ปาล์มราคาตก-ปุ๋ยขยับสูง ชาวสวนยื่น6มาตรการ เร่งรัฐช่วยเหลือ จี้ นายกฯตู่ ลงนาม
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7313684
สุราษฎร์ธานี ชาวสวนปาล์มรวมตัวยื่นหนังสือ ร้องรัฐช่วยเหลือ หลังราคาปาล์มตก แต่ปุ๋ยขยับสูงไม่มีตก ขอนำมาตรการที่เสนอยกระดับราคาปาล์ม หากไม่เป็นผลเตรียมเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
12 ต.ค. 65 – นาย
ชัยวุฒิ จิตต์นุพงศ์ นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ และจังหวัดใกล้เคียง จำนวนมากร่วมลงชื่อ แสดงเจตนารมณ์ขอรัฐบาลช่วยเหลือชาวสวนปาล์ม บริเวณลานริมถนน สาย 417 ใกล้สามแยกคลองน้อย ต.คลองน้อย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ
ปัจจุบันราคาปาล์มน้ำมันตกลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรเอง เช่น ปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ลดลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น แม้ว่าช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม ที่ผ่านมา จะได้รับราคาที่สูงก็ตาม แต่เป็นช่วงที่ผลผลิตออกมาน้อยไม่เกิน 30% ของผลผลิตทั้งปี ซึ่งวันนี้เป็นการรวมกลุ่มเพื่อแสดงพลังให้ส่วนราชการและรัฐบาลเห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร และยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล
โดยมีการหมุนเวียนให้ตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดต่างๆ ได้ขึ้นมาระบายความเดือดร้อนที่พบให้ยุคปัจจุบัน และเสนอแนะแนวทางการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
หลังจากนี้จะได้ส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผ่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไขป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำมากไปกว่านี้ ก่อนถึงช่วงเวลาผลผลิตจะออกมามากที่สุดในปลายปี
ที่สุดแล้วที่ประชุมมีมติเสนอข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ดำเนินการดังนี้
1. ให้มีมาตรการบังคับและบทลงโทษกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่ปฏิบัติไม่ได้ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดชนิดและคุณภาพวัตถุดิบในการผลิตของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม พ.ศ 2562 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2562 เพราะที่ผ่านมาโรงงานสกัดส่วนใหญ่สกัดไม่ได้ 18% และใช้เป็นข้ออ้างในการกดราคาซื้อทะลายปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรตลอดมา
2. ให้ปรับลดสต๊อกน้ำมันปาล์ม (CPO) เพื่อความมั่นคงเป็น 1.5 – ไม่เกิน 2 แสนตัน และผลักดันการส่งออกส่วนเกินโดยเร็ว
3. ให้กำกับดูแล ไม่ให้บริษัทผู้ค้าปุ๋ยและปัจจัยการผลิตกักตุนและค้ากำไรเกินควร
4. ให้ดำเนินการเจรจาซื้อปุ๋ย โดยรัฐบาลกับประเทศผู้ผลิต ในระบบ (G to G) เพื่อจะได้ปุ๋ยราคาถูกที่สุดให้กับเกษตรกร
5. ให้ยกเลิกประกันรายได้ 4 บาท/กิโลกรัม จำนวน 25 ไร่ เพราะปัจจุบันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตเช่น ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงาน ได้เพิ่มขึ้นเกิน 4 บาท/กิโลกรัม แล้ว
สุดท้าย 6. ให้ พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลงนามรับรอง ร่าง พ.ร.บ ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ…… (ฉบับของ สส.สาคร เกี่ยวข้อง และคณะ) โดยเร็ว
ทั้งนี้หากไม่เป็นผล ชาวสวนปาล์มน้ำมัน เตรียมเคลื่อนไหวต่อเนื่องต่อไป
‘ณพลเดช’ ตอก ‘เสกสกล’ หาข้อมูลก่อนโว ‘ประยุทธ์’ แก้ยาเสพติดดีกว่า ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3615462
นาย
ณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นาย
เสกสกล อัตถาวงศ์ ได้พาดพิง ดร.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าในยุคพรรคไทยรักไทย ทำสงครามกับยาเสพติด มีการฆ่าตัดตอน ใช้ศาลเตี้ย ราวกับว่าประเทศชาติบ้านเมืองไร้ซึ่งขื่อแป และอีกหลายประเด็นนั้น
1. ในความจริงในช่วงนั้น นาย
เสกสกล ก็เคยอยู่ในพรรคไทยรักไทยในช่วงที่มีนโยบายปราบปรามยาเสพติด แต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่เป็นการต่อต้านนโยบายดังกล่าวแต่อย่างใด เหตุใดจึงออกมาพูดจาใส่ร้ายโจมตีนโยบายที่ตนเองก็รู้เห็นมาโดยตลอดในตอนนี้ หรือเป็นเพราะนาย
เสกสกล ย้ายสังกัดมาอยู่ภายใต้รัฐบาลนี้ จึงยอมที่จะหลับหูหลับตา พูดจาใส่ร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริง ดร.
ทักษิณ ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของนาย
เสกสกล เพียงเพราะหวังประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ขอเตือนนาย
เสกสกลให้หยุดกล่าวหาและระมัดระวังในการพูดจาใส่ร้ายพรรคอื่น เพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง การกล่าวหาบุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นอาจมีความผิดได้ ทั้งนี้ในข้อเท็จจริงได้มีการตรวจสอบภายหลังว่า รัฐบาลไทยรักไทยไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอนอย่างที่ถูกกล่าวหา
2. การที่นาย
เสกสกลระบุว่า พลเอก
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดโดยยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม นั้น ตนสงสัยว่านาย
เสกสกล มีความสามารถในการแยกแยะความถูกผิดได้หรือไม่ เพราะการที่พลเอก
ประยุทธ์ เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความผิดฐานเป็นกบฎ ซ้ำยังมีการเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมผู้ทำรัฐประหาร มีการใช้คำสั่งมาตรา 44 ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรมหลายครั้งใช่หรือไม่ สร้างความเสียหายทั้งที่นับเป็นมูลค่าได้และนับไม่ได้มากมายมหาศาล นี่หรือผู้นำที่มีหลักนิติรัฐ นิติธรรม นายเสกสกลควรหยุดพูดอ้างความชอบธรรมในประเด็นนี้ได้แล้ว
3. การที่นาย
เสกสกลระบุว่า พลเอก
ประยุทธ์ สามารถจัดการปัญหายาเสพติดได้ดีกว่ารัฐบาล ดร.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาว
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น อยากถามนาย
เสกสกลว่า ไปเอาข้อมูลมาจากไหน หากไปดูสถิติการปราบปรามยาเสพติดที่รายงานโดย ปปส.มีข้อมูลการดำเนินการปราบปรามอย่างชัดเจน อยู่ ขณะที่มาตรการและการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไทยรักไทย และเพื่อไทย แตกต่างจากการดำเนินการของพลเอก
ประยุทธ์ โดยสิ้นเชิง เพราะพลเอก
ประยุทธ์ เพิ่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ ปัญหายาเสพติดได้ไม่นาน การดำเนินการไม่จริงจัง จึงยากที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนที่เคยตั้งเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติมาแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
“ช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียง นายเสกสกล ควรระมัดระวังการให้ข่าวหน่อย การพาดพิง สร้างความเสียหายให้กับพรรคอื่น มีความผิดใส่ร้ายโจมตี จริงๆ ไม่อยากตอบโต้ แต่ไม่อยากให้นายเสกสกลพูดไปเรื่อย ทำให้สังคมเข้าใจผิด หากแม้ไม่มีความรู้ ก็ควรไปหาอ่าน ไปศึกษาหาข้อมูล หรือรายงานที่เป็นทางการก่อนออกมาให้ข้อมูลด้วย ป้องกันสังคมสับสน” นาย
ณพลเดช กล่าว
"ศิริกัญญา" ชี้ กสทช.เลื่อนพิจารณาควบรวม "ทรู-ดีแทค" เชื่อ สัญญาณดี
https://www.thairath.co.th/news/politic/2525410
"ศิริกัญญา" รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ กสทช. เลื่อนพิจารณาควบรวม "ทรู-ดีแทค" เป็นสัญญาณที่ดี เดินหน้าสร้างแรงกดดันให้มติ กสทช. เป็นไปข้างประชาชน
วันที่ 12 ต.ค. น.ส.
ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีที่ กสทช. เลื่อนการพิจารณา ดีลควบรวม ทรู-ดีแทค ออกไปเป็นวันที่ 20 ตุลาคม ว่า การเลื่อนการลงมติในครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดี เพราะ กสทช.จะสามารถรวบรวมข้อมูลที่สำคัญได้มากขึ้นก่อนการตัดสินใจใดๆ โดยเฉพาะในครั้งนี้ที่เพิ่งมีข้อมูลใหม่ออกมาจากที่ปรึกษาต่างประเทศที่รายงานว่า การควบรวมจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันตลาดโทรคมนาคมอย่างชัดเจน อย่างที่ไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้ มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าบริการแพงขึ้น คุณภาพบริการแย่ลง ทั้งตลาดโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ตลอดจนสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่คือเวลาที่ กสทช. จะไปคิดให้ตกผลึกให้ดีก่อนตัดสินใจในทิศทางใด
น.ส.
ศิริกัญญา ยังให้ความเห็นว่า การที่ กสทช. ประกาศเลื่อนการพิจารณาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กสทช. ยอมรับว่าตนมีอำนาจเต็มในการพิจารณาการควบรวมธุรกิจในครั้งนี้ตามที่คำพิพากษาศาลปกครองเคยบอกไว้ เพราะถ้า กสทช. ไม่มีอำนาจ การเลื่อนการพิจารณาอาจกระทำไม่ได้ เพราะติดล็อก 90 วัน ของประกาศควบรวมธุรกิจ
ในขั้นต่อไป เราจะทำทุกวิถีทางที่จะหาพันธมิตรที่จะร่วมคัดค้านการควบรวมนี้ อย่างที่ทราบว่า บริษัทแม่ของ DTAC คือบริษัท เทเลนอร์ เป็นรัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของรัฐมนตรีด้านการค้า-การลงทุนของประเทศนอร์เวย์ เราได้มีการติดต่อผ่าน ส.ส.ของประเทศนอร์เวย์ และสถานทูตนอร์เวย์ ให้ส่งสารไปถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ทบทวนการตัดสินใจของบริษัทที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และการแข่งขันทางการค้าอย่างชัดเจน เพื่อให้หาวิธีการดำเนินธุรกิจแบบอื่นที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นการขายกิจการให้บริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทโทรคมนาคม
“อยากฝากถึงประชาชนทุกคนว่า แรงกดดันของเรามีผล เรายังไม่หยุดที่จะเดินหน้าทำงานกันต่อไป ภายในวันที่ 20 ตุลาคม เรายังมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันให้มติ กสทช. เป็นไปในข้างที่เป็นผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก” ศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้ายถึงประชาชนให้ร่วมกันหยุดการกินรวบธุรกิจในครั้งนี้
“โรม” ทิ้งบอมบ์เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร แก้ปมอาชญากรรมจากองค์กรมีสีซ้ำซาก
https://www.thairath.co.th/news/politic/2525383
“โรม” ทิ้งบอมบ์เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร แก้ปมอาชญากรรมจากองค์กรมีสีซ้ำซาก
“รังสิมันต์ โรม” จี้ต้องปฏิรูปตำรวจ-ทหาร เซ่นปมโศกนาฏกรรมที่เกิดจากคนมีสี ชี้เกิดจากปัญหาสุดคลาสสิก ใช้เส้นสายฝากคนเข้าทำงาน และระบบตั๋ว
วันที่ 12 ต.ค. 2565 ที่อาคารัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า
เหตุการณ์ที่มีการใช้อาวุธในลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 กรณีจ่าสิบเอกนายหนึ่งคลั่งที่ จ.นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 30 คน ต่อมา 14 ก.ย. 65 เกิดเหตุที่กองทัพบก กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็มีเหตุเกิดอีกครั้งหนึ่ง และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็เกิดเหตุครั้งล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน เป็นเด็กเล็ก 22 คน เหตุการณ์ทั้งหมดผู้กระทำล้วนแต่เป็นทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อย
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนทราบดีว่าเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เราไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สิ่งที่สังคมเราอยากเห็น และจริงจังคือการป้องกันให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่เมื่อย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุกราดยิงที่โคราช ก็แทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงขององค์กรตำรวจทหารเลยแม้แต่น้อย
“ปัญหาสุดคลาสสิกที่อยู่กับสังคมมานานคือ การใช้เส้นสายฝากคนของตัวเองเข้าทำงาน ระบบตั๋วต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด บ่อนการพนัน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย ไปจนถึงการค้ามนุษย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ล้วนต้องอาศัยการสมคบของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น คนทั้งสังคมรู้ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงขององค์กรตำรวจและทหาร” นายรังสิมันต์ กล่าว
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ วัฒนธรรมองค์กรที่ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราเห็นแต่ความเงียบและการปล่อยเกียร์ว่างของรัฐบาล ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร. ทุกครั้งที่ถามหาการแก้ปัญหามักได้คำตอบที่เป็นการโยนความผิดของผู้ก่อเหตุโดยไม่โทษองค์กร ไม่โทษสภาพแวดล้อมเลย
JJNY : 5in1 ปาล์มราคาตก-ปุ๋ยขยับสูง│‘ณพลเดช’ตอก‘เสกสกล’│"ศิริกัญญา"ชี้กสทช.เลื่อน│“โรม”เสนอปฏิรูปตร.-ทหาร│นาโตลุยซ้อมรบ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7313684
สุราษฎร์ธานี ชาวสวนปาล์มรวมตัวยื่นหนังสือ ร้องรัฐช่วยเหลือ หลังราคาปาล์มตก แต่ปุ๋ยขยับสูงไม่มีตก ขอนำมาตรการที่เสนอยกระดับราคาปาล์ม หากไม่เป็นผลเตรียมเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
12 ต.ค. 65 – นายชัยวุฒิ จิตต์นุพงศ์ นายกสมาคมชาวสวนปาล์มน้ำมัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ และจังหวัดใกล้เคียง จำนวนมากร่วมลงชื่อ แสดงเจตนารมณ์ขอรัฐบาลช่วยเหลือชาวสวนปาล์ม บริเวณลานริมถนน สาย 417 ใกล้สามแยกคลองน้อย ต.คลองน้อย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ฯ
ปัจจุบันราคาปาล์มน้ำมันตกลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ปัจจัยการผลิตของเกษตรกรเอง เช่น ปุ๋ยที่เพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงานก็เพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ลดลง แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น แม้ว่าช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฎาคม ที่ผ่านมา จะได้รับราคาที่สูงก็ตาม แต่เป็นช่วงที่ผลผลิตออกมาน้อยไม่เกิน 30% ของผลผลิตทั้งปี ซึ่งวันนี้เป็นการรวมกลุ่มเพื่อแสดงพลังให้ส่วนราชการและรัฐบาลเห็นถึงความเดือดร้อนของเกษตรกร และยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล
โดยมีการหมุนเวียนให้ตัวแทนเกษตรกรจากจังหวัดต่างๆ ได้ขึ้นมาระบายความเดือดร้อนที่พบให้ยุคปัจจุบัน และเสนอแนะแนวทางการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
หลังจากนี้จะได้ส่งตัวแทนไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผ่าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ฯ เพื่อหาแนวทางแก้ไขป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำมากไปกว่านี้ ก่อนถึงช่วงเวลาผลผลิตจะออกมามากที่สุดในปลายปี
ที่สุดแล้วที่ประชุมมีมติเสนอข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ดำเนินการดังนี้
1. ให้มีมาตรการบังคับและบทลงโทษกับโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ที่ปฏิบัติไม่ได้ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องกำหนดชนิดและคุณภาพวัตถุดิบในการผลิตของโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม พ.ศ 2562 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2562 เพราะที่ผ่านมาโรงงานสกัดส่วนใหญ่สกัดไม่ได้ 18% และใช้เป็นข้ออ้างในการกดราคาซื้อทะลายปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรตลอดมา
2. ให้ปรับลดสต๊อกน้ำมันปาล์ม (CPO) เพื่อความมั่นคงเป็น 1.5 – ไม่เกิน 2 แสนตัน และผลักดันการส่งออกส่วนเกินโดยเร็ว
3. ให้กำกับดูแล ไม่ให้บริษัทผู้ค้าปุ๋ยและปัจจัยการผลิตกักตุนและค้ากำไรเกินควร
4. ให้ดำเนินการเจรจาซื้อปุ๋ย โดยรัฐบาลกับประเทศผู้ผลิต ในระบบ (G to G) เพื่อจะได้ปุ๋ยราคาถูกที่สุดให้กับเกษตรกร
5. ให้ยกเลิกประกันรายได้ 4 บาท/กิโลกรัม จำนวน 25 ไร่ เพราะปัจจุบันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับปัจจัยการผลิตเช่น ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงาน ได้เพิ่มขึ้นเกิน 4 บาท/กิโลกรัม แล้ว
สุดท้าย 6. ให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลงนามรับรอง ร่าง พ.ร.บ ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม พ.ศ…… (ฉบับของ สส.สาคร เกี่ยวข้อง และคณะ) โดยเร็ว
ทั้งนี้หากไม่เป็นผล ชาวสวนปาล์มน้ำมัน เตรียมเคลื่อนไหวต่อเนื่องต่อไป
‘ณพลเดช’ ตอก ‘เสกสกล’ หาข้อมูลก่อนโว ‘ประยุทธ์’ แก้ยาเสพติดดีกว่า ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’
https://www.matichon.co.th/politics/news_3615462
นายณพลเดช มณีลังกา คณะทำงานศูนย์ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ได้พาดพิง ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าในยุคพรรคไทยรักไทย ทำสงครามกับยาเสพติด มีการฆ่าตัดตอน ใช้ศาลเตี้ย ราวกับว่าประเทศชาติบ้านเมืองไร้ซึ่งขื่อแป และอีกหลายประเด็นนั้น
1. ในความจริงในช่วงนั้น นายเสกสกล ก็เคยอยู่ในพรรคไทยรักไทยในช่วงที่มีนโยบายปราบปรามยาเสพติด แต่ไม่เคยแสดงความคิดเห็นที่เป็นการต่อต้านนโยบายดังกล่าวแต่อย่างใด เหตุใดจึงออกมาพูดจาใส่ร้ายโจมตีนโยบายที่ตนเองก็รู้เห็นมาโดยตลอดในตอนนี้ หรือเป็นเพราะนายเสกสกล ย้ายสังกัดมาอยู่ภายใต้รัฐบาลนี้ จึงยอมที่จะหลับหูหลับตา พูดจาใส่ร้ายบิดเบือนข้อเท็จจริง ดร.ทักษิณ ซึ่งเป็นอดีตเจ้านายของนายเสกสกล เพียงเพราะหวังประโยชน์ทางการเมืองใช่หรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ขอเตือนนายเสกสกลให้หยุดกล่าวหาและระมัดระวังในการพูดจาใส่ร้ายพรรคอื่น เพราะขณะนี้กำลังเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง การกล่าวหาบุคคลอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นอาจมีความผิดได้ ทั้งนี้ในข้อเท็จจริงได้มีการตรวจสอบภายหลังว่า รัฐบาลไทยรักไทยไม่มีนโยบายฆ่าตัดตอนอย่างที่ถูกกล่าวหา
2. การที่นายเสกสกลระบุว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินการปราบปรามยาเสพติดโดยยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม นั้น ตนสงสัยว่านายเสกสกล มีความสามารถในการแยกแยะความถูกผิดได้หรือไม่ เพราะการที่พลเอกประยุทธ์ เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ฉีกรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความผิดฐานเป็นกบฎ ซ้ำยังมีการเขียนกฎหมายนิรโทษกรรมผู้ทำรัฐประหาร มีการใช้คำสั่งมาตรา 44 ละเมิดหลักนิติรัฐ นิติธรรมหลายครั้งใช่หรือไม่ สร้างความเสียหายทั้งที่นับเป็นมูลค่าได้และนับไม่ได้มากมายมหาศาล นี่หรือผู้นำที่มีหลักนิติรัฐ นิติธรรม นายเสกสกลควรหยุดพูดอ้างความชอบธรรมในประเด็นนี้ได้แล้ว
3. การที่นายเสกสกลระบุว่า พลเอกประยุทธ์ สามารถจัดการปัญหายาเสพติดได้ดีกว่ารัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น อยากถามนายเสกสกลว่า ไปเอาข้อมูลมาจากไหน หากไปดูสถิติการปราบปรามยาเสพติดที่รายงานโดย ปปส.มีข้อมูลการดำเนินการปราบปรามอย่างชัดเจน อยู่ ขณะที่มาตรการและการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลไทยรักไทย และเพื่อไทย แตกต่างจากการดำเนินการของพลเอกประยุทธ์ โดยสิ้นเชิง เพราะพลเอกประยุทธ์ เพิ่งแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ ปัญหายาเสพติดได้ไม่นาน การดำเนินการไม่จริงจัง จึงยากที่จะประสบความสำเร็จ เหมือนที่เคยตั้งเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติมาแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
“ช่วงนี้เป็นช่วงหาเสียง นายเสกสกล ควรระมัดระวังการให้ข่าวหน่อย การพาดพิง สร้างความเสียหายให้กับพรรคอื่น มีความผิดใส่ร้ายโจมตี จริงๆ ไม่อยากตอบโต้ แต่ไม่อยากให้นายเสกสกลพูดไปเรื่อย ทำให้สังคมเข้าใจผิด หากแม้ไม่มีความรู้ ก็ควรไปหาอ่าน ไปศึกษาหาข้อมูล หรือรายงานที่เป็นทางการก่อนออกมาให้ข้อมูลด้วย ป้องกันสังคมสับสน” นายณพลเดช กล่าว
"ศิริกัญญา" ชี้ กสทช.เลื่อนพิจารณาควบรวม "ทรู-ดีแทค" เชื่อ สัญญาณดี
https://www.thairath.co.th/news/politic/2525410
"ศิริกัญญา" รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ชี้ กสทช. เลื่อนพิจารณาควบรวม "ทรู-ดีแทค" เป็นสัญญาณที่ดี เดินหน้าสร้างแรงกดดันให้มติ กสทช. เป็นไปข้างประชาชน
วันที่ 12 ต.ค. น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ความเห็นต่อกรณีที่ กสทช. เลื่อนการพิจารณา ดีลควบรวม ทรู-ดีแทค ออกไปเป็นวันที่ 20 ตุลาคม ว่า การเลื่อนการลงมติในครั้งนี้เป็นสัญญาณที่ดี เพราะ กสทช.จะสามารถรวบรวมข้อมูลที่สำคัญได้มากขึ้นก่อนการตัดสินใจใดๆ โดยเฉพาะในครั้งนี้ที่เพิ่งมีข้อมูลใหม่ออกมาจากที่ปรึกษาต่างประเทศที่รายงานว่า การควบรวมจะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันตลาดโทรคมนาคมอย่างชัดเจน อย่างที่ไม่สามารถเยียวยาแก้ไขได้ มีโอกาสสูงที่จะทำให้ค่าบริการแพงขึ้น คุณภาพบริการแย่ลง ทั้งตลาดโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต ตลอดจนสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น นี่คือเวลาที่ กสทช. จะไปคิดให้ตกผลึกให้ดีก่อนตัดสินใจในทิศทางใด
น.ส.ศิริกัญญา ยังให้ความเห็นว่า การที่ กสทช. ประกาศเลื่อนการพิจารณาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กสทช. ยอมรับว่าตนมีอำนาจเต็มในการพิจารณาการควบรวมธุรกิจในครั้งนี้ตามที่คำพิพากษาศาลปกครองเคยบอกไว้ เพราะถ้า กสทช. ไม่มีอำนาจ การเลื่อนการพิจารณาอาจกระทำไม่ได้ เพราะติดล็อก 90 วัน ของประกาศควบรวมธุรกิจ
ในขั้นต่อไป เราจะทำทุกวิถีทางที่จะหาพันธมิตรที่จะร่วมคัดค้านการควบรวมนี้ อย่างที่ทราบว่า บริษัทแม่ของ DTAC คือบริษัท เทเลนอร์ เป็นรัฐวิสาหกิจในกำกับดูแลของรัฐมนตรีด้านการค้า-การลงทุนของประเทศนอร์เวย์ เราได้มีการติดต่อผ่าน ส.ส.ของประเทศนอร์เวย์ และสถานทูตนอร์เวย์ ให้ส่งสารไปถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ทบทวนการตัดสินใจของบริษัทที่ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล และการแข่งขันทางการค้าอย่างชัดเจน เพื่อให้หาวิธีการดำเนินธุรกิจแบบอื่นที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นการขายกิจการให้บริษัทอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทโทรคมนาคม
“อยากฝากถึงประชาชนทุกคนว่า แรงกดดันของเรามีผล เรายังไม่หยุดที่จะเดินหน้าทำงานกันต่อไป ภายในวันที่ 20 ตุลาคม เรายังมีโอกาสที่จะสร้างแรงกดดันให้มติ กสทช. เป็นไปในข้างที่เป็นผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก” ศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้ายถึงประชาชนให้ร่วมกันหยุดการกินรวบธุรกิจในครั้งนี้
“โรม” ทิ้งบอมบ์เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร แก้ปมอาชญากรรมจากองค์กรมีสีซ้ำซาก
https://www.thairath.co.th/news/politic/2525383
“โรม” ทิ้งบอมบ์เสนอปฏิรูปตำรวจ-ทหาร แก้ปมอาชญากรรมจากองค์กรมีสีซ้ำซาก
“รังสิมันต์ โรม” จี้ต้องปฏิรูปตำรวจ-ทหาร เซ่นปมโศกนาฏกรรมที่เกิดจากคนมีสี ชี้เกิดจากปัญหาสุดคลาสสิก ใช้เส้นสายฝากคนเข้าทำงาน และระบบตั๋ว
วันที่ 12 ต.ค. 2565 ที่อาคารัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า
เหตุการณ์ที่มีการใช้อาวุธในลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 กรณีจ่าสิบเอกนายหนึ่งคลั่งที่ จ.นครราชสีมา มีผู้เสียชีวิต 30 คน ต่อมา 14 ก.ย. 65 เกิดเหตุที่กองทัพบก กรุงเทพฯ มีผู้เสียชีวิต 2 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็มีเหตุเกิดอีกครั้งหนึ่ง และล่าสุด 6 ต.ค. 65 ก็เกิดเหตุครั้งล่าสุดทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน เป็นเด็กเล็ก 22 คน เหตุการณ์ทั้งหมดผู้กระทำล้วนแต่เป็นทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อย
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนทราบดีว่าเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เราไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สิ่งที่สังคมเราอยากเห็น และจริงจังคือการป้องกันให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ และลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อไป แต่เมื่อย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุกราดยิงที่โคราช ก็แทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงขององค์กรตำรวจทหารเลยแม้แต่น้อย
“ปัญหาสุดคลาสสิกที่อยู่กับสังคมมานานคือ การใช้เส้นสายฝากคนของตัวเองเข้าทำงาน ระบบตั๋วต่างๆ รวมถึงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด บ่อนการพนัน สถานบันเทิงผิดกฎหมาย ไปจนถึงการค้ามนุษย์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ล้วนต้องอาศัยการสมคบของเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น คนทั้งสังคมรู้ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงขององค์กรตำรวจและทหาร” นายรังสิมันต์ กล่าว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำๆ วัฒนธรรมองค์กรที่ใครๆ ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เราเห็นแต่ความเงียบและการปล่อยเกียร์ว่างของรัฐบาล ผบ.ทบ. และ ผบ.ตร. ทุกครั้งที่ถามหาการแก้ปัญหามักได้คำตอบที่เป็นการโยนความผิดของผู้ก่อเหตุโดยไม่โทษองค์กร ไม่โทษสภาพแวดล้อมเลย