เจอดีที่ศิริราช (VI): ผ่าตัดเนื้องอกในสมองแบบเปิดกะโหลกครบ 1 ปี + อาการข้างเคียง ที่ผ่านมาใช้ชีวิตยังไง กลับมาเล่าให้ฟัง





Note: คุยกันก่อน

         1. เนื้อหาในกระทู้นี้เป็นการบอกเล่าของผู้เคยประสบเหตุจากอาการป่วย ซึ่งก็คือเจ้าของกระทู้เอง  ไม่ใช่ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ การอ้างอิงถึงบุคคล/ สถานที่ที่เกี่ยวข้องต่างๆ เป็นไปตามความเหมาะสมที่พิจารณาโดยเจ้าของกระทู้เองทั้งสิ้น หากท่านใดมีความเคลือบแคลงสงสัยเกี่ยวกับที่มาที่ไปของกระทู้นี้ หรือหลังจากที่เริ่มอ่านไปแล้วรู้สึกว่ากำลังถูกยัดเยียดให้เชื่อในทางหนึ่งทางใดที่ขัดแย้งกับความชอบส่วนตัวและนำมาซึ่งความไม่สบายใจของท่านเอง เจ้าของกระทู้แนะนำให้หยุดอ่านค่ะ
          2. เนื้อหาบางช่วงอาจแสดงถึงภาวะทางอารมณ์ที่เป็นไปในทางลบบ้าง แต่เป็นสภาพอารมณ์ที่รู้สึกจริงๆ ในภาวะของคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาพ ณ ขณะนั้นๆ เจ้าของกระทู้ดึงข้อมูลบางส่วนมาจากบันทึกประจำวันของตัวเองที่เขียนทุกวันในช่วงระหว่างการรักษาตัว จึงเลือกที่จะคงเนื้อหาไว้แบบนั้น
          3. รูปทุกรูปที่ทำขึ้นในกระทู้นี้ เจ้าของกระทู้ทำไว้คั่นระหว่างเนื้อหาที่เป็นตัวหนังสือเพื่อให้พักสายตา กรุณาอย่าจริงจังกับบทสนทนาในรูป (คนไข้มโนเอง)
          4. ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาต่างๆ ที่กล่าวถึงในกระทู้นี้ อาจไม่ถูกต้องครบถ้วนตามหลักการรักษาทางการแพทย์ เพราะบอกเล่าเท่าที่ทราบและจำได้ในมุมของคนไข้ผู้ได้รับการรักษา หากท่านใดต้องการข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน แนะนำให้สืบค้นเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลหรือเว็บไซต์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวท่านเอง กระทู้นี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นให้ได้เท่านั้นค่ะ
 
-------------------------------------------------

สวัสดีทุกท่านค่ะ,

               มาอีกแล้ว กระทู้ที่ 4 และจะปิดจบที่กระทู้นี้ค่ะ เพราะปัจจุบันรักษาอาการป่วยหายแล้ว ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติ จึงกลับมาเล่าให้อ่าน หากท่านใดอยากทราบที่มาที่ไปของกระทู้นี้ และมีเวลาเยอะ สามารถไปอ่านย้อนหลังก่อนได้นะคะ อาจจะเล่ากระท่อนกระแท่นข้ามไปข้ามมาตามสภาพตอนนั้นๆ ค่ะ เพราะตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเยอะ

กระทู้ 1: https://ppantip.com/topic/38907169 เจอดีที่ศิริราช (พิมพ์ไม่เก่ง เน้นรูปประกอบ)
กระทู้ 2: https://ppantip.com/topic/39139064 เจอดีที่ศิริราช (II): เล่าประสบการณ์เข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกสมองแบบเปิดกะโหลก (Brain Tumor) 
กระทู้ 3: https://ppantip.com/topic/39378588 เจอดีที่ศิริราช (III): ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดดำส่วนลึก (DVT) หากปล่อยไว้ ไม่รักษา เสี่ยงเสียชีวิตเฉียบพลัน
 
               ด้านล่างต่อไปนี้คือการเล่าสรุปแบบยาวๆ ที่รวมรายละเอียดตั้งแต่แรก แต่เตือนไว้ก่อนนะ ว่าเจ้าของกระทู้ไม่ใช่สายย่อ แต่เป็นสายขยาย จึงเป็นการสรุปที่ยาวมากค่ะ คือเล่าไปเรื่อย เกี่ยวกับโรคบ้าง นอกเรื่องบ้าง พิมพ์ใส่ A4 ไว้ทั้งหมด 49 หน้ารวมแปะรูป ลงทีเดียวจบ ถ้าไม่ว่างจริงๆ แนะนำให้ผ่านไปก่อนค่ะ

กระทู้นี้แบ่งหัวข้อไว้ทั้งหมด 5 หัวข้อ 
1. อุบัติการณ์ของโรค 
2. กระบวนการในการรักษา 
3. การปฏิบัติตัวหลังการรักษาและฟื้นฟู 
4. การกลับไปใช้ชีวิตปกติ (ทำงาน) 
5. การวางแผนและปฏิบัติด้านสุขภาวะเพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว ภายใต้เงื่อนไขสุขภาพ ณ ปัจจุบัน


 
1. อุบัติการณ์ของโรค

            เจ้าของกระทู้ประสบอุบัติเหตุในต่างประเทศ รถมอเตอร์ไซต์ที่ขับเองเสียหลักพุ่งชนกำแพง กระดูกบริเวณไหปลาร้าข้อต่อไหล่ด้านซ้าย (left clavicle) แตกจากการถูกกระแทก และศีรษะฝั่งเดียวกันถูกกระแทกหนักมากในระดับที่หมวกนิรภัยแตก แต่กระแทกที่องศาไหนก็สุดจะเดา หยุดหายใจไปแล้ว ณ จุดเกิดเหตุ แต่มีชาวต่างชาติสองท่านเข้ามาช่วยเหลือด้วยการทำ CPR ได้ทัน จึงหายใจขึ้นมาอีกครั้งและช่วยนำส่งโรงพยาบาล ความโชคดีคือผู้ที่ช่วยเหลือเป็นแพทย์หนึ่งท่าน อีกท่านนึงเป็นนักกายภาพบำบัด การช่วยเหลือ ณ จุดเกิดเหตุที่เจ้าของกระทู้ได้รับจึงเรียบร้อยดีมากๆ และการเคลื่อนย้ายก็เป็นไปอย่างถูกต้องและระมัดระวัง ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนเพิ่มเติม รู้สึกตัวอีกครั้งว่านอนอยู่บนรถเข็นในห้องโถงของโรงพยาบาล และมีเจ้าหน้าที่มาช่วยเข็นรถนำเข้าห้องตรวจเพื่อทำซีทีสแกน (CT Scan) ทันที โดยผู้ช่วยเหลือที่ตามมาจากที่เกิดเหตุก็ตามไปด้วย ช่วยอุ้มเข้าไปในเครื่องและจัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อย อยู่รอเพื่อฟังผลด้วยกัน 
 

 
                ผลการทำซีทีสแกนทั้งหมดออกประมาณสองทุ่มวันเดียวกัน คุณหมอเจ้าของเคสนำฟิล์มมากางให้ดูทีละแผ่นพร้อมคำอธิบาย เริ่มจากกระดูกบริเวณต่างๆ ในจุดที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการกระแทก ไปถึงกระดูกไหล่ซึ่งเหมือนจะหนักสุด แต่ยังไม่ใช่... พอจบเรื่องกระดูกคุณหมอก็นิ่งไปนิดนึง แล้วถามว่าเคยทราบเกี่ยวกับเรื่องเนื้องอกในสมองบ้างหรือไม่? เราก็งงว่าคุยเรื่องกระดูกไหล่หักอยู่ดีๆ แล้วถามเรื่องสมองทำไม? หมอก็ถามต่อว่ายังไม่เคยทราบเรื่องนี้เลยเหรอ? แล้วเอาฟิล์มอีกชุดมาวาง บอกว่าผลการตรวจเอ็กซเรย์บริเวณกะโหลกเรียบร้อยดี มีร้าวนิดหน่อยแต่ไม่มีปัญหา แต่มีส่วนที่น่ากังวลอื่นและน่าจะเป็นปัญหาเพิ่มขึ้นมาภายในกะโหลก คือตรวจพบว่ามีก้อนเนื้องอกขนาดประมาณ 9 เซนติเมตรแทรกอยู่ในบริเวณเนื้อเยื่อสมองของคนไข้ด้วย ซึ่งจากขนาดก็สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว แนะนำให้ผ่าออกโดยเร็วที่สุด แต่ขณะนั้นยังไม่จำเป็นต้องทำทันที ยังมีเวลาให้ตัดสินใจก่อน

                 จบการสนทนาจากตรงนั้นก็ถือเป็นการแจ้งให้ทราบค่ะ คุณหมอยังไม่ได้ลงลึกมากในรายละเอียด แต่ทางผู้ช่วยเหลือที่ยังนั่งฟังอยู่ด้วยกันหยิบฟิล์มมานั่งดูแล้วก็หน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สูดหายใจยาวๆ แล้วก็แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังว่ามารดาของเขาก็เคยเป็นผู้ป่วยเนื้องอกในสมองและเสียชีวิตหลังจากการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคนี้ (จุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาอยากเป็นหมอ) เริ่มแรกคือมีอาการปวดหัวบ่อยๆ ก็คิดว่าเครียดจากการทำงานเพราะเป็นนักบัญชี พอเป็นต่อเนื่องหลายปีจึงไปตรวจอย่างละเอียดจนพบสาเหตุ แต่เนื้องอกก็มีขนาดใหญ่มากแล้วในตอนที่ตรวจพบ รวมถึงเริ่มกดทับเส้นประสาทบริเวณโดยรอบ จึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดแล้วมีอาการแทรกซ้อนในภายหลัง เป็นเหตุให้เสียชีวิต  ได้ยินแล้วก็อึ้งค่ะ เขาก็ยังนั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่อีกพักนึงจนแน่ใจว่าเราได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้องเรียบร้อยจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจึงลากลับ (นั่นคือตั้งแต่บ่ายสามโมงถึงห้าทุ่ม) จริงๆ แล้วโรงพยาบาลแรกที่เจ้าของกระทู้เข้ารักษาตัวก็อยู่ในระดับมาตรฐานนะคะ แต่เหตุผลที่ต้องอยู่ช่วยขนาดนั้นเพราะการจัดการของโรงพยาบาลอาจไม่ทันใจจากมุมมองของผู้ช่วยเหลือซึ่งเป็นหมอเองด้วย และเข้าใจสภาวะตั้งแต่จุดเกิดเหตุ เลยอยากให้มั่นใจว่าเมื่อช่วยมาได้ขนาดนี้แล้วก็อยากให้ปลอดภัยจริงๆ
                 
                  เจ้าของกระทู้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแรก 2 วัน 2 คืนโดยการรักษาเน้นดูแลเรื่องการบาดเจ็บภายนอกทั่วไปและกระดูกไหล่ซ้ายที่หัก ซึ่งขณะนั้นยังสามารถใส่เครื่องพยุงแขน (arm-sling) ไว้ก่อนได้ เจ้าของกระทู้กลับมาพักฟื้นต่อที่โรงแรม คิดตอนนั้นว่าจะพักไปเรื่อย ๆ จนรู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยเดินทางกลับไทยเพื่อมาตรวจร่างกายซ้ำทั้งหมดอย่างละเอียดอีกครั้ง

                  วันที่ 4: หลังเกิดอุบัติเหตุ มีตำรวจมาขอพบที่โรงแรมและรับตัวให้ไปให้การที่โรงพักเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพราะจุดที่เกิดอุบัติเหตุเป็นเขตพระราชวังเก่าและกำแพงหินที่เจ้าของกระทู้พุ่งศีรษะไปกระแทกเพื่อวัดความแข็งแกร่งเป็น World Heritage Site ค่ะ ยังดีอยู่หน่อยนึงที่ไม่มีคู่กรณีเพราะแหกโค้งไปชนเองโดดๆ
                   แต่สอบสวนไปสอบสวนมาก็โป๊ะแตกเพราะไม่มีใบขับขี่ เจ้าของกระทู้มีประเด็นให้ต้องจ่ายค่าปรับเยอะอยู่เหมือนกัน แต่สรุปตัวเลขไม่ลงตัว ต่อรองกัน 3 ชั่วโมงผ่านไปไม่จบ! เริ่มปรี๊ดแตกละ เพราะเราป่วยอยู่ไง วันที่ 4 คือแผลต่างๆกำลังระบม รู้สึกปวดหัว ปวดตัว ตาเริ่มพร่า แล้วห้องสอบสวนเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่คอยคุมอยู่ 6 คน! นี่คือคดีโจรกรรมวัตถุโบราณสมบัติของชาติหรือไงกันเนี่ย? บ้าไปแล้วอ่ะ
                   ให้การทั้งแบบคำพูดและแบบเขียนด้วยลายมือตัวเอง ให้การเสร็จแต่ละเรื่องก็ต้องขอเอกสารที่เขาเป็นฝ่ายบันทึกมานั่งตรวจสอบความถูกต้องอีกรอบ เพราะกลัวโดนสอดไส้ ปวดหัวจนแทบจะระเบิด แต่จะปล่อยผ่านก็ไม่ได้อีก ผิดพลาดอะไรขึ้นมานี่อาจจะมีผลกระทบกับการเดินทางในอนาคตเลยนะนั่น ...เริ่มนั่งไม่ตรง สภาพคือโงกเงกโงนเงน แต่จนแล้วจนรอดก็ให้การทุกอย่างจนเรียบร้อยหมด เราก็บั่บ..เฮ้อ...คิดว่าจบละ

                   แต่ที่ไหนได้ ยังไม่จบ เจ้าหน้าที่สอบสวนหลักบอกว่านั่งรอสักครู่นึง...เดี๋ยวมา แล้วก็หอบเอกสารทั้งหมดที่บันทึกคำให้การเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้เจ้าของกระทู้นั่งรอในสภาพนั้นต่ออีก 45 นาที! โวยวายสิคะ รออะไร? นาทีนั้น ตรงนั้น จะมีใครอยู่บ้างไม่สนใจแล้ว เพราะเหนื่อยมาก เราเพิ่งประสบอุบัติเหตุมา ร่างกายบาดเจ็บอยู่ เราควรพัก และเราต้องการพักเดี๋ยวนี้!!! เสียงดังโรงพักแทบแตก เจ้าหน้าที่สอบสวนคนเดิมก็กลับเข้ามาพอดีแล้วแจ้งว่า เขาปรึกษากับหัวหน้าแล้วและตรวจสอบประวัติย้อนหลังของเจ้าของกระทู้เห็นว่ามีการเดินทางเข้า-ออกประเทศหลายครั้งและไม่เคยมีประวัติเสียหาย ในครั้งนี้จะยกค่าปรับให้เป็นกรณีพิเศษเพราะเป็นการกระทำผิดไม่ร้ายแรงครั้งแรกและไม่ได้มีเจตนาที่จะทำความเสียหายแต่ก็ต้องลงบันทึกประวัติไว้ตามจริง และขอให้เที่ยวต่อให้สนุก พูดจบก็ยิ้มโหดๆ ให้ทีนึง...ได้ยินแบบนั้นแล้วดีใจจนแทบจะเป็นลม รีบบอกขอบคุณเจ้าหน้าที่เป็นการใหญ่ (ที่วีนเขาทั้งโรงพักเมื่อกี๊ไม่นับนะ ลืมไปแล้ว) รีบขอตัวกลับ สรุปว่าใช้เวลาไปกับเรื่องเครียดๆ อยู่ที่โรงพักทั้งหมดห้าชั่วโมง กลับถึงโรงแรมเวลาประมาณบ่ายสามโมง มื้อเที่ยงก็ยังไม่ตกถึงท้อง กลืนไม่ลง บอกเจ้าหน้าที่โรงแรมห้ามรบกวน แล้วกินยานอน จำได้ว่าทิ้งหัวปักเตียงเลย

                   ตื่นมาตอนเที่ยงของอีกวัน...ไหล่ระบมหนักมาก ขยับตัวไม่ได้ หัวก็หนักลุกไม่ไหว นอนต่อ...   

                   วันที่ 6: ตื่นเช้ามารู้สึกหัวโล่งขึ้น จึงเริ่มวางแผนเดินทางกลับ 

                   วันที่ 7: วันนี้รู้สึกตัวเองสดใสขึ้น เลยจองเที่ยวบินเพื่อจะเดินทางกลับในวันถัดไป และเห็นว่าวันนี้อยู่ว่างๆ จึงตั้งใจจะไปขอบคุณคุณหมอที่ดูแลอย่างดี ก่อนไปก็ตระเวนหาร้านดอกไม้เพื่อแวะซื้อไปให้คุณหมอด้วย ยังคงตอกย้ำความเป็นคนกิจกรรมเยอะอย่างคงเส้นคงวา พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์บอกว่าคุณหมอติดเคสผ่าตัดอยู่ จึงฝากกระเช้าไว้ให้แล้วขอตัวกลับเลย เดินออกมายังไม่ทันได้ออกจากประตู เจ้าหน้าที่คนเดิมวิ่งตามมาบอกว่าคุณหมอโทรลงมาแจ้งบอกให้รอก่อน ผ่าตัดเสร็จแล้ว อยากขอถ่ายรูปด้วย เราก็ไม่มีปัญหาเพราะว่างทั้งวันอยู่แล้ว ก็ไปนั่งรอที่ห้องโถงของโรงพยาบาล 

                    แต่นั่งไปยังไม่ถึง 5 นาที อยู่ ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ และในขณะที่นั่งงงๆ นิ่งๆ จับจังหวะที่หัวใจตัวเองเต้นอยู่บนโซฟาในท่าวางเท้าติดพื้นทั้งสองข้าง และหัวเข่าตั้งตรงห่างกันเล็กน้อย จู่ๆ หัวเข่าข้างซ้ายก็ขยับเอง โดยขยับเอนออกไปทางซ้ายช้าๆ แล้วขยับเอนกลับมาทางขวาอยู่ในตำแหน่งเดิม... รู้สึกงงหนักขึ้นไปอีก ผีหลอกป่ะวะ? ที่นี่เป็นโรงพยาบาลถ้าจะมีผีเยอะก็ไม่แปลก แต่...นี่เพิ่งสิบโมงเช้า ไม่น่าใช่! ก็เลยเปลี่ยนมานั่งจ้องหัวเข่าตัวเองแทน มันก็แกว่งซ้ำอยู่แบบนั้น และเริ่มแกว่งเร็วขึ้น...แรงขึ้น
(ต่อในคอมเม้นต์)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่