโยชน์
 
 
เมื่อวันที่ 4 พ.ย.นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า 
 
วังเวงๆๆๆ
 
อีก 13 วันก็จะถึงกำหนดการประชุมเอเปคที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพแล้วและเป็นเรื่องที่ใช้เป็นเหตุขออยู่ในอำนาจต่อไปเพื่อจัดการประชุมเอเปคให้เป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีของประเทศแต่ถึงวันนี้ยังวังเวง
 
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศไม่มีโอกาสรู้เลยว่าใครที่มาประชุมแน่นอนแล้วหรือไม่มาประชุม มีหัวข้อวาระการประชุมอะไรบ้าง มีกิจกรรมอะไรบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและคนไทยหรือสมาชิกเอเปค แม้กระบวนการรักษาความปลอดภัยของผู้นำประเทศที่มาประชุมจะเป็นอย่างไร ใครรับผิดชอบ ก็ยังคงเป็นความลับในกระเป๋าใครก็ไม่รู้ 
 
ช่างต่างกันลิบลับกับเมื่อครั้งทักษิณเป็นนายก เมื่อปี 2546 ในครั้งนั้นการประชุมเอเปคคึกคักเอิกเกริกดังสนั่นลั่นโลกเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างยิ่งแก่ประเทศไทยและชาวไทยทั้งมวล
 
มีผู้มาร่วมงานประชุมครั้งนั้นเกือบ 20,000 คน มีกิจกรรมมากหลายและแบ่งสรรปันส่วนให้คนไทยและผู้ประกอบการได้ช่วยกัน จึงทำให้การประชุมเอเปคสำเร็จไปได้ด้วยดี

คราวนี้ที่ จะเป็นหน้าตาเกียรติยศของประเทศไทยก็เห็นมีแต่งานเดียว คืองานพระราชทานเลี้ยงที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเลี้ยงรับรองแก่บรรดาผู้นำประเทศเอเปคที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในวันที่ 18 พฤศจิกายน ศกนี้  คนไทยก็ต้องเอาใจช่วยกันครับ
แต่จะช่วยอะไรได้บ้างก็ไม่รู้ว่ามีอะไรจะให้ช่วย

หรือจะมีใครเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดอนออนลี่หรืออย่างไร?... 
 
https://www.facebook.com/Paisal.Fanpage/posts/pfbid0PM3GomRJvpStHGBuiU49P2qwT2J1gmhdL1sgFW3dutD8SmFFdrkRw5NE2CVviR9Ll
 

 
“ชัชชาติ” ลั่น กทม. พร้อม 100% รับประชุมเอเปก สั่งเข้มลอยกระทงต้องปลอดภัย
https://www.thairath.co.th/news/politic/2543830

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เผย กทม. พร้อมแล้ว 100% ต้อนรับการประชุม APEC 2022 ส่วนรายละเอียดการปิดถนนรอตำรวจและฝ่ายมั่นคง ขณะที่งานลอยกระทง สั่งเข้ม ความปลอดภัยสำคัญที่สุด
 
วันที่ 3 พ.ย. 2565 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานการประชุมหัวหน้าหน่วยงานของกรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 11/2565 ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า โดยการประชุมครั้งนี้มีการติดตามนโยบายตามแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ทั้ง 216 ข้อ ซึ่งได้ผลักดันลงที่สำนักที่รับผิดชอบหลักในแต่ละนโยบาย และได้เริ่มดำเนินการไปแล้วหลายร้อยเรื่อง จากนี้จะลงไปสู่การปฏิบัติให้ละเอียดมากขึ้นและลงที่รายเขตด้วย พร้อมซักซ้อมความเข้าใจ และให้ทางสำนักและเขตลงแผนปฏิบัติให้เข้มข้นจริงจัง รวมถึงการกำหนดเครื่องมือในการประเมินผลโดยมีกรอบเวลาที่ชัดเจนแบบ OKR (Objective and Key Results) ซึ่งเปลี่ยนแนวคิดจากการวัดแบบ KPI (Key Performance Indicator) เพื่อให้วัดประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น
 
สำหรับเรื่องการประชุมเอเปก 2022 (APEC 2022) นายชัชชาติ เผยว่า ได้เตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการต้อนรับตั้งแต่เรื่องการดูแลสถานที่ต่างๆ สวนเบญจกิติ รวมถึงเรื่องการเดินทาง ซึ่งตอนนี้ กทม. พร้อม 100% แล้ว ส่วนเรื่องการปิดถนนอย่างไร ปิดสวนเมื่อไหร่ คงต้องรอรายละเอียดจากทางตำรวจและฝ่ายความมั่นคงอีกครั้ง ตอนนี้ที่ปิดคือ สวนป่าเบญจกิติ จะปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย. 2565 เป็นต้นไป รวมทั้งถนนรัชดาภิเษก และสถานีรถไฟฟ้า MRT สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ด้วย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด
 
ทางด้านมาตรการความปลอดภัยในเทศกาลลอยกระทง ซึ่งตรงกับวันที่ 8 พ.ย. 2565 ได้เน้นย้ำให้เอาจริงเอาจัง ซึ่งในแต่ละเขตจะมีพื้นที่จัดลอยกระทง ต้องดูทางเข้า-ออก ต้องมีการแจ้งความหนาแน่น นำเอาเหตุการณ์ที่เกาหลีใต้มาเป็นบทเรียน ซึ่งลอยกระทงคงไม่ได้แออัดกัน แต่กลัวว่าคนจะเบียดกันตกน้ำ ดังนั้น ต้องมีมาตรการว่าเมื่อไหร่จะหยุดคนเข้าพื้นที่ ถ้ามีคนตกน้ำจะช่วยเหลืออย่างไร ลำดับการบริหารจัดการเป็นอย่างไร ขอให้ผู้อำนวยการเขตไปตรวจทุกโป๊ะโดยละเอียด เอาคนเข้าไปยืนจริงๆ ตามที่กำหนด เช่น รับน้ำหนัก 60 คน เอาคนไปยืน 60 คน รับน้ำหนักได้จริงหรือไม่
 
“ปัญหาคือ 2 ปีที่ผ่านมาไม่ได้จัดงาน บางทีเราคิดว่าโป๊ะอยู่ในสภาพใช้งาน แต่จริงๆ อาจจะใช้งานไม่ได้ และโป๊ะที่มีสภาพเสียหายอยู่ต้องปิดไม่ให้คนเข้า และต้องปิดจริง เพราะสุดท้ายแล้วอาจจะมีคนพยายามลงไปลอยกระทง เป็นเรื่องที่ต้องดูแลอย่างจริงจังและเข้มงวด รวมถึงการเข้าออกในแต่ละจุด ทั้งนี้ ได้สั่งการทุกเขตแล้ว และไม่ให้เน้นเรื่องการขายของ การละเล่น ให้เน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักเพราะเป็นสิ่งสำคัญ ส่วนเรื่องขายของให้พ้นจากพื้นที่น้ำไป เพื่อให้คนเดินเข้าออกจากพื้นที่ลอยกระทงได้ง่ายขึ้น”
 

 
ดัชนีค้าปลีกเดือนตุลาคมยังฝืด เพิ่มแค่ 1.3 จุด วอนรัฐเยียวยาครัวเรือน-ผู้ประกอบกา
https://www.matichon.co.th/economy/news_3654727
 
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีกเดือนตุลาคมไม่สดใส วอนรัฐเร่งคลอดมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือน-ผู้ประกอบการสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนตุลาคม 2565 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนตุลาคมขยับเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนกันยายนโดยได้รับปัจจัยหนุนชั่วคราวจากจำนวนวันหยุดยาวสองช่วง มาช่วยชดเชยกำลังซื้อที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตามสถานการณ์อุทกภัยหลายพื้นที่ รวมถึงต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง ค่าสาธารณูปโภค และการประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกโดยคาดว่าดัชนี RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับเพิ่มขึ้นตามการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว และเทศกาลปีใหม่ รวมถึงมาตรการอัดฉีดเม็ดเงินของภาครัฐในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
  
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า ผลการสำรวจรอบนี้ ดัชนี RSI เดือนตุลาคมปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนชั่วคราวจากจำนวนวันหยุดยาวที่มีมากกว่าเดือนกันยายน โดยมีการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยของยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending per Bill) ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และความถี่ของผู้ใช้บริการ (Frequency) ทั้งนี้เมื่อพิจารณาการบริโภคตามประเภทร้านค้า พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบห้างสรรพสินค้า, ร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต, ร้านอาหาร ปรับเพิ่มขึ้น จากการแข่งขันด้านกลยุทธ์และราคาเพื่อกระตุ้นยอดขายในเดือนที่มีวันหยุดยาว สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกำลังซื้อระดับบน ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการร้านซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ปรับลดลง ตามสถานการณ์ฝนตกชุกและอุทกภัยในบางพื้นที่ บ่งบอกถึงผู้บริโภคกำลังซื้อระดับฐานรากในต่างจังหวัดยังอ่อนแอ
  
นอกจากนี้จากการสำรวจยังพบอีกว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) ธุรกิจร้อยละ 61 ต้องลดระดับการจ้างงานลง สะท้อนถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดที่ค่อนข้างรุนแรง ในขณะที่หลังการผ่อนคลายความเข้มงวด (ปี 2565) ธุรกิจกว่าร้อยละ 48.8 ยังไม่ฟื้นตัว ยังมีการจ้างงานในระดับต่ำกว่าเดิม 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด ภาครัฐควรต้องใส่มาตรการต่างๆ ทั้งการกระตุ้นการจับจ่ายและส่งเสริมธุรกิจให้ฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อเร่งกลไกเศรษฐกิจทั้งระบบให้พลิกฟื้นโดยเร็วอย่างตรงเป้าและต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับ “การฟื้นตัวของธุรกิจภาคการค้า” ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 14-22 ตุลาคม 2565 ดังนี้ ประเมินผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจ ผลจากการขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (FT) และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ กดดันให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้น 34% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5%
49% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้น 5 – 10%
12% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้น 11 – 15%
4% ระบุว่า ต้นทุนเพิ่มขึ้นกว่า 15%
 
ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจจากการจ้างงาน
ธุรกิจ 61% ต้องลดระดับการจ้างงานในช่วงวิกฤตโควิดสะท้อนถึงผลกระทบจากโควิดค่อนข้างรุนแรง
ธุรกิจ 48.8% ยังไม่ฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายความเข้มงวด ยังมีการจ้างงานในระดับต่ำกว่าเดิม 10-20% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด
ประเมินการฟื้นตัวของธุรกิจ
ธุรกิจ 62% ประเมินว่ากำลังซื้อของปีนี้จะขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบปีที่ผ่านมา
ธุรกิจ 70% ประเมินว่ากำลังซื้อไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะขยายตัวดีกว่าไตรมาสที่ผ่านมา
ธุรกิจ 44% มีสภาพคล่องเพียงพอมากกว่า 12 เดือน
 
สรุปภาพรวมดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการฯ ยังคงกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังไม่ฟื้นตัว จึงต้องการให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการเยียวยาให้กับผู้บริโภคทั้งระดับบนและระดับฐานราก อาทิ การนำมาตรการคนละครึ่ง หรือช้อปดีมีคืนกลับมาใช้อีกครั้ง รวมถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบของต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการจ้างงาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถจ้างงานได้เพิ่มมากขึ้นเกิดการจ้างงานแบบยืดหยุ่น เช่น การจ้างงานรายชั่วโมง เป็นต้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง” นายฉัตรชัยกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่