บทที่ 10 ความจริงกับความฝัน
เมื่อวางสายจากเอนก ผมก็ชะโงกไปดูที่หน้าบ้าน ยังคงเห็นแม่นอนหลับอยู่ที่เก้าอี้ตัวเก่งเหมือนเดิม ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแอบเข้าไปในห้องนอนของแม่และน้าเอ้เพื่อหาดูอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ยังบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ผมค้นดูจนทั่วตั้งแต่หัวเตียงใต้ที่นอนไปจนถึงลิ้นชัก ผมเปิดมันออกมาดูแล้วก็พบว่าข้างในยังสามารถเปิดออกมาได้อีก แล้วก็พบว่ามีซองใส่เอกสารเหน็บอยู่ที่ด้านใน ผมรีบแกะมันออกมาดู ภายในซองมีกระดาษที่บันทึกรายชื่อของผู้ที่เข้ารับการฝึกอาสาสมัครตำรวจบ้านประจำปีนั้น อำนวยการฝึกโดยนายตำรวจในท้องที่ นอกจากนั้นยังมีรูปถ่ายของพวกครูฝึกอีกสองสามใบ ผมพยายามจดจำรายชื่อทั้งหมดในนั้นก่อนที่จะยัดมันเก็บไว้ที่เดิม แล้วรีบออกไปจากห้องทันที
ในบ่ายวันนั้นหลังจากกินข้าวและอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ลืมที่จะนำปืนพกที่ได้มาจากเอนกติดตัวไปด้วย ผมถามทางจากชาวบ้านไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าทรงไทยหลังใหญ่หลังหนึ่ง อยู่ตรงชายป่าอันห่างไกลท้ายหมู่บ้าน เรือนทรงไทยสองชั้นหลังนี้มีสภาพเป็นบ้านร้าง ต้นหญ้าขึ้นอยู่รกรุงรัง ประตูหน้าบ้านถูกปิดตายอย่างแน่นหนาด้วยกุญแจอันเขื่อง คุณคงพอจะเดาได้ว่าผมอยู่ที่ไหน ใช่ บ้านของนิษาไง
ผ่านไปไม่นานผมก็ปืนรั้วเข้ามายืนอยู่ข้างในเขตของบ้าน หันมองออกไปรอบๆตัวก่อนที่จะย่างขึ้นบันได แต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งตรงประตูชั้นในของบ้านที่ถูกล็อคเอาไว้เช่นกัน เคราะห์ดีที่ไม้ค่อนข้างเก่าและผุพังไปตามเวลา ผมกระแทกมันด้วยหัวไหล่อย่างแรงสามสี่ครั้งประตูก็พังแล้ว
ผมยืนสำรวจอยู่นาน แทบจะทุกพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม สภาพแบบนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าร้างมานานแค่ไหนแล้ว ผมเริ่มออกเดินสำรวจตามห้องต่างๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแม้ข้างนอกตัวบ้านจะถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา แต่ประตูห้องข้างในกับไม่ได้ล็อคเอาไว้ หลังจากเปิดดูทุกห้องจนทั่ว ผมก็ต้องมาหยุดอีกครั้งที่หน้าห้องๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของ ที่ต้องหยุดก็เพราะมันถูกล็อคด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา ซึ่งแตกต่างจากห้องอื่นจนน่าผิดสังเกต
ผมต้องออกแรงอีกครั้งเพื่อพังประตูเข้าไป ซึ่งไม่นานก็สำเร็จ ผมเห็นสิ่งของต่างๆวางอยู่อย่างระเกะระกะ มันเป็นของจำพวก มีด พร้า และพวกอุปกรณ์ทำสวนต่างๆ ผมพยายามรื้อดูอย่างละเอียด เอาพวกเครื่องมือออกจนหมดจึงพบกับตู้เก่าๆใบหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่อีกชั้น มันถูกล็อคด้วยกุญแจอีกชั้น ผมกระชากจนมหลุดออกมาทั้งยวง แต่แล้วก็ต้องผงะเสียหลักล้มตัวลงไปนั่งกองกับพื้น เพราะสิ่งที่ผมเห็นในตอนนั้นคือซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูกขดตัวอยู่ในตู้ในท่านั่งชันเข่า
ถึงผมจะคิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี ผมพยายามตั้งสติอีกครั้ง แล้วค้นดูที่ตัวของศพนั่นเพื่อหาอะไรบางอย่างที่พอจะยืนยันตัวตนได้ มันเป็นศพของผู้ชายที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 20-30 ปี มีรอยยุบที่หัวที่อาจถูกทุบหรือกระแทกด้วยของแข็ง ผมค้นดูที่เสื้อผ้าของศพ จนเจอกระเป๋าสตางค์อยู่ในกางเกงยีนส์ ผมเปิดออกดูก็พบว่ามันว่างเปล่า แต่เมื่อเปิดกระเป๋าลับช่องเล็กก็เห็นว่ามีตั๋วรถทัวร์เก่าๆสองใบ มีทั้งเที่ยวจากกรุงเทพมานี่ซึ่งถูกฉีกไปแล้ว และจากนี่ไปกรุงเทพที่ยังไม่ถูกฉีก ในตั้วนั้นเขียนชื่อผู้จองเอาไว้ว่า อมรชัย
นอกจากนั้นผมก็ยังค้นดูที่ใต้ซอกของตู้เผื่อว่าจะเจออะไรเพิ่มเติม แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ที่ใต้ซอกมุมขวาผมเจอโทรศัพท์มือถือเก่าๆเครื่องหนึ่ง ผมรีบยัดมันใส่ไว้ที่เดิม และในระหว่างนั้นใจคิดไปว่าถ้านี่ไม่ใช้เพราะความสะเพร่าของฆาตรกรที่ควรจะโยนกระเป๋านี่ทิ้งไปเสีย มันก็คงเป็นดวงของผมที่จะได้รู้ว่าทำไมอมรชัยถึงไม่ได้กลับไปที่บ้านอีกเลย และคำถามต่อมาที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก็คืออมรชัยกลับมาที่นี่ทำไม
ผมรีบเก็บศพและข้าวของทุกอย่างเอาไว้ในที่ๆมันควรจะอยู่ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยจนกว่าคดีนี้จะถูกคลี่คลาย ผมออกมายืนอยู่ที่นอกตัวบ้าน จากสถานที่ๆผมเห็นในตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ทำให้ผมต้องนึกทบทวนถึงเรื่องที่ปรากฏในความฝันอีกครั้ง ใช่ มันเหมือนกับว่าผมเคยมาที่นี่ และสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดในหัวตอนนั้นก็คือต้นไม้ ใช่ ต้นตะแบกยักษ์ต้นนั้น มันมีลักษณะเด่นเฉพาะที่ไม่เหมือนกับต้นไม้ต้นอื่นๆในป่า ผมคาดคะเนว่ามันคงหาได้ไม่ยากทั้งๆที่ความจริงมันไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ผมออกมายืนที่ด้านนอกแล้วมองไปรอบๆบ้านอีกครั้ง ที่นี่ถึงแม้จะรกอย่างไรมันก็เป็นแค่สวนที่มีหญ้าขึ้นรกซึ่งไม่ใช่ป่า พื้นที่ๆอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตรเบื้องหน้าผมต่างหากล่ะคือป่าขนานแท้ และทางเดียวที่ผมจะมองเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นจากระยะไกลคือผมต้องขึ้นที่สูงแล้วมองลงมา
ผมมองเข้าไปในป่าก่อนที่จะเข้าไปที่ไหล่เขา จากนั้นก็มองหายอดที่สู่งที่สุด ใช่เวลาไม่นานผมก็ปีนขึ้นมายืนอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ผมเริ่มมองสำรวจลงไปด้านล่างจนมาสะดุดอยู่ที่ต้นตะแบหยักษ์ต้นหนึ่ง มันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่รายรอบ ผมรู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละคือต้นไม้ที่ผมตามหาอยู่ แต่ปัญหาก็คือไอ้เจ้าต้นตะแบกยักษ์ต้นนั้นดันไปขึ้นอยู่ในหุบ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ผมยืนและต้องปืนลงทางลาดชีนไปอีกประมาณ 200 เมตร
ผมปืนลงไปอย่างทุลักทุเลแต่ในที่สุดก็ลงมาถึงพื้นล่าง หิวน้ำก็หิวกระติกน้ำก็ดันไม่ได้พกติดตัวด้วย ผมสบัดหน้าอย่างแรงเพื่อให้ตื่นตัว แล้วรวบรวมกำลังก้าวเดินต่อไปจนถึงที่นั้น มันไม่ค่อยเหมือนในฝันเท่าใดนัก ที่ใต้ต้นตะแบกรกรุงรังไปด้วยหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ผมรู้ดีว่าต้องเสี่ยง หลังจากถากตันหญ้าออกจนหมด ผมก็เริ่มลงมือขุดมันด้วยมีดพกที่นำติดตัวมาด้วย ขุดไปได้สักสองสามวามีดของผมก็ไปกระทบกับของแข็งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นลังไม้ ใช่ มันทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อได้รู้ว่าลางสังหรณ์ของตัวเองนั้นไม่ผิด
หลังจากขุดเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยกลังนั้นขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มันยาวประมาณ 2 เมตร กว้างประมาณครึ่งเมตรเห็นจะได้ ผมจัดการเปิดมันออกทันที คุณพอจะเดาได้ไหมว่าข้างในนั้นคืออะไร
ชิตชัย "ยาเสพติดใช่ไหม?"
ใช่ คุณเดาถูก เฮโลอีนจำนวนร้อยมัดเห็นจะได้ ในชีวิตของผมไม่เคยเจอมันเยอะขนาดนี้มาก่อน มันถูกมัดเป็นแท่งเหมือนกับข้าวต้มมัดวางเรียงซ้อนกัน แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางแถวที่ว่างอยู่ มันขาดไปประมาณ 10 มัด ผมเดาว่าคงมีคนมาทยอยนำมันออกไปขายทีละนิดๆ ผมรื้อดูจนถึงใต้ลังก็เห็นว่ามีของบางอย่างถูกหุ้มไว้ด้วยห่อผ้าสีขาว มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆมีด้ามจับสีดำยื่นออกมา
มันต้องเป็นปืนลูกซองแน่ๆ ผมนึกและรีบหยิบมันขึ้นมาดูทันที แต่ยังไม่ทันจะได้แกะผ้านั้นออก ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังดังสนั่นป่า ปัง ! ผมรีบหมอบลงกับพื้นตามสัญชาตญาณ ผมเอามือกุมที่กกหูเพราะรู้สึกชาๆ ลูกกระสุนนั่นมันถากหัวผมไปนิดเดียวเทาานี้น ทันที่ที่ตั้งสติได้ผมก็รียคลานอ้อมไปหลบที่ใต้ตันตะแบกทันที
ปัง ปัง ! เสียงปืนยังดังขึ้นอีกสองนัดซ้อนๆ โชคยังดีที่มันถูกต้นตะแบกเต็มๆ ผมรีบคว้าปืนพก .38 ที่พกติดตัวมาด้วยออกมากุมไว้ ถึงแม้จะไม่เห็นตัวแต่ผมก็เริ่มจับทิศทางได้จากเสียงที่ยิงออกมา ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นปืนไรเฟิล เสียงปืนที่ว่านั้นอยู่ห่างจากผมไปราว 20 เมตร ผมตัดสินใจยิงสวนกลับไปทันที ปัง ปัง ปัง ปัง ! ผมกดรัวแบบไม่ยั้งมันได้ผล พุ่มไม้นั้นจากที่เคยไหวติงมันก็เงียบไป
จำไม่ได้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ มันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ผมยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา มันเป็นเวลาเกือบจะสีโมงเย็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเหลืองแล้ว ขืนรอให้มืดผมจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบมันแน่ เพราะดูเหมือนฝั่งนู้นจะเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไหนจะพื้นที่ๆผมไม่ค่อยจะชำนาญ ผมแกะลูกโม่กระสุนออกมาดูมันยังเหลืออยู่แค่หกนัด เลือดที่กกหูก็ไหลไม่ยอมหยุดผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
ถ้าหากฝ่ายนู้นใช้ปืนไรเฟิลในแบบที่ผมคิดเอาไว้ มันถูกยิงไปแล้วสามนัดจากซองกระสุนห้านัด มันจะต้องเหลือกระสุนที่ยิงได้อีกแค่สองนัด ก่อนที่มันจะทำการเปลื่ยนกระสุนชุดใหม่ ผมตัดสินใจหยิบก้อนหินที่อยู่ข้างๆก้อนขนาดพอเหมาะโยนไปทางฝั่งซ้ายมือ ปัง ! มันได้ผลหมอนั่นเหลือกระสุนอีกแค่นัดเดียว แล้วก็โยนไปอีกก้อนที่ฝั่งขวามือ ปัง ! ตอนที่มันกำลังบรรจุกระสุนชุดใหม่ ผมตัดสินใจยิงสวนออกไปทันที
ปัง ปัง ปัง ! ผมยิงไปที่พุ่มไม้นั่นอีกครั้งแล้วรีบออกวิ่งทันที เพราะรู้ดีว่ากระสุนของมันหมดแล้วและอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งนาทีในการเปลื่ยนกระสุนชุดใหม่ ผมออกวิ่งซิกแซกไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่ง วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงปืนยังคงดังไล่หลังผมอยู่เป็นระยะๆ เสียงของมันเริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบไป แต่ผมก็ยังไม่หยุดวิ่ง ผมวิ่งไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงหมู่บ้านก็ตอนพลบค่ำแล้ว บาดแผลที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรในตอนที่วิ่ง กลับเริ่มทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เคราะห์ยังดีที่ผมหยิบปืนลูกซองกระบอกนั้นติดมือมาด้วย เพราะมันจะเป็นหลักฐานสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่จะระบุตัวผู้ต้องหาได้อย่างชัดเจน
อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่10)
บทที่ 10 ความจริงกับความฝัน
เมื่อวางสายจากเอนก ผมก็ชะโงกไปดูที่หน้าบ้าน ยังคงเห็นแม่นอนหลับอยู่ที่เก้าอี้ตัวเก่งเหมือนเดิม ผมเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะแอบเข้าไปในห้องนอนของแม่และน้าเอ้เพื่อหาดูอะไรบางอย่างที่ผมเองก็ยังบอกไม่ถูกเหมือนกัน
ผมค้นดูจนทั่วตั้งแต่หัวเตียงใต้ที่นอนไปจนถึงลิ้นชัก ผมเปิดมันออกมาดูแล้วก็พบว่าข้างในยังสามารถเปิดออกมาได้อีก แล้วก็พบว่ามีซองใส่เอกสารเหน็บอยู่ที่ด้านใน ผมรีบแกะมันออกมาดู ภายในซองมีกระดาษที่บันทึกรายชื่อของผู้ที่เข้ารับการฝึกอาสาสมัครตำรวจบ้านประจำปีนั้น อำนวยการฝึกโดยนายตำรวจในท้องที่ นอกจากนั้นยังมีรูปถ่ายของพวกครูฝึกอีกสองสามใบ ผมพยายามจดจำรายชื่อทั้งหมดในนั้นก่อนที่จะยัดมันเก็บไว้ที่เดิม แล้วรีบออกไปจากห้องทันที
ในบ่ายวันนั้นหลังจากกินข้าวและอาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็แต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ลืมที่จะนำปืนพกที่ได้มาจากเอนกติดตัวไปด้วย ผมถามทางจากชาวบ้านไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่หน้าทรงไทยหลังใหญ่หลังหนึ่ง อยู่ตรงชายป่าอันห่างไกลท้ายหมู่บ้าน เรือนทรงไทยสองชั้นหลังนี้มีสภาพเป็นบ้านร้าง ต้นหญ้าขึ้นอยู่รกรุงรัง ประตูหน้าบ้านถูกปิดตายอย่างแน่นหนาด้วยกุญแจอันเขื่อง คุณคงพอจะเดาได้ว่าผมอยู่ที่ไหน ใช่ บ้านของนิษาไง
ผ่านไปไม่นานผมก็ปืนรั้วเข้ามายืนอยู่ข้างในเขตของบ้าน หันมองออกไปรอบๆตัวก่อนที่จะย่างขึ้นบันได แต่ก็ต้องหยุดอีกครั้งตรงประตูชั้นในของบ้านที่ถูกล็อคเอาไว้เช่นกัน เคราะห์ดีที่ไม้ค่อนข้างเก่าและผุพังไปตามเวลา ผมกระแทกมันด้วยหัวไหล่อย่างแรงสามสี่ครั้งประตูก็พังแล้ว
ผมยืนสำรวจอยู่นาน แทบจะทุกพื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นและใยแมงมุม สภาพแบบนี้ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าร้างมานานแค่ไหนแล้ว ผมเริ่มออกเดินสำรวจตามห้องต่างๆ เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าแม้ข้างนอกตัวบ้านจะถูกล็อคไว้อย่างแน่นหนา แต่ประตูห้องข้างในกับไม่ได้ล็อคเอาไว้ หลังจากเปิดดูทุกห้องจนทั่ว ผมก็ต้องมาหยุดอีกครั้งที่หน้าห้องๆหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นห้องเก็บของ ที่ต้องหยุดก็เพราะมันถูกล็อคด้วยกุญแจอย่างแน่นหนา ซึ่งแตกต่างจากห้องอื่นจนน่าผิดสังเกต
ผมต้องออกแรงอีกครั้งเพื่อพังประตูเข้าไป ซึ่งไม่นานก็สำเร็จ ผมเห็นสิ่งของต่างๆวางอยู่อย่างระเกะระกะ มันเป็นของจำพวก มีด พร้า และพวกอุปกรณ์ทำสวนต่างๆ ผมพยายามรื้อดูอย่างละเอียด เอาพวกเครื่องมือออกจนหมดจึงพบกับตู้เก่าๆใบหนึ่งที่ถูกซ่อนอยู่อีกชั้น มันถูกล็อคด้วยกุญแจอีกชั้น ผมกระชากจนมหลุดออกมาทั้งยวง แต่แล้วก็ต้องผงะเสียหลักล้มตัวลงไปนั่งกองกับพื้น เพราะสิ่งที่ผมเห็นในตอนนั้นคือซากศพที่เหลือแต่โครงกระดูกขดตัวอยู่ในตู้ในท่านั่งชันเข่า
ถึงผมจะคิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี ผมพยายามตั้งสติอีกครั้ง แล้วค้นดูที่ตัวของศพนั่นเพื่อหาอะไรบางอย่างที่พอจะยืนยันตัวตนได้ มันเป็นศพของผู้ชายที่มีอายุอยู่ในระหว่าง 20-30 ปี มีรอยยุบที่หัวที่อาจถูกทุบหรือกระแทกด้วยของแข็ง ผมค้นดูที่เสื้อผ้าของศพ จนเจอกระเป๋าสตางค์อยู่ในกางเกงยีนส์ ผมเปิดออกดูก็พบว่ามันว่างเปล่า แต่เมื่อเปิดกระเป๋าลับช่องเล็กก็เห็นว่ามีตั๋วรถทัวร์เก่าๆสองใบ มีทั้งเที่ยวจากกรุงเทพมานี่ซึ่งถูกฉีกไปแล้ว และจากนี่ไปกรุงเทพที่ยังไม่ถูกฉีก ในตั้วนั้นเขียนชื่อผู้จองเอาไว้ว่า อมรชัย
นอกจากนั้นผมก็ยังค้นดูที่ใต้ซอกของตู้เผื่อว่าจะเจออะไรเพิ่มเติม แล้วก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ที่ใต้ซอกมุมขวาผมเจอโทรศัพท์มือถือเก่าๆเครื่องหนึ่ง ผมรีบยัดมันใส่ไว้ที่เดิม และในระหว่างนั้นใจคิดไปว่าถ้านี่ไม่ใช้เพราะความสะเพร่าของฆาตรกรที่ควรจะโยนกระเป๋านี่ทิ้งไปเสีย มันก็คงเป็นดวงของผมที่จะได้รู้ว่าทำไมอมรชัยถึงไม่ได้กลับไปที่บ้านอีกเลย และคำถามต่อมาที่ต้องหาคำตอบให้ได้ก็คืออมรชัยกลับมาที่นี่ทำไม
ผมรีบเก็บศพและข้าวของทุกอย่างเอาไว้ในที่ๆมันควรจะอยู่ เพราะมันยังไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผยจนกว่าคดีนี้จะถูกคลี่คลาย ผมออกมายืนอยู่ที่นอกตัวบ้าน จากสถานที่ๆผมเห็นในตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ทำให้ผมต้องนึกทบทวนถึงเรื่องที่ปรากฏในความฝันอีกครั้ง ใช่ มันเหมือนกับว่าผมเคยมาที่นี่ และสิ่งเดียวที่ชัดเจนที่สุดในหัวตอนนั้นก็คือต้นไม้ ใช่ ต้นตะแบกยักษ์ต้นนั้น มันมีลักษณะเด่นเฉพาะที่ไม่เหมือนกับต้นไม้ต้นอื่นๆในป่า ผมคาดคะเนว่ามันคงหาได้ไม่ยากทั้งๆที่ความจริงมันไม่ต่างกับการงมเข็มในมหาสมุทร
ผมออกมายืนที่ด้านนอกแล้วมองไปรอบๆบ้านอีกครั้ง ที่นี่ถึงแม้จะรกอย่างไรมันก็เป็นแค่สวนที่มีหญ้าขึ้นรกซึ่งไม่ใช่ป่า พื้นที่ๆอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 เมตรเบื้องหน้าผมต่างหากล่ะคือป่าขนานแท้ และทางเดียวที่ผมจะมองเห็นต้นไม้ใหญ่ขนาดนั้นจากระยะไกลคือผมต้องขึ้นที่สูงแล้วมองลงมา
ผมมองเข้าไปในป่าก่อนที่จะเข้าไปที่ไหล่เขา จากนั้นก็มองหายอดที่สู่งที่สุด ใช่เวลาไม่นานผมก็ปีนขึ้นมายืนอยู่บนเนินเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ผมเริ่มมองสำรวจลงไปด้านล่างจนมาสะดุดอยู่ที่ต้นตะแบหยักษ์ต้นหนึ่ง มันยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอยู่รายรอบ ผมรู้สึกได้ทันทีว่านี่แหละคือต้นไม้ที่ผมตามหาอยู่ แต่ปัญหาก็คือไอ้เจ้าต้นตะแบกยักษ์ต้นนั้นดันไปขึ้นอยู่ในหุบ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ผมยืนและต้องปืนลงทางลาดชีนไปอีกประมาณ 200 เมตร
ผมปืนลงไปอย่างทุลักทุเลแต่ในที่สุดก็ลงมาถึงพื้นล่าง หิวน้ำก็หิวกระติกน้ำก็ดันไม่ได้พกติดตัวด้วย ผมสบัดหน้าอย่างแรงเพื่อให้ตื่นตัว แล้วรวบรวมกำลังก้าวเดินต่อไปจนถึงที่นั้น มันไม่ค่อยเหมือนในฝันเท่าใดนัก ที่ใต้ต้นตะแบกรกรุงรังไปด้วยหญ้าและต้นไม้น้อยใหญ่ผมรู้ดีว่าต้องเสี่ยง หลังจากถากตันหญ้าออกจนหมด ผมก็เริ่มลงมือขุดมันด้วยมีดพกที่นำติดตัวมาด้วย ขุดไปได้สักสองสามวามีดของผมก็ไปกระทบกับของแข็งบางอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นลังไม้ ใช่ มันทำให้ใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อได้รู้ว่าลางสังหรณ์ของตัวเองนั้นไม่ผิด
หลังจากขุดเสร็จเรียบร้อย ผมก็ยกลังนั้นขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มันยาวประมาณ 2 เมตร กว้างประมาณครึ่งเมตรเห็นจะได้ ผมจัดการเปิดมันออกทันที คุณพอจะเดาได้ไหมว่าข้างในนั้นคืออะไร
ชิตชัย "ยาเสพติดใช่ไหม?"
ใช่ คุณเดาถูก เฮโลอีนจำนวนร้อยมัดเห็นจะได้ ในชีวิตของผมไม่เคยเจอมันเยอะขนาดนี้มาก่อน มันถูกมัดเป็นแท่งเหมือนกับข้าวต้มมัดวางเรียงซ้อนกัน แต่ก็ดูเหมือนจะมีบางแถวที่ว่างอยู่ มันขาดไปประมาณ 10 มัด ผมเดาว่าคงมีคนมาทยอยนำมันออกไปขายทีละนิดๆ ผมรื้อดูจนถึงใต้ลังก็เห็นว่ามีของบางอย่างถูกหุ้มไว้ด้วยห่อผ้าสีขาว มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆมีด้ามจับสีดำยื่นออกมา
มันต้องเป็นปืนลูกซองแน่ๆ ผมนึกและรีบหยิบมันขึ้นมาดูทันที แต่ยังไม่ทันจะได้แกะผ้านั้นออก ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลังดังสนั่นป่า ปัง ! ผมรีบหมอบลงกับพื้นตามสัญชาตญาณ ผมเอามือกุมที่กกหูเพราะรู้สึกชาๆ ลูกกระสุนนั่นมันถากหัวผมไปนิดเดียวเทาานี้น ทันที่ที่ตั้งสติได้ผมก็รียคลานอ้อมไปหลบที่ใต้ตันตะแบกทันที
ปัง ปัง ! เสียงปืนยังดังขึ้นอีกสองนัดซ้อนๆ โชคยังดีที่มันถูกต้นตะแบกเต็มๆ ผมรีบคว้าปืนพก .38 ที่พกติดตัวมาด้วยออกมากุมไว้ ถึงแม้จะไม่เห็นตัวแต่ผมก็เริ่มจับทิศทางได้จากเสียงที่ยิงออกมา ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นปืนไรเฟิล เสียงปืนที่ว่านั้นอยู่ห่างจากผมไปราว 20 เมตร ผมตัดสินใจยิงสวนกลับไปทันที ปัง ปัง ปัง ปัง ! ผมกดรัวแบบไม่ยั้งมันได้ผล พุ่มไม้นั้นจากที่เคยไหวติงมันก็เงียบไป
จำไม่ได้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วที่ต่างฝ่ายต่างก็เงียบ มันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ผมยกมือขึ้นมาดูนาฬิกา มันเป็นเวลาเกือบจะสีโมงเย็นท้องฟ้าเริ่มเป็นสีเหลืองแล้ว ขืนรอให้มืดผมจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบมันแน่ เพราะดูเหมือนฝั่งนู้นจะเตรียมพร้อมมาอย่างดี ไหนจะพื้นที่ๆผมไม่ค่อยจะชำนาญ ผมแกะลูกโม่กระสุนออกมาดูมันยังเหลืออยู่แค่หกนัด เลือดที่กกหูก็ไหลไม่ยอมหยุดผมต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง
ถ้าหากฝ่ายนู้นใช้ปืนไรเฟิลในแบบที่ผมคิดเอาไว้ มันถูกยิงไปแล้วสามนัดจากซองกระสุนห้านัด มันจะต้องเหลือกระสุนที่ยิงได้อีกแค่สองนัด ก่อนที่มันจะทำการเปลื่ยนกระสุนชุดใหม่ ผมตัดสินใจหยิบก้อนหินที่อยู่ข้างๆก้อนขนาดพอเหมาะโยนไปทางฝั่งซ้ายมือ ปัง ! มันได้ผลหมอนั่นเหลือกระสุนอีกแค่นัดเดียว แล้วก็โยนไปอีกก้อนที่ฝั่งขวามือ ปัง ! ตอนที่มันกำลังบรรจุกระสุนชุดใหม่ ผมตัดสินใจยิงสวนออกไปทันที
ปัง ปัง ปัง ! ผมยิงไปที่พุ่มไม้นั่นอีกครั้งแล้วรีบออกวิ่งทันที เพราะรู้ดีว่ากระสุนของมันหมดแล้วและอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงครึ่งนาทีในการเปลื่ยนกระสุนชุดใหม่ ผมออกวิ่งซิกแซกไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้านิ่ง วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เสียงปืนยังคงดังไล่หลังผมอยู่เป็นระยะๆ เสียงของมันเริ่มเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเงียบไป แต่ผมก็ยังไม่หยุดวิ่ง ผมวิ่งไปเรื่อยๆ กว่าจะถึงหมู่บ้านก็ตอนพลบค่ำแล้ว บาดแผลที่ดูเหมือนจะไม่รู้สึกอะไรในตอนที่วิ่ง กลับเริ่มทวีความเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น เคราะห์ยังดีที่ผมหยิบปืนลูกซองกระบอกนั้นติดมือมาด้วย เพราะมันจะเป็นหลักฐานสำคัญเพียงชิ้นเดียวที่จะระบุตัวผู้ต้องหาได้อย่างชัดเจน