คนสำคัญ

กระทู้สนทนา
“เป้โดนรถชนทำไมไม่บอกเรา”

       ต่อยิงคำถามทันทีเมื่อไปถึงเตียงในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาล บนนั้นมีหญิงสาวนอนทำท่าผ่อนคลาย แต่เมื่อเจอกับคำถามเธอทำสีหน้าจริงจัง
       
        “ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ไม่ได้เจ็บเยอะอะไร”


        เป้ตอบพร้อมยิ้มเมื่อจบประโยค
ชายผู้มาใหม่ไม่ได้พูดอะไร เขาไม่อาจละสายตาจากเธอได้


        “นี่ไง มีเจมาเฝ้าแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก”

        ฝ่ายหญิงพูดเสร็จ เธอเบี่ยงหน้าเล็กน้อยไปข้างเตียงที่มีชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่


        เจหันมาสบตาต่อ ทั้งคู่พยักหน้าให้กันเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ต่อหันหน้าไปแช่สายตาไว้ที่เดิม มีแต่เจเท่านั้นที่เข้าใจหัวอกของชายตรงหน้าได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเจรีบพูด

        “ขอตัวก่อนนะเป้ แฟนเธอมาดูแลแล้ว”

        เจพูดพร้อมหันไปมองที่เป้

        “เรากลับออฟฟิศก่อน เดี๋ยวบอกหัวหน้าให้ พักรักษาตัวให้หายก่อนแล้วไว้เจอกันที่ทำงาน”

        ชายหนุ่มที่กำลังจะไปหันมาสบตาต่อ ทั้งคู่ผงกหัวให้กันเล็กน้อยแทนคำร่ำลา เมื่อเหลือเพียงทั้งคู่ ต่อพูดเชิงตัดพ้อกับแฟนสาวทันที

        “ทำไมไม่โทรบอกเรา ถ้าแม่เป้ไม่โทรมาก็ไม่รู้เลย”

        “ก็ไม่อยากให้เป็นห่วง ดูสิมีแผลถลอกนิดเดียว หมอทำแผลให้เสร็จแล้วนอนรอพักฟื้น เดี๋ยวหมอก็ให้กลับแล้ว ตอนเย็นเราก็เจอกันที่ห้องอยู่ดี”

        “มันไม่เหมือนกัน”

        “มันไม่เหมือนกันอย่างไร”

        เป้พูดน้ำเสียงจริงจังพอที่จะหยุดความคิดของฝั่งตรงข้ามได้

        ไม่มีการโต้ตอบใด ๆ จากฝ่ายชาย ทั้งคู่เงียบไปครู่หนึ่ง

        “เห็นไหม พอมาแล้วก็เป็นแบบนี้”

        “คนเป็นห่วงนี่ผิดด้วยหรือ”

        ฝ่ายหญิงถึงกับพูดอะไรไม่ออก เป้พยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เธอเอื้อมมือไปจับท่อนแขนของต่อ ก่อนจะเลื่อนมือไปประสานมือ

        ต่อท่าทีผ่อนคลายลง มืออีกข้างเข้าประกบมือนุ่มบอบบาง เขาออกแรงเบา ๆ ที่มือทั้งสองข้างเพื่อแสดงความห่วงใย

        “เป้ขอโทษนะ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากไม่ทันได้คิดอะไร”

        “ไม่เป็นไร ๆ เป้ แค่เราได้เจอหน้ากันก็โอเคแล้ว”

        ต่อรีบพูด คงเพราะไม่อยากให้แฟนสาวพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว บางทีคำพูดของเธออาจจะทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจ

        “เอ้า ลืมไปเลย ซื้อน้ำผลไม้มาฝาก มีขนมด้วยนะ”

        ต่อหยิบน้ำผลไม้กล่องออกมาจากกระเป๋าสะพาย เขาค่อย ๆ เปิดฝาออกและริมน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้เธอ

        “กินหน่อย จะได้รู้สึกสดชื่น”

        เป้รับแก้วไปดื่มจนหมด เธอวางแก้วเปล่าไว้ที่เดิม

        “นี่ทองม้วน เจ้านี้อร่อยมาก”

        ต่อหยิบขนมให้แฟนสาวหนึ่งชิ้น เธอรับไป

        “โบราณจัง ขนมเยี่ยมคนป่วย”

        เธอหัวเราะด้วยรอยยิ้ม

        “โบราณนี่แหละกินได้ไม่มีเบื่อ ถ้าไม่อร่อยจริงคนไม่ทำขายจนมาถึงทุกวันนี้หรอก”

        ทั้งคู่หัวเราะกันอย่างมีความสุข

        “งั้นเย็นนี้ไปกินหมูกระทะกันนะ”
เป้พูด

        “ไปกัน”

        ต่อตอบด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข  เป้เห็นดังนั้นจึงแสดงความผ่อนคลายออกมา


        วันต่อมา เป้มาทำงานตามปกติ โต๊ะทำงานเธออยู่ติดกับเจ เมื่อทั้งคู่เจอหน้ากันจึงเอ่ยทักทายกันตามปกติ

        “แล้วอาการเป็นอย่างไรบ้าง”

        เจถาม

        “ก็ไม่เป็นอะไรเลย ไม่ปวดไม่พกช้ำ แผลถลอกก็แห้งดีแล้ว”

        “อ่อ ดีแล้วล่ะ"

        เจจบประโยคเสร็จก็หันหน้าไปทางหน้าจอคอมพิวเตอร์  เตรียมตัวที่จะทำงานที่ยังค้างอยู่ แต่ทันใดนั้นเป้เอ่ยถาม

        “เออ นี่ถามหน่อย”

        “ถามอะไร”

        เจหันมาพูด เป้เว้นระยะนิดหนึ่งเหมือนไม่มั่นใจจะถาม

        “คือว่าเรื่องที่เราโดนรถชนมาแล้วไม่ยอมบอกแฟน มันเป็นเรื่องใหญ่มากเหรอ”

        เจไม่ตอบทันที เขาละสายตาไปจากคนถาม หันหน้าไปยังจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะตอบ

        “ขึ้นชื่อว่าโดนรถชน จะหนักจะเบา ถ้าใครได้ยินก็ตกใจทั้งนั้นแหละ”

        “ก็จริงนะ”

        เป้ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะถามต่อ

        “แล้วมันไม่ดูหยุมหยิมไปหน่อยเหรอ ยังไงตอนเย็นก็เจอค่อยไปบอกก็ได้”

        เจหันหน้ามาสบตาเป้ เขาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูด

        “มันคงเป็นเรื่องของการให้ความสำคัญของคู่ชีวิตมั้ง ถ้าเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงหวังให้เราดูแลตัวเอง แต่คู่ชีวิตนั้นหวังจะดูแลเราทั้งชีวิต”

        “โห พูดแบบนี้รู้สึกผิดเลย”

        เป้พูดพร้อมยิ้มหัวเราะ เจรู้สึกขำด้วย

        “อย่าคิดมาก กับคนบางคนอาจจะอ่อนไหวกับเรื่องพวกนี้มากกว่าคนอื่น ก็อย่างที่บอก อาจจะคิดว่าตัวเองไม่มีความสำคัญก็น้อยใจ”

        เป้ได้แต่รับฟัง เธอไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่หันหน้าไปเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน


2 ปีผ่านไป…

        เป้บังคับพวงมาลัยรถยนต์บนถนนผ่านเรือกสวนไร่นา นาน ๆ ทีจะพบปะบ้านคน บ้านไม้บ้าง บ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนบ้าง มักจะปลูกอยู่กลางสวนผลไม้ หญิงสาวขับรถมานานกว่าชั่วโมงในเส้นทางที่เหมือนจะตัดขาดจากโลกที่เธอคุ้นเคย ตลอดกว่าชั่วโมงมีรถขับสวนกับเธอไม่ถึงสิบคัน

        สองข้างถนนเริ่มเป็นป่าแล้ว พื้นถนนดินลูกรังยังดีพอให้ล้อรถยนต์ขับเคลื่อนไปได้ มองไกล ๆ ในดงต้นไม้สูงใหญ่ มีบ้านไม้หลังขนาดพอดีแทรกตัวอยู่ เมื่อเป้ขับไปถึงตัวบ้าน เธอเลี้ยวรถเข้าจอด

        “สวัสดีค่ะ”

        เป้ยิ้มและไหว้ทักทายเจ้าของบ้านที่ออกมายืนรอ หญิงสูงอายุยิ้มตอบรับอย่างอบอุ่น

        “หายไปนานเลยนะหนู ไม่ได้มาพักที่นี่นานกี่ปีแล้วเนี่ย”

        เจ้าของบ้านพูด

        ทั้งคู่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะรับแขกในตัวบ้าน โต๊ะและเก้าอี้ยาวเป็นไม้แผ่นใหญ่แผ่นเดียวถูกขัดมันด้วยขี้ผึ้ง ยิ่งเน้นลวดลายของเนื้อไม้ให้ดูโดดเด่น  หลังจากเป้ดื่มน้ำท่าเรียบร้อยแล้ว เธอแสดงกิริยาผ่อนคลาย เจ้าของบ้านสังเกตเห็นจึงเอ่ยถาม

        “ว่าแต่ทำไมมาคนเดียว แล้วแฟนหนู ชื่ออะไรนะ”

        หญิงสาวที่ถูกถามได้แต่ฉีกยิ้มจาง ๆ เป้ถอนหายใจอย่างแผ่วเบาและยืดยาว ก่อนจะตอบ

        “ชื่อต่อค่ะ พอดีว่าเขาเสียแล้ว”

        เจ้าของบ้านทำท่าตกใจ

        “ป้าเสียใจด้วย ขอโทษทีป้าไม่รู้”

        “ไม่เป็นไรค่ะ”

        เจ้าของบ้านได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู เป้ตอบรับด้วยรอยยิ้ม

        บ้านพักโฮมสเตย์หลังเล็ก ๆ มีห้องสำหรับลูกค้าเพียงแค่หนึ่งห้อง ถัดจากประตูห้องพักไปเป็นที่นั่งรับประทานอาหาร ถัดออกไปเป็นทางเดินไปยังสวนที่ถูกจัดเป็นที่นั่งพักผ่อนท่ามกลางสวนผลไม้อีกที

        ตอนนี้เป็นเวลาพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์เริ่มหมด เป้จ้องมองภาพสวนอยู่ครู่หนึ่ง เธอเริ่มสังเกตเห็นความนิ่งสงัดนั้นเนิ่นนาน จึงดึงสติออกมาและเปิดประตูเข้าห้องพักไป

        เป้จัดเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า นำของใช้จำเป็นออกมาวางอย่างเป็นระเบียบ สิ่งของในกระเป๋าถูกนำมาจัดวางตามที่เก็บของ เธอเดินไปที่ตู้โชว์เล็ก ๆ ในห้อง มีตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยวางเรียงราย เธอดูทุกตัวอย่างพินิจพิเคราะห์ บางตัวเธอยิ้มออกมาเมื่อเฝ้ามอง อีกชั้นหนึ่งของตู้มีภาพถ่ายภูเขาน้ำตกวิวทิวทัศน์ให้เป้ได้ใช้ฆ่าเวลา เธอหันซ้ายแลขวาในห้องและมองทะลุหน้าต่างออกไปข้างนอก ท้องฟ้ามืดแล้ว เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรจะทำ เธอจึงไปหยิบผ้าเช็ดตัว ขวดครีมอาบน้ำและเสื้อผ้าที่พับไว้หนึ่งชุดเดินเข้าห้องน้ำไป

        เสียงสายน้ำไหลเอื่อย ๆ จากฝักบัว รวมทั้งเสียงหยดน้ำตกกระทบพื้นกระเบื้อง เป้ทำทุกอย่างอย่างเชื่องช้า เหมือนตั้งใจจะใช้เวลาในห้องน้ำและฟังเสียงสายน้ำไหลให้นานที่สุด ทั้งการหยิบขวดครีมอาบน้ำและการถูตัวสระผมล้างหน้าแปรงฟัน

        หากรวม ๆ เวลาเช็ดตัว เช็ดผมเป่าผม เปลี่ยนชุด ทาครีม เธอเผาเวลาไปได้เกือบสองชั่วโมง เป้หยิบโทรศัพท์แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง หนุนหมอนตะแคงข้างเปิดหน้าจอ นิ้วมือกดจิ้มเปิดแอพฯ ดูคลิปวีดีโอสั้น ดูไปหลายสิบคลิปเปลี่ยนไปเปิดแอพฯ โซเชียลไล่ดูชีวิตคนนู้นคนนี้ เธอกดปิดแอพฯ ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเปิดอะไรดี บนหน้าจอมีไอคอนเกมสองสามเกม ดูเหมือนเธอตัดสินใจจะเลือกกดเปิดเกมใดเกมหนึ่ง แต่สุดท้ายเธอเลือกเปิดแอพฯ ดูภาพถ่าย

        ภาพเธอกับต่อเก่า ๆ สถานที่ถ่ายภาพนั้นคือห้องที่เธอนอนอยู่ตรงนี้ ภาพถ่ายชายหญิงยิ้มแย้มหลายอิริยาบถ บางภาพทั้งคู่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง มีภาพหนึ่งต่อนอนหนุนหมอนหลับ เป้มองภาพนี้เนิ่นนานก่อนจะปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เธอวางหน้าจอลงบนเตียง หมอนใบเดิมใบเดียวกับในภาพถ่ายอยู่ตรงหน้า สีของปลอกหมอนเหมือนกัน หญิงสาวจ้องมองวัตถุนั้นเนิ่นนาน

        หยาดน้ำเล็ก ๆ เริ่มซึมออกมาจากดวงตา ไม่นานหยดน้ำเริ่มใหญ่ขึ้นและหลังรินเป็นสายน้ำไหล จากพี่ร้องไห้เงียบ ๆ เปลี่ยนเป็นฟูมฟาย เจ้าของน้ำตาไม่อาจสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ได้แล้ว


        ตึกห้องแถวระแวกตลาดเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว ช่วงเที่ยงวันลูกค้าเยอะเต็มทุกโต๊ะ หญิงสูงวัยทำงานคนเดียวในร้าน ทั้งปรุงอาหาร เก็บโต๊ะ นำอาหารไปให้ลูกค้า ด้วยทั้งร้านมีเพียงแค่ 5 โต๊ะ เธอจึงทำงานสลับกันไปโดยไม่ลำบากมากนัก

        เป้เดินไปที่โต๊ะทำอาหาร เมื่อเจ้าของร้านสังเกตเห็นเธอ เป้จึงรีบพูด

        “แม่คะ สวัสดีค่ะ”

        เจ้าของร้านเงยหน้ามาจากหม้อก๋วยเตี๋ยว

        “อ้าวลูก เข้ามา ๆ”

        ผู้พูดพูดเสร็จก็ก้มหน้าปรุงอาหารต่อ เป้เดินเข้ามาในร้านวางกระเป๋าเดินทาง เธอเดินไปหลังร้านและลงมือล้างถ้วยชามกองใหญ่ ทั้งคู่ช่วยกันทำงานในร้านอีกกว่าชั่วโมง ลูกค้าในร้านจึงเบาบางลง จนกระทั่งลูกค้าคนสุดท้ายเดินออกจากร้านไป

        เป้นั่งกินก๋วยเตี๋ยวบนโต๊ะ ฝั่งตรงข้ามมีหญิงอีกคนนั่งเอนหลังแสดงถึงความเมื่อยล้าจากการทำงาน

        “แล้ววันนี้ไม่ทำงานเหรอ มาเที่ยวหาแม่ได้”

        หญิงเจ้าของร้านเอ่ยถาม

        “หยุดพักร้อนค่ะแม่ หนูไม่ได้มาหาแม่นานแล้ว” เป้ตอบพร้อมรอยยิ้ม “และหนูก็คิดถึงต่อด้วยค่ะ”

        “แม่ก็คิดถึงลูกชายแม่เหมือนกัน นี่ก็ผ่านมาปีกว่าแล้วนะ แต่แม่ก็ยังคิดว่ามันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันนี่เอง”

        “หนูก็คิดเหมือนกันค่ะ เสียดายที่หนูไม่ได้อยู่ดูแลต่อในช่วงสุดท้าย”

        แม่ของต่อมองเป้ด้วยสายตาอ่อนโยน

        “เท่าที่หนูทำมันก็มากพอแล้ว เป้ก็เหมือนกับลูกสาวแม่อีกคน แม่ไม่อยากให้หนูต้องมาเสียเวลาชีวิตตรงนี้แล้ว แม่กลัวว่าหนูจะมาเสียเวลาที่ใจขาดหายไป เป็นแม่เองแหละที่ไม่ได้บอกหนูเรื่องอาการป่วยของต่อที่กำเริบ จนกระทั่งวันสุดท้ายของต่อ”

        เจ้าของเสียงน้ำตาคลอเมื่อพูดจบ เป้กันน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน

        “ไม่หรอกค่ะแม่ หนูไม่มีวันเสียดายเวลาเรื่องนั้น หนูก็หวังว่าจะดูแลต่อเพราะอยากตอบแทนต่อที่คอยดูแลหนูมาตลอดก่อนหน้านี้”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่