Das Boot: อู 96 นรกใต้สมุทร
" หนังสงครามขึ้นหิ้งที่กวาดรางวัลมากมาย... คอหนังสงครามไม่ควรพลาด ! "
สวัสดีครับทุกท่าน ! ช่วงนี้ผมกำลังอ่านนิตยสาร
"เอนเตอร์เทน" และได้ทราบข่าวว่า
Wolfgang Petersen ผู้กำกับเยอรมัน ผู้มีผลงานมากมายในวงการฮอลลีวูด (
Air Force One, Troy) ได้เสียชีวิตลงในเดือนสิงหาคม ในบทความมีการย้อนรำลึกถึงภาพยนตร์เรื่องเยี่ยมอย่าง
Das Boot (1981) หนังเรื่องนี้สร้างชื่อเสียงในฐานะ
ภาพยนตร์ต่างประเทศ (non-English films) ที่ได้เข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัล เช่น รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
นับว่าโชคดีที่หนังมีฉายบน
Netflix ผมจึงมีโอกาสได้รับชม หลังจากดูจบต้องบอกว่า
"สุดยอด" ไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น
"หนังสงครามทางทะเล" ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสงครามเรือดำน้ำ ซึ่งมีไม่มากในหมวดหนังสงคราม และสร้างให้ดีได้ยาก เพราะสภาพการรบของเรือดำน้ำมีมุมให้เล่นน้อยกว่าการรบประเภทอื่น
เรื่องย่อ
Das Boot (1981) REMASTERED TRAILER
Das Boot (1981) สร้างจากนวนิยายในชื่อเดียวที่ตีพิมพ์ในปี 1973 ที่เขียนโดย
Lothar-Günther Buchheim นักข่าวสงครามฝั่งนาซีที่มีโอกาสเข้าไปสังเกตการณ์บนเรือดำน้ำ U96 ซึ่งทำหน้าที่ลาดตระเวนในเขตมหาสมุทรแอตแลนติก ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
เนื้อเรื่องของหนังกล่าวถึง ภารกิจของเรือ U96 ที่ได้รับคำสั่งให้ทำลายขบวนเรือสินค้าของอังกฤษแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก และโดนกองเรืออังกฤษไล่ล่าจนเสียหายอย่างหนักระหว่างเล็ดลอดผ่านช่องแคบยิบรอลตา
ความรู้สึกหลังชม
บรรยากาศอู่เรือและเรือดำน้ำในเรื่อง
- จุดแรกที่ชอบ คือ
"บทหนังคุณภาพเยี่ยม" แม้ว่าการถ่ายทำส่วนใหญ่จะอยู่ภายในเรือดำน้ำทั้งหมด แต่ขณะที่ดู เราสัมผัสได้ถึงมวลสารที่อัดแน่นอยู่ในหนังตั้งแต่ต้นเรื่องยาวไปถึงท้ายเรื่อง ไม่มีช่องว่างให้รู้สึกเบื่อ คนดูทั่วไปสามารถดูสนุกสไตล์หนังทริลเลอร์ ส่วนสายนักวิจารณ์ ก็ตื่นเต้นไปกับคุณภาพของภาพยนตร์ที่ประกอบกันมาอย่างดี
- จุดน่าสนใจอย่างที่สอง ได้แก่
"วิธีการถ่ายทอดบรรยากาศ" บรรยากาศถูกถ่ายทอดอย่างสมจริง หนังถ่ายทอดบรรยากาศภายในเรือดำน้ำ เพื่อสำรวจและบอกเล่าให้ผู้ชมเห็นภาพว่า
"ลูกเรือมีความเป็นอยู่อย่างไร ทำงานกันอย่างไร" โดยเฉพาะการเผชิญกับความคับแคบ ความอึดอัด และความสกปรกภายในลำเรือ ตัดสลับกับบรรยากาศช่วงเรือขึ้นสู่ผิวน้ำอันปลอดโปร่ง เวิ้งว้าง แต่อันตราย หากถูกเรือพิฆาตฝั่งตรงข้ามพบเห็น !
บรรยากาศช่วงตึงเครียดภายในเรื่อง
- จุดที่น่าสนใจถัดมา คือ
"ความเป็นหนังสงครามทริลเลอร์" อย่างที่รู้กันว่าเรือดำน้ำอาศัยความเงียบเป็นเครื่องพรางตัว ขณะเดียวกัน ก็มีเงื่อนไขในการใช้งานที่ต่างไปจากเรือผิวน้ำ ดังนั้นการนำข้อจำกัดของเรือมาเล่นกับคนดู เป็นอะไรที่สร้างสรรค์และสร้างความระทึกให้กับผู้ชมเป็นอย่างดี
-- ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขเรื่อง
"เสียงและความดัง" เรือดำน้ำพรางตัวใต้น้ำด้วยความเงียบ พร้อมกับดักฟังเสียงใบพัดเรือฝ่ายศัตรูที่ลอยอยู่เหนือหัว
หนังใส่เสียงใบพัดเข้ามาท่ามกลางความเงียบ (บางทีก็มาพร้อมกับภาพท้องเรือ) เสียงพวกนี้มาไม่บ่อย แต่การมาแต่ละครั้ง ทำเอาเหล่าลูกเรือและคนดูปั่นป่วนขนลุกไปตามกัน เราไม่รู้ว่าเรือที่อยู่บนหัว จะหย่อนระเบิดน้ำลึกลงมาเมื่อไร ครั้นจะขับหนีก็ไม่ได้ การเร่งเครื่องยนต์เท่ากับเปิดเผยตำแหน่งให้ฝ่ายตรงข้ามหย่อนระเบิดใส่หัวเราได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้าม หากเลือกดำให้ลึกกว่าเดิม ก็เสี่ยงต่อการโดนแรงดันน้ำอัดจนโครงเรือแตกกลายเป็นซากอยู่ก้นทะเล
-- เงื่อนไขเรื่อง
"ทัศนวิสัยและสภาพอากาศ" ซึ่งทำให้เรือดำน้ำหลงทิศได้ (ไม่รู้จุดที่ตัวเองอยู่) รวมถึงมองไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามว่าอยู่ที่ไหน
-- เงื่อนไขเรื่อง
"ความแคบ" ทำให้บรรยากาศในเรื่องดูอึดอัด กดดัน
ยังมีเงื่อนไขอีกมากมาย... แน่นอนว่าเงื่อนไขพวกนี้ เป็นวัตถุดิบชั้นดีของหนังทริลเลอร์ ซึ่งช่วยสร้างความกดดันอย่างน่าประทับใจ !
ซีนสะเทือนใจภายในเรื่อง
- นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังฉายให้เราเห็นถึง
"กลวิธีการทำสงครามเรือดำน้ำของเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2" เราจะได้เห็นการใช้ประโยชน์ของเรือดำน้ำในภาวะสงคราม และได้สัมผัสกับความน่าขนลุก เมื่อเรือดำน้ำถูกเปลี่ยนสถานะจากผู้ล่ามาเป็นโดนเรือลำอื่นไล่ล่า หนังถ่ายทอดความรู้สึกตรงนี้ได้อย่างหมดจด
- หนังเรื่องนี้เป็นหนังสงครามจากมุมมองเยอรมัน (ขณะอยู่ใต้ธงของนาซี) จุดนี้น่าสนใจ เนื้อหาภายในเรื่องแสดงออกถึงการต่อต้านสงคราม ทั้งในแง่มนุษยธรรมที่อาจดูขัดแย้งกับหน้าที่ที่ตัวเองปฏิบัติ รวมถึงทหารในเรือมีหลายรูปแบบ ทว่าพออยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย อุดมการณ์ต่าง ๆ ล้วนมลายสิ้น เหลือแต่สัญชาตญาณดิบมนุษย์ที่พยายามเอาชีวิตรอด
- ในมุมนักแสดง ทุกคนแสดงได้ดีเยี่ยม มีที่พิเศษกว่าคนอื่น คงเป็น
Jürgen Prochnow ผู้รับบทกัปตันเรือ ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการเดินเรื่อง Jürgen แสดงได้โดดเด่น เขาเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้มีมิติ มีพลัง จนน่าจดจำ
Jürgen Prochnow ผู้รับบทกัปตันเรือ
- ความรู้สึกหลังดูจบ ทำให้นึกถึงหนังสงครามทางเรืออีกเรื่องอย่าง
Master and Commander: The Far Side of the World (2003) ทั้งสองเรื่องคล้ายกันตรงที่ว่า เป็นหนังที่ดูมีความนิ่ง ๆ ไม่มีการบู๊หรือยิงกันระห่ำ ขณะเดียวกัน พอถึงเวลาที่ต้องประจัญบาน ต่างฝ่ายต่างสู้กันอย่างจริงจังชนิดหยุดกระพริบตาไม่ได้
Master and Commander: The Far Side of the World - ใครสนใจแนะนำเลยครับ ดีมาก 👍
-
เกร็ดหนังที่น่าสนใจ: ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายเยอรมัน มีกลยุทธ์สำคัญที่เรียกว่า
"Wolfpacks (ฝูงหมาป่า)" โดยจะรวมกลุ่มเรือดำน้ำเข้าโจมตีขบวนเรือขนสั่งของอังกฤษในมหาสมุทรแอตแลนติก อย่างไรก็ตาม ตลอดทั้งสงคราม ลูกเรือดำน้ำที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจทั้งหมด 40,000 คน กลับมีผู้รอดชีวิตกลับมาได้เพียง 10,000 คน
เรือ U-Boat ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
สรุป
ต้องขอชมว่า
Das Boot (1981) เป็นหนึ่งในหนังสงครามขึ้นหิ้งที่สนุกและทำได้ใกล้เคียงกับคำว่า
"สมบูรณ์" ทั้งนี้ หนังยังครองแชมป์ภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในเยอรมันด้วย ก็ไม่แปลกใจที่ฉากและบรรยากาศทุกอย่างจะสมจริงจนเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเรือดำน้ำ คุ้มค่ากับผู้ชมสุด ๆ
ดังนั้น ก็ขอแนะนำนะครับ รับชมได้ทาง Netflix... เชื่อว่าทุกคนจะไม่ผิดหวัง !
Wolfgang Petersen ผู้กำกับเรื่อง Das Boot (1981)
_________________________________
ป.ล. เนื่องจากผมเป็นแฟนนิตยสารเอนเตอร์เทน ขออนุญาตช่วยโฆษณาให้กับทางนิตยสารหน่อยนะครับ หากใครที่ชื่นชอบในภาพยนตร์ หรือสนใจอ่านรีวิว / วิเคราะห์หนังแบบเชิงลึก (ลึกกว่าเพจรีวิวหนังทั่วไป) แนะนำนิตยสารนี้เลย เล่มละ 35 บาท จุใจมาก
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพุดคุยหรือติดต่อกับผม
Das Boot (1981) - ลุ้นระทึกไปกับหนังสงครามเรือดำน้ำคุณภาพเยี่ยมที่เข้าชิงออสการ์ถึง 6 รางวัล
นับว่าโชคดีที่หนังมีฉายบน Netflix ผมจึงมีโอกาสได้รับชม หลังจากดูจบต้องบอกว่า "สุดยอด" ไม่แปลกใจที่หนังเรื่องนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "หนังสงครามทางทะเล" ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก ทั้งยังเกี่ยวข้องกับสงครามเรือดำน้ำ ซึ่งมีไม่มากในหมวดหนังสงคราม และสร้างให้ดีได้ยาก เพราะสภาพการรบของเรือดำน้ำมีมุมให้เล่นน้อยกว่าการรบประเภทอื่น
เรื่องย่อ
เนื้อเรื่องของหนังกล่าวถึง ภารกิจของเรือ U96 ที่ได้รับคำสั่งให้ทำลายขบวนเรือสินค้าของอังกฤษแถบทะเลเมดิเตอเรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก และโดนกองเรืออังกฤษไล่ล่าจนเสียหายอย่างหนักระหว่างเล็ดลอดผ่านช่องแคบยิบรอลตา
ความรู้สึกหลังชม
- จุดน่าสนใจอย่างที่สอง ได้แก่ "วิธีการถ่ายทอดบรรยากาศ" บรรยากาศถูกถ่ายทอดอย่างสมจริง หนังถ่ายทอดบรรยากาศภายในเรือดำน้ำ เพื่อสำรวจและบอกเล่าให้ผู้ชมเห็นภาพว่า "ลูกเรือมีความเป็นอยู่อย่างไร ทำงานกันอย่างไร" โดยเฉพาะการเผชิญกับความคับแคบ ความอึดอัด และความสกปรกภายในลำเรือ ตัดสลับกับบรรยากาศช่วงเรือขึ้นสู่ผิวน้ำอันปลอดโปร่ง เวิ้งว้าง แต่อันตราย หากถูกเรือพิฆาตฝั่งตรงข้ามพบเห็น !
-- ตัวอย่างเช่น เงื่อนไขเรื่อง "เสียงและความดัง" เรือดำน้ำพรางตัวใต้น้ำด้วยความเงียบ พร้อมกับดักฟังเสียงใบพัดเรือฝ่ายศัตรูที่ลอยอยู่เหนือหัว
หนังใส่เสียงใบพัดเข้ามาท่ามกลางความเงียบ (บางทีก็มาพร้อมกับภาพท้องเรือ) เสียงพวกนี้มาไม่บ่อย แต่การมาแต่ละครั้ง ทำเอาเหล่าลูกเรือและคนดูปั่นป่วนขนลุกไปตามกัน เราไม่รู้ว่าเรือที่อยู่บนหัว จะหย่อนระเบิดน้ำลึกลงมาเมื่อไร ครั้นจะขับหนีก็ไม่ได้ การเร่งเครื่องยนต์เท่ากับเปิดเผยตำแหน่งให้ฝ่ายตรงข้ามหย่อนระเบิดใส่หัวเราได้ง่ายขึ้น ตรงกันข้าม หากเลือกดำให้ลึกกว่าเดิม ก็เสี่ยงต่อการโดนแรงดันน้ำอัดจนโครงเรือแตกกลายเป็นซากอยู่ก้นทะเล
-- เงื่อนไขเรื่อง "ทัศนวิสัยและสภาพอากาศ" ซึ่งทำให้เรือดำน้ำหลงทิศได้ (ไม่รู้จุดที่ตัวเองอยู่) รวมถึงมองไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามว่าอยู่ที่ไหน
-- เงื่อนไขเรื่อง "ความแคบ" ทำให้บรรยากาศในเรื่องดูอึดอัด กดดัน
ยังมีเงื่อนไขอีกมากมาย... แน่นอนว่าเงื่อนไขพวกนี้ เป็นวัตถุดิบชั้นดีของหนังทริลเลอร์ ซึ่งช่วยสร้างความกดดันอย่างน่าประทับใจ !
- หนังเรื่องนี้เป็นหนังสงครามจากมุมมองเยอรมัน (ขณะอยู่ใต้ธงของนาซี) จุดนี้น่าสนใจ เนื้อหาภายในเรื่องแสดงออกถึงการต่อต้านสงคราม ทั้งในแง่มนุษยธรรมที่อาจดูขัดแย้งกับหน้าที่ที่ตัวเองปฏิบัติ รวมถึงทหารในเรือมีหลายรูปแบบ ทว่าพออยู่ในสถานการณ์เฉียดตาย อุดมการณ์ต่าง ๆ ล้วนมลายสิ้น เหลือแต่สัญชาตญาณดิบมนุษย์ที่พยายามเอาชีวิตรอด
- ในมุมนักแสดง ทุกคนแสดงได้ดีเยี่ยม มีที่พิเศษกว่าคนอื่น คงเป็น Jürgen Prochnow ผู้รับบทกัปตันเรือ ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการเดินเรื่อง Jürgen แสดงได้โดดเด่น เขาเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้มีมิติ มีพลัง จนน่าจดจำ
ดังนั้น ก็ขอแนะนำนะครับ รับชมได้ทาง Netflix... เชื่อว่าทุกคนจะไม่ผิดหวัง !