บทที่ 2 สู่ภูมิลำเนา
การนั่งที่เดิมนานๆทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะชินกับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม ผมเริ่มเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ สายตาทอดยาวออกไปข้างนอก มองเห็นทุ่งนาเขียวขจีในชนบทที่รายรอบตลอดเส้นทาง นอกจากอาการป่วยของแม่แล้ว ผมก็ยังนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต และแล้วภาพท้องทุ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้ผมต้องนึกถึงชื่อๆหนึ่ง นิษา เพื่อนในวัยเด็กของผม
ชิตชัย "เล่าเรื่องราวในวัยเด็กของคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ?"
ชลนที "จะดีเหรอครับ ชีวิตในวัยเด็กของผมมันไม่มีะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่ ผมไม่อยากให้คุณเขียนมันลงไป จะเว้นก็แต่เรื่องของ นิษา"
ชิตชัย "งั้นคุณก็เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อ นิษา ได้ เธอคงมีความสำคัญกับคุณมากสินะ"
ชลนที "ตอนนี้ใช่ครับเธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม แต่ในตอนนั้น คือช่วงเวลาก่อนที่ผมจะพบกับเธอและเล่าให้คุณฟังเนี่ย เราทั้งคู่ก็รู้สึกผูกพันธ์กันมาก่อนแล้วอย่างน่าประหลาด ผมฝันถึงเธออยู่บ่อยครั้งทั้งๆที่ไม่เคยได้เจอกันมาก่อนเลยหลายสิบปี หลังจากที่ผมออกจากบ้าน"
ชิตชัย "งั้นก็ช่วยเล่าเรื่องของเธอให้ผมฟังเถอะครับ"
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าผมแยกไม่ค่อยออกว่าอันไหนความจริงกับความฝัน เพราะเรื่องของเธอมันผสมปนเปกันไปหมด เธอทั้งสวยและเก่ง รอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง แตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง เรามักจะชอบออกไปวิ่งเล่นกันที่ทุ่งนาเป็นประจำ และทุกครั้งเธอจะเป็นฝ่ายมาเรียก จำได้ว่ามีบางทีที่พวกเราเล่นกันแรงๆจนต่างฝ่ายก็เจ็บกันไปทั้งคู่ ส่วนใหญ่คนที่เจ็บก็เป็นผมนั่นแหละ มีอยู่หลายครั้งที่ผมไม่ยอมออกจากบ้านเพื่อไปเล่นกับเธอ เธอก็จะแก้เผ็ดผมด้วยการนำข้าวของผมไปซ่อน แล้วเธอก็นำแผนที่ที่เธอทำเองมาให้ผม เพื่อให้ตามหาของที่เป็นของผมเอง แสบไหมล่ะ แต่น่าตลกที่ผมกลับชอบ เธอก็เลยนำหน้าผมก้าวหนึ่งเสมอ ส่วนผมก็ได้แต่วิ่งไล่ตาม
ชิตชัย "คุณฝันถึง นิษา บ่อยไหม และมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
ชลนที "ก่อนหน้านั้นก็นานๆครั้ง จนเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าที่จะกลับบ้านในช่วงเวลานั้น ผมก็ฝันถึงเธอติดต่อกันตลอด เรื่องเดิมๆซ้ำๆ เกี่ยวกับการหาของในแผนที่ที่เธอทำ คงเป็นเพราะมันฝังใจผมมาตลอดล่ะมั้ง แปลกดีเหมือนกัน"
ชลนที "เอาล่ะ ทีนี้กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า เชิญคุณเล่าเรื่องที่ค้างไว้ต่อเถอะครับ"
รถไฟเข้าเทียบชานชาลาเมื่อตอนบ่ายคล้อย ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ สะบัดหน้าเพื่อให้หายจากอาการมึนงง แล้วรีบลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล ไม่นานผมก็มายืนงงๆอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ยังเหลือระทางอีกราว 1.5 กิโลเมตร ที่ผมต้องเดินด้วยเท้า ผมเดินต่อไปเรื่อยๆตามทางท่ามกลางแสงแดดที่ค่อยๆอ่อนกำลังลงไปจากที่ร้อนจัดในตอนเที่ยง ผู้คนที่อยู่ในระหว่างทางต่างจ้องมองผมด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ผมไม่ว่าเขาหรอก เป็นผมก็คงคิดแบบนั้น ที่นี่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง ในขณะหลายๆคนพยายามดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ออกไปจากที่นี่ ผมกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มันก็น่าแปลกอยู่ไม่ใช่หรือ
หลังจากเดินมาได้สักชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านทรงไทยหลังใหญ่ปลูกเป็นเรือนปั้นหยาสองชั้นแบบเก่า ผมมองจากประตูรั้วแอบเห็นแม่นอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวายที่นอกชาน ผมกดกริ่งอยู่ได้ไม่นานก็มีคนออกมาเปิดประตู ป้าสุ่ยคนใช้เก่าแก่ของแม่นั้นเอง ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ป้าสุ่ยก็กุรีกุจอเข้ามาแย่งกระเป๋าจากมือ และพูดทักทายด้วยอาการดีใจ
"คุณที ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่าคะ จากไปตั้งหลายปีไม่ส่งข่าวมาบ้างเลย"
"เดี้ยวก่อนนะ ใจเย็นๆค่อยๆพูด ผมน่ะสบายดีอยู่แล้ว ตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง"
"เข้าไปข้างในก่อนเถอะคะ เดี้ยวก็รู้เอง"
เธอพูดยิ้มๆอย่างมีเลิศนัย ผมไม่ได้ใส่ใจมากนัก รีบเดินเข้าไปในบ้านที่ตัวเองจากมานานอย่างรู้สึกคุ้นเคย เห็นแม่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่รู้ตอนไหนว่าผมมา
"เป็นไงบ้างจ้ะลูก เดินทางเหนื่อยมากไหม"
"ผมสบายดีครับ แค่รู่สึกเพลียนิดหน่อย ว่าแต่แม่เถอะ เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ถลอกที่ขานิดหน่อยเท่านั้นเอง เอ แล้วยายสุ่ยเขียนจดหมายไปบอกลูกว่าอย่างไรบ้างล่ะนั่น"
"ก็เห็นบอกว่าแม่ไม่สบายจนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล"
"ว่าแล้วไง ยัยสุ่ยนี่เขียนอะไรเกินจริง จนทำให้นทีเขาไม่สบายใจ และยังต้องเสียงานเสียการอีก ตาของแม่มันฟ่าฟางเสียแล้วเอ้ย เขียนเองไม่ได้เลยต้องพึ่งยัยสุ่ยมัน นั่นแน่ยังจะมายืนอมยิ้มอยู่อีก ไปเอาน้ำเย็นมาให้นทีเขาหน่อยเถอะไป"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ตั้งใจจะมาพักผ่อนอยู่แล้ว แม่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แล้วนี่น้าเอ้ออกไปไหนเหรอครับเนี่ย"
"ออกไปประชุมที่อำเภอตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะ กว่าจะกลับอีกทีก็คงมืดๆนู้นแหละ ขอให้พักอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะนะลูกนะ อย่าไปคิดอะไรมาก อยากจะอยู่กี่วันก็ได้ตามที่ลูกต้องการเลย ว่าแต่ตอนนี้รีบไปอาบน้ำพักผ่อนเสียก่อนเถอะเดินทางมาเหนื่อยๆ เดี้ยวค่อยมาทานข้าวเย็นพร้อมกันนะ"
ชิตชัย "คนที่ชื่อเอ้นี่คือใครเหรอครับ ?"
ชลนที "เขาก็คือพ่อเลี้ยงของผมเองแหละครับ ซึ่งผมเรียกว่าน้ามาตลอดตั้งแต่เด็กๆจนติดปาก เพราะเขาอายุอ่อนกว่าแม่"
ชิตชัย "อ้อ ครับ เข้าใจแล้ว งั้นเชิญเล่าต่อเลยคร้บ"
ผมออกไปอาบน้ำและพักผ่อนที่ห้องตามที่แม่บอก ห้องเดิมของผม น่าแปลกที่ไม่มีอะไรเปลี่ยน รูปถ่าย โคมไฟ หนังสือการ์ตูน ทุกอย่างยีงคงอยู่ในที่ของมัน จะมีก็แต่รอยปัดกวาดเช็ดถู และผ้าปูที่นอนที่เปลี่ยนใหม่ ผมล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ ก่อนที่ผมจะเริ่มฝันถึงนิษาอีกครั้ง
ชิตชัย "คุณช่วยเล่ารายละเอียดในความฝันนั้นแบบชัดๆได้ไหม"
ชลนที่ "เดี้ยวขอผมนึกสักแปปหนึ่งนะ คือมันค่อนข้างเลือนลาง"
มันเหมือนกับทุกๆครั้ง เธอมาในชุดกางเกงขาสั้นสีแดง สวมเสื้อยืดสีขาว ไว้ผมสั้นแบบเด็กทั่วๆไป ซึ่งในฝันนั้นผมเองก็เป็นเด็ก ผมจำใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเธอได้ชัดเจนที่สุด จำได้ว่าเธอยื่นกระดาษยับยู่ยี่ให้ผมหนึ่งใบ และเมื่อผมเปิดดูก็พบว่ามันคือแผนที่ "นายต้องหามันให้เจอนะ" คำๆนี้ก้องอยู่ในหัวผม เธอพูดจบแล้วก็วิ่งหนีไปซะอย่างนั้น ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังกังวาล
ผมตกใจนิดหน่อยเมื่อได้รู้ว่าที่เธอเอาไปซ่อน มันก็คือรองเท้าที่ผมสวมอยู่นั่นเอง ผมต้องเดินเท้าเปล่าไปตามที่แผนทีบอก มันพาผมเลี้ยวซ้ายและขวาไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่ป่าก็เริ่มทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังขุดอะไรอยู่ ผมเดินตามเสียงนั้นเข้าไปจนในที่สุดก็เห็นพ่อเลี้ยงของผม กำลังยืนขุดอะไรบางอย่างอยู่ เขายังคงขุดต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่สนใจผมที่ยืนมองอยู่ข้างๆ "น้าเอ้ !" ผมตะโกนเรียกเขาจนสุดเสียง มันได้ผล เขาหยุดแล้วค่อยๆหันหน้ามาทางผม
แต่สิ่งที่เห็นมันก็ทำให้ผมต้องตกใจสุดขีด เมื่อใบหน้าของน้าเอ้เริ่มแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว นัยตาของเขาเหลือกโปนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขายกจอบในมือขึ้นจนสุดแขน แล้วฟันลงมาทางที่ผมยืน
ชิตชัย "แล้วยังไงต่อ"
เสียงเอะอะโวยวายของน้าเอ้ทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่น เขาคงเพิ่งกลับ แล้วก็มาทะเลาะกับแม่ต่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ชิตชัย "นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณหนีออกจากบ้าน"
ชลนที "ใช่แล้วครับ"
ชิตชัย "ผมเดาจากความฝันของคุณ"
ชลนที "คุณเป็นพวกชอบอ่านใจคนสินะ ก็ได้ผมจะเล่าให้คุณฟัง"
พ่อแท้ๆของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กมาก หลังจากนั้นแม่ของผมก็ต้องทำหน้าที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาโดยตลอด คุณแม่เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนรัฐพ่วงกับการเลี้ยงดูผมไปด้วย และอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับเหงาที่คอยถาโถมเข้ามาในชีวิตของแม่ ทำให้ในไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในครอบครัวของเรา เริ่มจากช่วยงานแม่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงงานซ่อมแซมบ้านที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เขาทำอย่างนั้นอยู่นานเลย ที่จำได้ก็เพราะผมเห็นเขามาที่บ้านบ่อยๆ และในที่สุดแม่ก็ยอมใจอ่อน ตอนนั้นผมยังอายุเพียงแค่หกขวบ ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
เริ่มแรกเขาก็ดูเป็นคนดีที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ออกลาย เริ่มกินเหล้า กลับบ้านดึก และลงไม้ลงมือกับแม่เป็นประจำ เป็นอย่างนี้อยู่นานจนผมอายุย่างเข้า 15 ผมได้แต่เฝ้าดูอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งความอดทนของผมก็มาถึงขีดสุด บ่ายวันนั้นผมกลับมาจากโรงเรียน เห็นน้าเอ้ถีบแม่ตกมาจากบันไดชั้นบนของบ้าน ผมรีบวิ่งไปผยุงแม่เอาไว้ พร้อมร้องบอกให้เขาหยุด แต่แทนที่เขาจะหยุดกลับมาด่าทอผมต่างๆนาๆ มันเหมือนกับน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ ผมฟิวขาด วิ่งเข้าใส่น้าเอ้แล้วชกไปที่หน้าของเขา ถ้าคุณลองได้ชกกับคนที่เมามายจนไม่มีสติ คุณก็จะได้รู้ว่ามันไม่ต่างกับการชกกระสอบทราย
ผมทั้งชกทั้งเตะ ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาลงไปนอนกองกับพื้นหมดเรี่ยวแรงที่จะสู้ แต่ผมก็ยังไม่หยุด ตอนนั้นผมหูอื้อตาลายเกินกว่าที่จะฟังเสียงอะไรทั้งนั้น จนกระทั้งรู้สึกว่ามีของแข็งมากระทบที่หัวไหล่อย่างแรง มันทำให้ผมสะดุ้งจนต้องเงยหน้าขึ้นมาดู และก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะภาพที่เห็นก็คือแม่ที่กำลังยืนถือไม้หน้าสามอยู่ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันสับสนไปหมด ผมเอ้ออยู่พักหนึ่ง และโดยไม่พูดกับแม่สักคำ ผมรีบวิ่งไปที่ห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วรีบออกไปจากบ้านทันทีในวันนั้น โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านที่ดังไล่หลัง
ชิตชัย " การที่ท่านทำแบบนั้นก็คงเป็นเพราะท่านหวังดี และนั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดอาการบ้าเลือดของคุณในตอนนั้นได้"
ชลนที "ใช่ผมรู้ และก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาตลอด แต่เป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็ก อารมณ์ชั่ววูบทำให้ตัดสินใจอะไรผิดๆลงไป กว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีก็แก่จนเกินกว่าจะแก้ไขอะไรอีกแล้ว อืม นี่ผมเล่าค้างไว้ถึงไหน แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วล่ะ"
ชิตชัย "คุณเล่าถึงตอนที่คุณสะดุ้งตื่น แลัวตอนนี้ก็เวลา 5โมงเย็นแล้ว"
อ้อ ใช่ๆ หลังจากนั้นผมก็พยายามที่จะหลับอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ผลเสียแล้ว พลิกตัวไปมากว่าจะหลับก็เกือบเช้า มันเลยทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินลงมาข้างล่างเพื่อทานข้าว มองไปก็เห็นแม่นั่งอมยิ้มรออยู่ที่โต๊ะอยู่แล้ว
"เป็นไงบ้างลูก เมื่อคืนหลับสบายไหม ?"
"ครับ ผมหลับสบายดี น้าเอ้ออกไปทำงานแล้วเหรอ"
"ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เขาจะขึ้นไปคุยกับลูกตั้งแต่เมื่อคืน แต่แม่ห้ามเอาไว้ก่อน เพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว เลยอยากให้ลูกได้พักผ่อน"
" คุยอะไรเหรอครับ"
"ก็ถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วๆไปนั่นแหละ เขาเป็นห่วงลูกมากนะ แต่ผู้ชายปากแข็งอย่างเขาน่ะแม่รู้ดี จะให้พูดดีๆเหมือนคนอื่นเค้าน่ะทำไม่เป็นหรอก"
"คงจะเป็นอย่างนั้นมั่งครับ"
"แล้วนี่ลูกจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า ทำไมไม่ไปหาน้าดาและน้าเดชพร้อมกับแม่ล่ะ จำได้ใช่ไหม พวกเขาอยากเจอลูกมากเลยนะ"
โดยที่ไม่มีสิทธิ์โต้เถียง หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็ต้องออกไปหาญาติๆที่อยู่แถวบ้าน ทั้งที่จำได้บ้างและไม่ได้บ้างโดยมีแม่เป็นผู้นำ จนกระทั่งช่วงเย็นพอสบโอกาสเหมาะผมจึงปลีกตัวออกมาเดินเล่นอยู่คนเดียว
หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่มีขนาดใหญ่มาก ประกอบไปด้วยบ้านคนประมาณสองร้อยกว่าหลังคาเรือน ตั้งอยู่ห่างๆกันตามแบบบ้านชนบททั่วไป พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มตั้งอยู่ท่ามกลางหุบที่รายล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ ทำให้มีอากาศที่ดีตลอดทั้งปี ผู้คนที่นี่ก็มีอาชีพทำนาและทำสวนเป็นส่วนใหญ่ พอเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวพวกเขาก็จะพากันเข้าป่าล่าสัตว์ที่มีอยู่มากมายในเขตนี้เพื่อเลี้ยงชีพ
ในระหว่างที่เดินมองอะไรไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมายผมก็สังเกตเห็นที่ราบขนาดเล็กบนยอดเขาที่เตี้ยที่สุดในทิศตะวันออก จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ คง
อดีตหลอน ซ่อนอำมหิต (บทที่2)
การนั่งที่เดิมนานๆทำให้ผมรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะชินกับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม ผมเริ่มเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ สายตาทอดยาวออกไปข้างนอก มองเห็นทุ่งนาเขียวขจีในชนบทที่รายรอบตลอดเส้นทาง นอกจากอาการป่วยของแม่แล้ว ผมก็ยังนึกทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต และแล้วภาพท้องทุ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็ทำให้ผมต้องนึกถึงชื่อๆหนึ่ง นิษา เพื่อนในวัยเด็กของผม
ชิตชัย "เล่าเรื่องราวในวัยเด็กของคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ?"
ชลนที "จะดีเหรอครับ ชีวิตในวัยเด็กของผมมันไม่มีะไรให้น่าจดจำสักเท่าไหร่ ผมไม่อยากให้คุณเขียนมันลงไป จะเว้นก็แต่เรื่องของ นิษา"
ชิตชัย "งั้นคุณก็เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงที่ชื่อ นิษา ได้ เธอคงมีความสำคัญกับคุณมากสินะ"
ชลนที "ตอนนี้ใช่ครับเธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของผม แต่ในตอนนั้น คือช่วงเวลาก่อนที่ผมจะพบกับเธอและเล่าให้คุณฟังเนี่ย เราทั้งคู่ก็รู้สึกผูกพันธ์กันมาก่อนแล้วอย่างน่าประหลาด ผมฝันถึงเธออยู่บ่อยครั้งทั้งๆที่ไม่เคยได้เจอกันมาก่อนเลยหลายสิบปี หลังจากที่ผมออกจากบ้าน"
ชิตชัย "งั้นก็ช่วยเล่าเรื่องของเธอให้ผมฟังเถอะครับ"
ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าผมแยกไม่ค่อยออกว่าอันไหนความจริงกับความฝัน เพราะเรื่องของเธอมันผสมปนเปกันไปหมด เธอทั้งสวยและเก่ง รอบรู้ไปเสียทุกเรื่อง แตกต่างกับผมโดยสิ้นเชิง เรามักจะชอบออกไปวิ่งเล่นกันที่ทุ่งนาเป็นประจำ และทุกครั้งเธอจะเป็นฝ่ายมาเรียก จำได้ว่ามีบางทีที่พวกเราเล่นกันแรงๆจนต่างฝ่ายก็เจ็บกันไปทั้งคู่ ส่วนใหญ่คนที่เจ็บก็เป็นผมนั่นแหละ มีอยู่หลายครั้งที่ผมไม่ยอมออกจากบ้านเพื่อไปเล่นกับเธอ เธอก็จะแก้เผ็ดผมด้วยการนำข้าวของผมไปซ่อน แล้วเธอก็นำแผนที่ที่เธอทำเองมาให้ผม เพื่อให้ตามหาของที่เป็นของผมเอง แสบไหมล่ะ แต่น่าตลกที่ผมกลับชอบ เธอก็เลยนำหน้าผมก้าวหนึ่งเสมอ ส่วนผมก็ได้แต่วิ่งไล่ตาม
ชิตชัย "คุณฝันถึง นิษา บ่อยไหม และมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ?"
ชลนที "ก่อนหน้านั้นก็นานๆครั้ง จนเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนหน้าที่จะกลับบ้านในช่วงเวลานั้น ผมก็ฝันถึงเธอติดต่อกันตลอด เรื่องเดิมๆซ้ำๆ เกี่ยวกับการหาของในแผนที่ที่เธอทำ คงเป็นเพราะมันฝังใจผมมาตลอดล่ะมั้ง แปลกดีเหมือนกัน"
ชลนที "เอาล่ะ ทีนี้กลับมาเข้าเรื่องดีกว่า เชิญคุณเล่าเรื่องที่ค้างไว้ต่อเถอะครับ"
รถไฟเข้าเทียบชานชาลาเมื่อตอนบ่ายคล้อย ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ สะบัดหน้าเพื่อให้หายจากอาการมึนงง แล้วรีบลงมาจากรถอย่างทุลักทุเล ไม่นานผมก็มายืนงงๆอยู่ตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน ยังเหลือระทางอีกราว 1.5 กิโลเมตร ที่ผมต้องเดินด้วยเท้า ผมเดินต่อไปเรื่อยๆตามทางท่ามกลางแสงแดดที่ค่อยๆอ่อนกำลังลงไปจากที่ร้อนจัดในตอนเที่ยง ผู้คนที่อยู่ในระหว่างทางต่างจ้องมองผมด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ผมไม่ว่าเขาหรอก เป็นผมก็คงคิดแบบนั้น ที่นี่มันไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักอย่าง ในขณะหลายๆคนพยายามดิ้นรนขวนขวายเพื่อให้ได้ออกไปจากที่นี่ ผมกลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม มันก็น่าแปลกอยู่ไม่ใช่หรือ
หลังจากเดินมาได้สักชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านทรงไทยหลังใหญ่ปลูกเป็นเรือนปั้นหยาสองชั้นแบบเก่า ผมมองจากประตูรั้วแอบเห็นแม่นอนพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวายที่นอกชาน ผมกดกริ่งอยู่ได้ไม่นานก็มีคนออกมาเปิดประตู ป้าสุ่ยคนใช้เก่าแก่ของแม่นั้นเอง ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ป้าสุ่ยก็กุรีกุจอเข้ามาแย่งกระเป๋าจากมือ และพูดทักทายด้วยอาการดีใจ
"คุณที ไม่ได้เจอกันตั้งนานเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือเปล่าคะ จากไปตั้งหลายปีไม่ส่งข่าวมาบ้างเลย"
"เดี้ยวก่อนนะ ใจเย็นๆค่อยๆพูด ผมน่ะสบายดีอยู่แล้ว ตอนนี้แม่เป็นอย่างไรบ้าง"
"เข้าไปข้างในก่อนเถอะคะ เดี้ยวก็รู้เอง"
เธอพูดยิ้มๆอย่างมีเลิศนัย ผมไม่ได้ใส่ใจมากนัก รีบเดินเข้าไปในบ้านที่ตัวเองจากมานานอย่างรู้สึกคุ้นเคย เห็นแม่นั่งยิ้มอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่รู้ตอนไหนว่าผมมา
"เป็นไงบ้างจ้ะลูก เดินทางเหนื่อยมากไหม"
"ผมสบายดีครับ แค่รู่สึกเพลียนิดหน่อย ว่าแต่แม่เถอะ เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรมากหรอก แค่ถลอกที่ขานิดหน่อยเท่านั้นเอง เอ แล้วยายสุ่ยเขียนจดหมายไปบอกลูกว่าอย่างไรบ้างล่ะนั่น"
"ก็เห็นบอกว่าแม่ไม่สบายจนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล"
"ว่าแล้วไง ยัยสุ่ยนี่เขียนอะไรเกินจริง จนทำให้นทีเขาไม่สบายใจ และยังต้องเสียงานเสียการอีก ตาของแม่มันฟ่าฟางเสียแล้วเอ้ย เขียนเองไม่ได้เลยต้องพึ่งยัยสุ่ยมัน นั่นแน่ยังจะมายืนอมยิ้มอยู่อีก ไปเอาน้ำเย็นมาให้นทีเขาหน่อยเถอะไป"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็ตั้งใจจะมาพักผ่อนอยู่แล้ว แม่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว แล้วนี่น้าเอ้ออกไปไหนเหรอครับเนี่ย"
"ออกไปประชุมที่อำเภอตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วล่ะ กว่าจะกลับอีกทีก็คงมืดๆนู้นแหละ ขอให้พักอยู่ที่นี่ให้สบายเถอะนะลูกนะ อย่าไปคิดอะไรมาก อยากจะอยู่กี่วันก็ได้ตามที่ลูกต้องการเลย ว่าแต่ตอนนี้รีบไปอาบน้ำพักผ่อนเสียก่อนเถอะเดินทางมาเหนื่อยๆ เดี้ยวค่อยมาทานข้าวเย็นพร้อมกันนะ"
ชิตชัย "คนที่ชื่อเอ้นี่คือใครเหรอครับ ?"
ชลนที "เขาก็คือพ่อเลี้ยงของผมเองแหละครับ ซึ่งผมเรียกว่าน้ามาตลอดตั้งแต่เด็กๆจนติดปาก เพราะเขาอายุอ่อนกว่าแม่"
ชิตชัย "อ้อ ครับ เข้าใจแล้ว งั้นเชิญเล่าต่อเลยคร้บ"
ผมออกไปอาบน้ำและพักผ่อนที่ห้องตามที่แม่บอก ห้องเดิมของผม น่าแปลกที่ไม่มีอะไรเปลี่ยน รูปถ่าย โคมไฟ หนังสือการ์ตูน ทุกอย่างยีงคงอยู่ในที่ของมัน จะมีก็แต่รอยปัดกวาดเช็ดถู และผ้าปูที่นอนที่เปลี่ยนใหม่ ผมล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนเพลีย เผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบ ก่อนที่ผมจะเริ่มฝันถึงนิษาอีกครั้ง
ชิตชัย "คุณช่วยเล่ารายละเอียดในความฝันนั้นแบบชัดๆได้ไหม"
ชลนที่ "เดี้ยวขอผมนึกสักแปปหนึ่งนะ คือมันค่อนข้างเลือนลาง"
มันเหมือนกับทุกๆครั้ง เธอมาในชุดกางเกงขาสั้นสีแดง สวมเสื้อยืดสีขาว ไว้ผมสั้นแบบเด็กทั่วๆไป ซึ่งในฝันนั้นผมเองก็เป็นเด็ก ผมจำใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของเธอได้ชัดเจนที่สุด จำได้ว่าเธอยื่นกระดาษยับยู่ยี่ให้ผมหนึ่งใบ และเมื่อผมเปิดดูก็พบว่ามันคือแผนที่ "นายต้องหามันให้เจอนะ" คำๆนี้ก้องอยู่ในหัวผม เธอพูดจบแล้วก็วิ่งหนีไปซะอย่างนั้น ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่เพียงลำพัง พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังกังวาล
ผมตกใจนิดหน่อยเมื่อได้รู้ว่าที่เธอเอาไปซ่อน มันก็คือรองเท้าที่ผมสวมอยู่นั่นเอง ผมต้องเดินเท้าเปล่าไปตามที่แผนทีบอก มันพาผมเลี้ยวซ้ายและขวาไปเรื่อยๆเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด ในขณะที่ป่าก็เริ่มทึบจนมองอะไรแทบไม่เห็น แล้วหูของผมก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังขุดอะไรอยู่ ผมเดินตามเสียงนั้นเข้าไปจนในที่สุดก็เห็นพ่อเลี้ยงของผม กำลังยืนขุดอะไรบางอย่างอยู่ เขายังคงขุดต่อไปเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยไม่สนใจผมที่ยืนมองอยู่ข้างๆ "น้าเอ้ !" ผมตะโกนเรียกเขาจนสุดเสียง มันได้ผล เขาหยุดแล้วค่อยๆหันหน้ามาทางผม
แต่สิ่งที่เห็นมันก็ทำให้ผมต้องตกใจสุดขีด เมื่อใบหน้าของน้าเอ้เริ่มแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว นัยตาของเขาเหลือกโปนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขายกจอบในมือขึ้นจนสุดแขน แล้วฟันลงมาทางที่ผมยืน
ชิตชัย "แล้วยังไงต่อ"
เสียงเอะอะโวยวายของน้าเอ้ทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่น เขาคงเพิ่งกลับ แล้วก็มาทะเลาะกับแม่ต่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ชิตชัย "นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณหนีออกจากบ้าน"
ชลนที "ใช่แล้วครับ"
ชิตชัย "ผมเดาจากความฝันของคุณ"
ชลนที "คุณเป็นพวกชอบอ่านใจคนสินะ ก็ได้ผมจะเล่าให้คุณฟัง"
พ่อแท้ๆของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กมาก หลังจากนั้นแม่ของผมก็ต้องทำหน้าที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาโดยตลอด คุณแม่เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนรัฐพ่วงกับการเลี้ยงดูผมไปด้วย และอาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าบวกกับเหงาที่คอยถาโถมเข้ามาในชีวิตของแม่ ทำให้ในไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในครอบครัวของเรา เริ่มจากช่วยงานแม่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงงานซ่อมแซมบ้านที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เขาทำอย่างนั้นอยู่นานเลย ที่จำได้ก็เพราะผมเห็นเขามาที่บ้านบ่อยๆ และในที่สุดแม่ก็ยอมใจอ่อน ตอนนั้นผมยังอายุเพียงแค่หกขวบ ยังไม่รู้ประสีประสาอะไรเลย
เริ่มแรกเขาก็ดูเป็นคนดีที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ออกลาย เริ่มกินเหล้า กลับบ้านดึก และลงไม้ลงมือกับแม่เป็นประจำ เป็นอย่างนี้อยู่นานจนผมอายุย่างเข้า 15 ผมได้แต่เฝ้าดูอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งวันหนึ่งความอดทนของผมก็มาถึงขีดสุด บ่ายวันนั้นผมกลับมาจากโรงเรียน เห็นน้าเอ้ถีบแม่ตกมาจากบันไดชั้นบนของบ้าน ผมรีบวิ่งไปผยุงแม่เอาไว้ พร้อมร้องบอกให้เขาหยุด แต่แทนที่เขาจะหยุดกลับมาด่าทอผมต่างๆนาๆ มันเหมือนกับน้ำมันที่ราดลงบนกองไฟ ผมฟิวขาด วิ่งเข้าใส่น้าเอ้แล้วชกไปที่หน้าของเขา ถ้าคุณลองได้ชกกับคนที่เมามายจนไม่มีสติ คุณก็จะได้รู้ว่ามันไม่ต่างกับการชกกระสอบทราย
ผมทั้งชกทั้งเตะ ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเขาลงไปนอนกองกับพื้นหมดเรี่ยวแรงที่จะสู้ แต่ผมก็ยังไม่หยุด ตอนนั้นผมหูอื้อตาลายเกินกว่าที่จะฟังเสียงอะไรทั้งนั้น จนกระทั้งรู้สึกว่ามีของแข็งมากระทบที่หัวไหล่อย่างแรง มันทำให้ผมสะดุ้งจนต้องเงยหน้าขึ้นมาดู และก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะภาพที่เห็นก็คือแม่ที่กำลังยืนถือไม้หน้าสามอยู่ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันสับสนไปหมด ผมเอ้ออยู่พักหนึ่ง และโดยไม่พูดกับแม่สักคำ ผมรีบวิ่งไปที่ห้องเพื่อเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้วรีบออกไปจากบ้านทันทีในวันนั้น โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านที่ดังไล่หลัง
ชิตชัย " การที่ท่านทำแบบนั้นก็คงเป็นเพราะท่านหวังดี และนั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะหยุดอาการบ้าเลือดของคุณในตอนนั้นได้"
ชลนที "ใช่ผมรู้ และก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้มาตลอด แต่เป็นเพราะตอนนั้นผมยังเด็ก อารมณ์ชั่ววูบทำให้ตัดสินใจอะไรผิดๆลงไป กว่าจะมารู้สึกตัวอีกทีก็แก่จนเกินกว่าจะแก้ไขอะไรอีกแล้ว อืม นี่ผมเล่าค้างไว้ถึงไหน แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วล่ะ"
ชิตชัย "คุณเล่าถึงตอนที่คุณสะดุ้งตื่น แลัวตอนนี้ก็เวลา 5โมงเย็นแล้ว"
อ้อ ใช่ๆ หลังจากนั้นผมก็พยายามที่จะหลับอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ผลเสียแล้ว พลิกตัวไปมากว่าจะหลับก็เกือบเช้า มันเลยทำให้ผมต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัว เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินลงมาข้างล่างเพื่อทานข้าว มองไปก็เห็นแม่นั่งอมยิ้มรออยู่ที่โต๊ะอยู่แล้ว
"เป็นไงบ้างลูก เมื่อคืนหลับสบายไหม ?"
"ครับ ผมหลับสบายดี น้าเอ้ออกไปทำงานแล้วเหรอ"
"ออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เขาจะขึ้นไปคุยกับลูกตั้งแต่เมื่อคืน แต่แม่ห้ามเอาไว้ก่อน เพราะเห็นว่ามันดึกมากแล้ว เลยอยากให้ลูกได้พักผ่อน"
" คุยอะไรเหรอครับ"
"ก็ถามไถ่เรื่องสารทุกข์สุขดิบทั่วๆไปนั่นแหละ เขาเป็นห่วงลูกมากนะ แต่ผู้ชายปากแข็งอย่างเขาน่ะแม่รู้ดี จะให้พูดดีๆเหมือนคนอื่นเค้าน่ะทำไม่เป็นหรอก"
"คงจะเป็นอย่างนั้นมั่งครับ"
"แล้วนี่ลูกจะออกไปข้างนอกหรือเปล่า ทำไมไม่ไปหาน้าดาและน้าเดชพร้อมกับแม่ล่ะ จำได้ใช่ไหม พวกเขาอยากเจอลูกมากเลยนะ"
โดยที่ไม่มีสิทธิ์โต้เถียง หลังจากทานข้าวเสร็จ ผมก็ต้องออกไปหาญาติๆที่อยู่แถวบ้าน ทั้งที่จำได้บ้างและไม่ได้บ้างโดยมีแม่เป็นผู้นำ จนกระทั่งช่วงเย็นพอสบโอกาสเหมาะผมจึงปลีกตัวออกมาเดินเล่นอยู่คนเดียว
หมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่มีขนาดใหญ่มาก ประกอบไปด้วยบ้านคนประมาณสองร้อยกว่าหลังคาเรือน ตั้งอยู่ห่างๆกันตามแบบบ้านชนบททั่วไป พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มตั้งอยู่ท่ามกลางหุบที่รายล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ ทำให้มีอากาศที่ดีตลอดทั้งปี ผู้คนที่นี่ก็มีอาชีพทำนาและทำสวนเป็นส่วนใหญ่ พอเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวพวกเขาก็จะพากันเข้าป่าล่าสัตว์ที่มีอยู่มากมายในเขตนี้เพื่อเลี้ยงชีพ
ในระหว่างที่เดินมองอะไรไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดหมายผมก็สังเกตเห็นที่ราบขนาดเล็กบนยอดเขาที่เตี้ยที่สุดในทิศตะวันออก จำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ คง