เสียงสะท้อน คนใช้รถเมล์ ถามรัฐบาล ปฏิรูปยังไงให้แพงขึ้น หลังปล่อยสาย 140 ให้เอกชน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7314379
เสียงสะท้อน คนใช้รถเมล์ ถามรัฐบาล ปฏิรูปยังไงให้แพงขึ้น หลังปล่อยสาย 140 ให้เอกชน ลั่นเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เอาแน่ ทำประชาชนเดือดร้อน
เป็นเสียงสะท้อนจากคนใช้บริการรถเมล์ หลัง ขสมก. เปลี่ยนแปลงผู้ให้บริการ สาย 140 ซึ่งเป็นสายที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมากไปให้กับเอกชน
โดยเพจ
รถเมล์ไทยแฟนคลับ Rotmaethai นำข้อความจากประชาชนมาโพสต์ ระบุว่า
เสียงจากประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐ (ที่รัฐบาลไม่รับฟัง)
กรณี ขสมก. ยุติการให้บริการสาย 140 และให้เอกชนเดินรถเองเต็มรูปแบบ ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ 1 สาย 1 ผู้ประกอบการ
ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย กลับไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในการตัดสินใจเรื่องนี้ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จากค่ารถที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพให้สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่น บัตรเดือน-บัตรสัปดาห์ ขสมก. ที่ลดภาระค่าใช้จ่าย ไม่สามารถใช้งานกับรถเอกชนได้
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ตลอดไปเหมือนรถ ขสมก. (เพราะเห็นใช้ได้ถึงสิ้นปี)
ผู้โดยสารหลายคนต่างไม่มีความเชื่อมั่นว่าเอกชนบริการได้เท่า ขสมก. ทั้งความถี่ คุณภาพการให้บริการ รถจะเลิกเร็วหรือไม่ เพราะเหตุนี้ ทำให้มีประชาชนแสดงความคิดเห็นออกมา ถึงขั้นมีประชาชน เชิญชวนลงขันซื้อใบอนุญาตเดินรถสาย 140 เพื่อให้ ขสมก. เดินรถเอง
มีบางคนตัดสินใจว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะไม่เลือกพรรคการเมือง ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากกรณีนี้ เพราะตอนหาเสียงขอคะแนนจากประชาชน ก็ไหว้ดะ สัญญาว่าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่พอมีอำนาจ กลับไม่สนใจเสียงประชาชน
นี่คือตัวอย่างของเสียงประชาชน ที่ฝากให้เพจรถเมล์ไทยสะท้อนออกมา
ภาพจาก ชุมชนคนรักรถเมล์
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0pD9TgwWErnyf3X2sBHm3o2MJ2ZBATPc1RaiD44UJZWqee8wQ3hqcm1KXVsZBC5jwl&id=100064731396870&
เจ้าสัว-นักธุรกิจ เปิดสเปก ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป เก่ง ดี ซื่อสัตย์ ‘เสี่ยนิด-เสี่ยหนู’ ติดโผสูสี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3615900
เจ้าสัว-นักธุรกิจ เปิดสเปก ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป เก่ง ดี ซื่อสัตย์ ‘เสี่ยนิด-เสี่ยหนู’ ติดโผสูสี
จากกระแสพรรคเพื่อไทยแง้มชื่อบุคคลเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยในบัญชีมีชื่อ ‘
เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน’ นักธุรกิจหมื่นล้านวัย 59 ปี บอสใหญ่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยักษ์อสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย ติดโผตีคู่มากับ ‘
อุ๊งอิ๊ง’ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
“มติชน” สำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจถึงสเปกตำแหน่ง ‘
นายกรัฐมนตรี’ ในดวงใจ
เริ่มจากนาย
บุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตนไม่รู้จักคุณ
เศรษฐาเป็นการส่วนตัว จึงไม่ขอออกความเห็นในแง่ของทางการเมือง เพราะไม่รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แต่ในแง่ของธุรกิจแล้ว ดูจากบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือว่าคุณ
เศรษฐาทำได้ดีที่ทำให้บริษัทมียอดขายสูงและมีกำไร
“ผมมองว่า ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเก่ง ดี ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นคนดีอย่างเดียว แต่ไม่เก่งก็ไม่เหมาะ รวมถึงต้องเป็นผู้มีวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำประเทศด้วย ถ้าเก่งและดีทุกอย่าง แต่นำใครไม่ได้ ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะการเมืองจะเป็นปัญหาของประเทศ หากต่างคนยังต่างแย่งชิงการเป็นรัฐบาล โดยไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ของประเทศ มองแต่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว” นาย
บุญชัยกล่าว
นาย
บุญชัยกล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ดีในขณะนี้ มันเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศในภาวะนี้ก็ช่วยแก้วิกฤตไม่ได้ แต่จะช่วยทำให้ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เล็กน้อยเท่านั้นมากกว่า
ด้านนาย
ศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มองว่าคุณเศรษฐามีความเหมาะสม ด้วยวัย บุคลิกที่เป็นคนแอคทีฟ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และมีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจระดับหมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทแสนสิริมียอดขายสูงติดท็อปทรีของวงการต่อเนื่องมาหลายปี แต่ในแง่ของนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ คงต้องให้ทางพรรคช่วยสนับสนุน
“ด้วยความสดใหม่ของคุณเศรษฐา จะได้รับความสนใจจากประชาชนเหมือนกรณีคุณชัชชาติได้รับชัยชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.”
“
ศานิต” ยังวิเคราะห์ว่า
เสี่ยนิด-เศรษฐา จะเป็นคู่แข่งที่สูสีกับ
เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ออกแนวสไตล์บู๊ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าตัดสินใจ ขณะที่วัยก็ไล่เรี่ยกัน ด้านความรู้ก็ผ่านการบริหารงานโครงการขนาดใหญ่มาเหมือนกัน
“ทั้งคู่ผมว่ามีคุณสมบัติสมน้ำสมเนื้อกัน ที่จะชิงความเป็นผู้นำประเทศในการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า แต่คิดว่าภาคเอกชนจะให้การตอบรับคุณเศรษฐามากกว่า เพราะมีความสดมากกว่า แต่ต้องมีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเข้ามาช่วยเติมเต็ม” ศานิตย้ำ
ขณะที่น.ส.
ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการอาวุโส กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท ฯ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หรือ พี่สาวนาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มองว่า ในฐานะนักธุรกิจถือว่าคุณ
เศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง กล้าพูดในสิ่งที่นักธุรกิจในหลายๆคนอาจจะไม่กล้า ถือว่า เป็นบุคคลที่น่าสนใจดี กล้าพูด กล้าทำ กล้าคิด อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่า การเมืองไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะดูแล้วคงไม่แย่ไปมากกว่านี้แล้ว ถ้ามีการเลือกตั้งจริงๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
พท.เตือน “ประยุทธ์” แล้ว ปัญหายาเสพติด แต่เพิ่งคิดแก้
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_428590/
รองเลขาฯเพื่อไทย บอกเตือน “ประยุทธ์” แล้ว ปัญหายาเสพติด แต่เพิ่งคิดแก้ ถนัดแต่ตั้งคณะกรรมการ ไร้แผนการทำงานเชิงรุก ทำสังคมไทยเสื่อมถอย
นางสาว
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาวุธปืน โดยระบุว่า อาจมีการทบทวนกรณีการแก้ไขกฎหมายปริมาณการครอบครองยาเสพติดใหม่ ถ้าเกินกว่า 5 เม็ดควรเป็นผู้ค้า เพื่อแยกประเภทผู้เสพ และผู้ค้ารายย่อยได้ชัดเจนขึ้น และให้มีการลงโทษอย่างเด็ดขาด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น เรื่องนี้ตนได้เคยออกมาเสนอแนะในเรื่องนี้แล้วเมื่อ 2 เดือนก่อน
โดยพบว่าส่วนหนึ่งของปัญหา คือการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดรวม 24 ฉบับเหลือ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่2) พ.ศ.2564 ที่ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิด หรือจำเลย ได้ต่อสู้หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิด โดยมีการปรับโทษให้ผู้ต้องหายาเสพติดที่เป็น ‘
ผู้ค้าตัวจริง’ ได้รับโทษเบาลงนั้น ซึ่งในความเป็นจริงหากย้อนไปดูกฎหมายเดิม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 หากผู้ใดครอบครองยาเกินปริมาณที่กำหนด ให้สันนิษฐานว่า ‘
ครอบครองเพื่อจำหน่าย’ และจะได้รับโทษรุนแรง
แต่หลังจากได้มีการปรับการชี้วัดผู้ค้าออกจากผู้เสพ ด้วยปริมาณการครอบครองยาเสพติด เดิม ‘
หากครอบครองเกินกำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ค้า’ เปลี่ยนมาเป็น ‘
การพิจารณาจากพฤติการณ์การครอบครองยาแทน’ ทำให้ ‘
คนขายกลายเป็นคนเสพ’ ผู้ค้ารายย่อยตัวจริงกลายเป็นผู้เสพ และได้รับโทษเบาลง จากช่องโหว่ของกฎหมายนี้ เป็นสาเหตุทำให้ผู้ขายทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ยาเสพติดจึงไม่หายไป และระบาดหนักมากขึ้นทุกปีจนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น
นางสาว
ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า แม้หลังเหตุโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกที่ส่วนหนึ่งมาจากปัญหายาเสพติด นอกจากทบทวนกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผู้ค้า และผู้เสพให้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ในเรื่องการกำหนดการครอบครองยาเสพติด ในเวลานี้สถานการณ์ที่ยาเสพติดแพร่ระบาดอย่างหนักในทุกชุมชน ทางแก้เรื่องนี้อาจไม่ใช่ลดจำนวนการครอบครองยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีข้อมูลผู้ค้า ผู้เสพ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงทุกภาคส่วนต้องตรวจสอบ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อดูความเชื่อมโยงการนำเข้าสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด และรัฐบาลซึ่งเป็นต้นน้ำของการแก้ไขปัญหามีอำนาจเต็มในการบริหารต้องเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่ใช่เพียงการประกาศให้ยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และตั้งคณะกรรมการ ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นหัวโต๊ะลุยแก้ปัญหาหลายเรื่อง ตั้งคณะกรรมการมาแล้วจนนับจำนวนไม่ได้ มีกี่คณะที่แก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างแท้จริง วันนี้สิ่งที่ประชาชนอยากได้ คือการกำหนดเป้าหมายการปราบปรามจับกุมยาเสพติด เน้นการทำงานเชิงรุก กำหนดกรอบระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือนเพื่อลดปริมาณยาเสพติดในสังคมไทย
JJNY : คนใช้รถเมล์ ถามรบ.│เจ้าสัว-นักธุรกิจ เปิดสเปก ‘นายกฯ’│พท.เตือนแล้ว ปัญหายาเสพติด│ชาวรัสเซียล่องเรือหนีเกณฑ์ทหาร
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7314379
เสียงสะท้อน คนใช้รถเมล์ ถามรัฐบาล ปฏิรูปยังไงให้แพงขึ้น หลังปล่อยสาย 140 ให้เอกชน ลั่นเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เอาแน่ ทำประชาชนเดือดร้อน
เป็นเสียงสะท้อนจากคนใช้บริการรถเมล์ หลัง ขสมก. เปลี่ยนแปลงผู้ให้บริการ สาย 140 ซึ่งเป็นสายที่มีประชาชนใช้บริการจำนวนมากไปให้กับเอกชน
โดยเพจ รถเมล์ไทยแฟนคลับ Rotmaethai นำข้อความจากประชาชนมาโพสต์ ระบุว่า
เสียงจากประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐ (ที่รัฐบาลไม่รับฟัง)
กรณี ขสมก. ยุติการให้บริการสาย 140 และให้เอกชนเดินรถเองเต็มรูปแบบ ตามแผนปฏิรูปรถเมล์ 1 สาย 1 ผู้ประกอบการ
ประชาชนซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย กลับไม่มีส่วนร่วมใดๆ ในการตัดสินใจเรื่องนี้ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จากค่ารถที่เพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มภาระค่าครองชีพให้สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างเช่น บัตรเดือน-บัตรสัปดาห์ ขสมก. ที่ลดภาระค่าใช้จ่าย ไม่สามารถใช้งานกับรถเอกชนได้
บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ตลอดไปเหมือนรถ ขสมก. (เพราะเห็นใช้ได้ถึงสิ้นปี)
ผู้โดยสารหลายคนต่างไม่มีความเชื่อมั่นว่าเอกชนบริการได้เท่า ขสมก. ทั้งความถี่ คุณภาพการให้บริการ รถจะเลิกเร็วหรือไม่ เพราะเหตุนี้ ทำให้มีประชาชนแสดงความคิดเห็นออกมา ถึงขั้นมีประชาชน เชิญชวนลงขันซื้อใบอนุญาตเดินรถสาย 140 เพื่อให้ ขสมก. เดินรถเอง
มีบางคนตัดสินใจว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า จะไม่เลือกพรรคการเมือง ที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากกรณีนี้ เพราะตอนหาเสียงขอคะแนนจากประชาชน ก็ไหว้ดะ สัญญาว่าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่พอมีอำนาจ กลับไม่สนใจเสียงประชาชน
นี่คือตัวอย่างของเสียงประชาชน ที่ฝากให้เพจรถเมล์ไทยสะท้อนออกมา
ภาพจาก ชุมชนคนรักรถเมล์
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0pD9TgwWErnyf3X2sBHm3o2MJ2ZBATPc1RaiD44UJZWqee8wQ3hqcm1KXVsZBC5jwl&id=100064731396870&
เจ้าสัว-นักธุรกิจ เปิดสเปก ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป เก่ง ดี ซื่อสัตย์ ‘เสี่ยนิด-เสี่ยหนู’ ติดโผสูสี
https://www.matichon.co.th/economy/news_3615900
เจ้าสัว-นักธุรกิจ เปิดสเปก ‘นายกรัฐมนตรี’ คนต่อไป เก่ง ดี ซื่อสัตย์ ‘เสี่ยนิด-เสี่ยหนู’ ติดโผสูสี
จากกระแสพรรคเพื่อไทยแง้มชื่อบุคคลเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยในบัญชีมีชื่อ ‘เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน’ นักธุรกิจหมื่นล้านวัย 59 ปี บอสใหญ่บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ยักษ์อสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย ติดโผตีคู่มากับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
“มติชน” สำรวจความคิดเห็นของนักธุรกิจถึงสเปกตำแหน่ง ‘นายกรัฐมนตรี’ ในดวงใจ
เริ่มจากนายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตนไม่รู้จักคุณเศรษฐาเป็นการส่วนตัว จึงไม่ขอออกความเห็นในแง่ของทางการเมือง เพราะไม่รู้ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แต่ในแง่ของธุรกิจแล้ว ดูจากบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือว่าคุณเศรษฐาทำได้ดีที่ทำให้บริษัทมียอดขายสูงและมีกำไร
“ผมมองว่า ผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องเก่ง ดี ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นคนดีอย่างเดียว แต่ไม่เก่งก็ไม่เหมาะ รวมถึงต้องเป็นผู้มีวุฒิภาวะของการเป็นผู้นำประเทศด้วย ถ้าเก่งและดีทุกอย่าง แต่นำใครไม่ได้ ก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะการเมืองจะเป็นปัญหาของประเทศ หากต่างคนยังต่างแย่งชิงการเป็นรัฐบาล โดยไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ของประเทศ มองแต่ประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว” นายบุญชัยกล่าว
นายบุญชัยกล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ดีในขณะนี้ มันเกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารประเทศในภาวะนี้ก็ช่วยแก้วิกฤตไม่ได้ แต่จะช่วยทำให้ผ่อนหนักให้เป็นเบาได้เล็กน้อยเท่านั้นมากกว่า
ด้านนายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มองว่าคุณเศรษฐามีความเหมาะสม ด้วยวัย บุคลิกที่เป็นคนแอคทีฟ กล้าคิด กล้าตัดสินใจ และมีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจระดับหมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทแสนสิริมียอดขายสูงติดท็อปทรีของวงการต่อเนื่องมาหลายปี แต่ในแง่ของนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพใหญ่ของประเทศ คงต้องให้ทางพรรคช่วยสนับสนุน
“ด้วยความสดใหม่ของคุณเศรษฐา จะได้รับความสนใจจากประชาชนเหมือนกรณีคุณชัชชาติได้รับชัยชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.”
“ศานิต” ยังวิเคราะห์ว่า เสี่ยนิด-เศรษฐา จะเป็นคู่แข่งที่สูสีกับ เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ออกแนวสไตล์บู๊ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าตัดสินใจ ขณะที่วัยก็ไล่เรี่ยกัน ด้านความรู้ก็ผ่านการบริหารงานโครงการขนาดใหญ่มาเหมือนกัน
“ทั้งคู่ผมว่ามีคุณสมบัติสมน้ำสมเนื้อกัน ที่จะชิงความเป็นผู้นำประเทศในการเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้า แต่คิดว่าภาคเอกชนจะให้การตอบรับคุณเศรษฐามากกว่า เพราะมีความสดมากกว่า แต่ต้องมีทีมเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเข้ามาช่วยเติมเต็ม” ศานิตย้ำ
ขณะที่น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการอาวุโส กลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท ฯ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ หรือ พี่สาวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า มองว่า ในฐานะนักธุรกิจถือว่าคุณเศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง กล้าพูดในสิ่งที่นักธุรกิจในหลายๆคนอาจจะไม่กล้า ถือว่า เป็นบุคคลที่น่าสนใจดี กล้าพูด กล้าทำ กล้าคิด อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่า การเมืองไม่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะดูแล้วคงไม่แย่ไปมากกว่านี้แล้ว ถ้ามีการเลือกตั้งจริงๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดี
พท.เตือน “ประยุทธ์” แล้ว ปัญหายาเสพติด แต่เพิ่งคิดแก้
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_428590/
รองเลขาฯเพื่อไทย บอกเตือน “ประยุทธ์” แล้ว ปัญหายาเสพติด แต่เพิ่งคิดแก้ ถนัดแต่ตั้งคณะกรรมการ ไร้แผนการทำงานเชิงรุก ทำสังคมไทยเสื่อมถอย
นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดมาตรการเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาวุธปืน โดยระบุว่า อาจมีการทบทวนกรณีการแก้ไขกฎหมายปริมาณการครอบครองยาเสพติดใหม่ ถ้าเกินกว่า 5 เม็ดควรเป็นผู้ค้า เพื่อแยกประเภทผู้เสพ และผู้ค้ารายย่อยได้ชัดเจนขึ้น และให้มีการลงโทษอย่างเด็ดขาด ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น เรื่องนี้ตนได้เคยออกมาเสนอแนะในเรื่องนี้แล้วเมื่อ 2 เดือนก่อน
โดยพบว่าส่วนหนึ่งของปัญหา คือการรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดรวม 24 ฉบับเหลือ 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่2) พ.ศ.2564 ที่ดูเหมือนจะเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิด หรือจำเลย ได้ต่อสู้หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิด โดยมีการปรับโทษให้ผู้ต้องหายาเสพติดที่เป็น ‘ผู้ค้าตัวจริง’ ได้รับโทษเบาลงนั้น ซึ่งในความเป็นจริงหากย้อนไปดูกฎหมายเดิม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 หากผู้ใดครอบครองยาเกินปริมาณที่กำหนด ให้สันนิษฐานว่า ‘ครอบครองเพื่อจำหน่าย’ และจะได้รับโทษรุนแรง
แต่หลังจากได้มีการปรับการชี้วัดผู้ค้าออกจากผู้เสพ ด้วยปริมาณการครอบครองยาเสพติด เดิม ‘หากครอบครองเกินกำหนดให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้ค้า’ เปลี่ยนมาเป็น ‘การพิจารณาจากพฤติการณ์การครอบครองยาแทน’ ทำให้ ‘คนขายกลายเป็นคนเสพ’ ผู้ค้ารายย่อยตัวจริงกลายเป็นผู้เสพ และได้รับโทษเบาลง จากช่องโหว่ของกฎหมายนี้ เป็นสาเหตุทำให้ผู้ขายทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ยาเสพติดจึงไม่หายไป และระบาดหนักมากขึ้นทุกปีจนเกิดเหตุโศกนาฏกรรมขึ้น
นางสาวลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า แม้หลังเหตุโศกนาฏกรรมที่สะเทือนใจคนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกที่ส่วนหนึ่งมาจากปัญหายาเสพติด นอกจากทบทวนกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผู้ค้า และผู้เสพให้ชัดเจนมากขึ้นแล้ว ในเรื่องการกำหนดการครอบครองยาเสพติด ในเวลานี้สถานการณ์ที่ยาเสพติดแพร่ระบาดอย่างหนักในทุกชุมชน ทางแก้เรื่องนี้อาจไม่ใช่ลดจำนวนการครอบครองยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งมีข้อมูลผู้ค้า ผู้เสพ รวมถึงฝ่ายความมั่นคงทุกภาคส่วนต้องตรวจสอบ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เพื่อดูความเชื่อมโยงการนำเข้าสารตั้งต้นที่ใช้ในการผลิตยาเสพติด และรัฐบาลซึ่งเป็นต้นน้ำของการแก้ไขปัญหามีอำนาจเต็มในการบริหารต้องเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหายาเสพติด ไม่ใช่เพียงการประกาศให้ยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ และตั้งคณะกรรมการ ที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ นั่งเป็นหัวโต๊ะลุยแก้ปัญหาหลายเรื่อง ตั้งคณะกรรมการมาแล้วจนนับจำนวนไม่ได้ มีกี่คณะที่แก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างแท้จริง วันนี้สิ่งที่ประชาชนอยากได้ คือการกำหนดเป้าหมายการปราบปรามจับกุมยาเสพติด เน้นการทำงานเชิงรุก กำหนดกรอบระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือนเพื่อลดปริมาณยาเสพติดในสังคมไทย