บางคน..ในบางโอกาสอาจเผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นผู้ทรงภูมิ ผู้ทรงธรรม
ถามอะไรมา ตอบได้หมด แปะได้หมด ปริยัติแน่น
แต่ละเลยการปฏิบัติ..
อาจเป็นได้แค่คนเลี้ยงโคเท่านั้น มิใช่เจ้าของโค..
..รู้ธรรมมาก แต่ไม่ทำตามธรรม ..เป็นได้แค่คนเลี้ยงโค
..รู้ธรรมน้อย แต่ทำตามธรรมนั้น ..เป็นเจ้าของโค
______________________________________________________
เรื่อง ภิกษุ ๒ สหาย
พระศาสดาได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า..
" หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูลแม้มาก
(แต่) เป็นผู้ประมาทแล้ว ไม่ทำ (ตาม) พระพุทธพจน์นั้นไซร้
เขาย่อมไม่เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล
เหมือนคนเลี้ยงโค นับโคทั้งหลายของชนเหล่าอื่น
ย่อมเป็นผู้ไม่มีส่วนแห่งปัญจโครสฉะนั้น
หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูล แม้น้อย
(แต่) เป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้
เขาละราคะ โทสะ และโมหะ แล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
หมดความยึดถือในโลกนี้หรือในโลกหน้า
เขาย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล "
ที่มา : เทฺวสหายกภิกฺขุ วตฺ
มกวคฺค วณฺณนา
แค่สงสัย...เคยคิดทบทวนบ้างไหมว่าตัวเราเป็น คนเลี้ยงโคหรือเจ้าของโค?
ถามอะไรมา ตอบได้หมด แปะได้หมด ปริยัติแน่น
แต่ละเลยการปฏิบัติ..
อาจเป็นได้แค่คนเลี้ยงโคเท่านั้น มิใช่เจ้าของโค..
..รู้ธรรมมาก แต่ไม่ทำตามธรรม ..เป็นได้แค่คนเลี้ยงโค
..รู้ธรรมน้อย แต่ทำตามธรรมนั้น ..เป็นเจ้าของโค
______________________________________________________
เรื่อง ภิกษุ ๒ สหาย
พระศาสดาได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า..
" หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูลแม้มาก
(แต่) เป็นผู้ประมาทแล้ว ไม่ทำ (ตาม) พระพุทธพจน์นั้นไซร้
เขาย่อมไม่เป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล
เหมือนคนเลี้ยงโค นับโคทั้งหลายของชนเหล่าอื่น
ย่อมเป็นผู้ไม่มีส่วนแห่งปัญจโครสฉะนั้น
หากว่า นรชนกล่าวพระพุทธพจน์อันมีประโยชน์เกื้อกูล แม้น้อย
(แต่) เป็นผู้มีปกติประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้
เขาละราคะ โทสะ และโมหะ แล้ว รู้ชอบ มีจิตหลุดพ้นดีแล้ว
หมดความยึดถือในโลกนี้หรือในโลกหน้า
เขาย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งสามัญผล "
ที่มา : เทฺวสหายกภิกฺขุ วตฺมกวคฺค วณฺณนา