JJNY : 5in1 พท.ซัดเสรีภาพถดถอย│"ตรีชฎา"ฟาด"ธนกร"│อสังหาฯ7แสนล.ยุคลุงอ่วม│เสนา อยุธยา สุดอ่วม จม3เดือน│ปูติน‘พร้อมบวก’

เพื่อไทย ซัด เสรีภาพไทยถดถอย ลดชั้น2ปีซ้อน แย่กว่าเยเมน อัฟกาฯ​
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7317387
 
 
“ชญาภา” ซัด “ประยุทธ์” ทำสิทธิเสรีภาพแสดงออกการเมืองไทยตกต่ำนับทศวรรษ จนต่างชาติจัดอันดับไร้เสรีภาพติดต่อกัน 2 ปีซ้อน
 
เมื่อวันที่ 15 ต.ค. น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิเสรีภาพพลเมืองหรือฟรีดอมเฮาส์ (Freedom House) เผยแพร่รายงานเสรีภาพโลกประจำปี 2022 (Freedom of the World 2022) ที่ประเมินสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนในแต่ละประเทศทั่วโลก พบว่าประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในประเทศไร้เสรีภาพเป็นอันดับที่ 7 ของโลก ซึ่งถูกลดขั้นตกชั้นติดต่อกัน 2 ปีซ้อน
โดยถูกรวมอยู่ในกลุ่มประเทศที่ประสบกับวิกฤตการถดถอยของเสรีภาพหนักที่สุดแย่กว่าเยเมน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 21 และอัฟกานิสถานอันดับที่ 22 ทั้งยังเป็น 1 ใน 10 ประเทศที่ต้องจับตาเป็นพิเศษจากการดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ชุมนุมที่เรียกร้องประชาธิปไตย
 
ขณะที่อันดับการประเมินด้านสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมืองไทยได้ 29 คะแนนจากเต็ม 100 คะแนนว่า ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยภายใต้การนำของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กว่าเกือบทศวรรษ สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองของประชาชนคนไทยตกต่ำอย่างหนัก ไทยต้องประสบกับสภาวะถดถอยทางเสรีภาพขั้นวิกฤต
 
โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ที่นับวันพัฒนาการทางประชาธิปไตยยิ่งเสื่อมถอยลงทุกวัน ถูกลดชั้นจากองค์กรระหว่างประเทศทุกปี ไม่มีความสง่างามในเวทีโลก เพราะความพยายามปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออก รวมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลถูกจำกัด การชุมนุมของนักเรียน นิสิตนักศึกษาและประชาชนหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลดำเนินคดีและจับกุมคุมขังคนเห็นต่างในที่สุด
 
น.ส.ชญาภา กล่าวต่อว่า สิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ แต่ประชาชนกลับถูกปิดกั้นเสรีภาพในการพูดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนักกิจกรรมหลายคน ตลอดจนประเด็นที่เกิดขึ้นล่าสุดกรณีจากการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน 13 ของนายอุดม แต้พานิชหรือโน้ส ที่มีการแสดงความคิดเห็นในเชิงวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ก็ถูกคนในรัฐบาลมองว่า เป็นการกระทำที่เกินขอบเขตและใช้กฎหมายดำเนินการ
 
ทั้งที่นายกฯ และองคาพยพคือบุคคลสาธารณะ รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน ประชาชนย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตรวจสอบวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลไม่ควรใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือดำเนินคดีกับคนเห็นต่าง เพราะยิ่งจะเป็นการขยายให้เกิดความขัดแย้งในสังคมให้มากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลควรเร่งทบทวนบทบาทของตัวเองว่าได้ทำประเทศล้าหลัง ประชาธิปไตยถดถอยจริงหรือไม่ จนองค์กรต่างประเทศได้เรียกร้องรัฐบาลไทยให้ยกเลิกข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมอันเป็นการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของคนในประเทศ
 
‘รัฐบาลอย่าลืมว่าที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการลุกฮือต่อต้าน จากประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ควรมีความละอายที่ยิ่งดันทุรังอยู่ในอำนาจนาน ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศยิ่งเสียหาย’ น.ส.ชญาภา กล่าว


  
"ตรีชฎา" ฟาด "ธนกร" เป็น ส.ส.ต้องรู้หน้าที่ เดี่ยว 13 วิจารณ์ "ประยุทธ์" ได้
https://www.thairath.co.th/news/politic/2527638

"ตรีชฎา" รองโฆษกเพื่อไทย ฟาดแรง "ธนกร" ปม "หมอชลน่าน" ให้ความเห็น "เดี่ยว 13" ชี้ เป็น ส.ส.ต้องรู้หน้าที่ตัวเอง ชี้ "ประยุทธ์" อย่าอ่อนไหวเกินไป เป็นผู้นำต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
 
วันที่ 15 ต.ค. นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายธนกร วังบุญชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวหา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กรณีให้ความเห็นเกี่ยวกับ การทอล์กโชว์ เดี่ยว 13 ของ โน้ต-อุดม แต้พานิช ว่า นายธนกร กำลังเล่นผิดบทบาทหน้าที่ของตัวเองหรือไม่ หลงลืมไปโดยคิดว่าตัวเองเป็นโฆษกประจำตัว หรือเข้าใจผิดว่า กินเงินเดือนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ นายธนกร เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ หน้าที่หลัก คือ การบรรเทาทุกข์ บำรุงสุข ให้พี่น้องประชาชน หาใช่การปกป้องใครคนใดคนหนึ่ง การพูดแบบเดิมๆ เพียงเพื่อเอาใจใคร ควรยุติได้แล้ว หันไปทำหน้าที่ของ ส.ส.ให้คุ้มค่าภาษีประชาชนให้มากกว่าการจ้องจับตาคำพูดของ โน้ต อุดม ซึ่งเป็นเพียงการพูดเชิงบันเทิง เสียดสีการเมืองซึ่งเสียดสีในทุกยุค ทุกสมัย ทุกรูปแบบ หากนายธนกรฝึกฝนเปิดใจที่จะเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองบ้างก็คงจะดี ควรเป็นประโยชน์มากกว่านี้
 
ทั้งนี้ การจัดทอล์กโชว์แบบ Standup comedy เป็นการพูดแบบสัพเพเหระผสมการวิจารณ์ทางการเมืองแบบลีลาโวหารสร้างความบันเทิง สังเกตจากนายกรัฐมนตรีในยุคที่ผ่านมา แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีทางการเมือง แต่ไม่มีใครออกมาใช้กฎหมายฟ้องร้องประชาชน การเป็นบุคคลสาธารณะย่อมมีโอกาสที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยเฉพาะคนเป็นผู้นำที่ต้องเปิดใจกว้างรับฟัง หากเป็นคำวิจารณ์แล้วหันมามองดูตัวเองด้วย ว่ามีข้อบกพร่องอย่างที่ถูกวิจารณ์หรือไม่ ก็ควรจะนำเอาคำติติงไปปรับปรุงตัวเสียด้วยซ้ำ หากเนื้อหาตรงไหนไม่เป็นความจริง ประชาชนก็ใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองเองได้
 
นางสาวตรีชฎา กล่าวว่า ประเด็นที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มีตำแหน่งเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำงานในบทบาทหลักเป็นไปด้วยความรับผิดชอบ สุภาพเรียบร้อย เป็นนักการเมืองคุณภาพ ได้รับตำแหน่งดาวสภาหลายสมัย และไม่เคยฟ้องร้องประชาชนผู้ที่ออกมาวิจารณ์ การออกมาให้ร้ายของนายธนกรพยายามจะโยงไปถึงบุคคลอื่น ผลออกมา คือ ยิ่งพูดยิ่งทำให้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย นำพรรคพลังประชารัฐ แบบไม่เห็นฝุ่น เทียบกันไม่ติด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลโพลความนิยมในตัว นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ดีวันดีคืนนำลิ่วแซงหน้าพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งหมดคือ ความจริงที่แสนเจ็บปวดของนายธนกรที่ต้องทำใจยอมรับให้ได้
 
“การด้อยค่าคนอื่นยิ่งทำตัวเองไร้คุณค่าในทัศนะของคนทั่วไป หมดค่า ไร้ราคา หากนายธนกร อยากจะเชียร์ พลเอกประยุทธ์ แบบสุดลิ่มทิ่มประตูก็ลาออกจาก ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ แล้วมาเป็นเลขาฯ ส่วนตัวให้พลเอกประยุทธ์จะดีกว่า” นางสาวตรีชฎา กล่าว...



อสังหาฯ ยุคลุง 7 แสนล้านอ่วม
https://www.innnews.co.th/news/news_429785/
 
ผ่านมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 หรือจากร้อยละ 0.75 มาที่ร้อยละ 1
เพื่อแตะเบรกเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลง ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ทำให้สถาบันการเงินหลายๆแห่งต่างขยับ “ดอกเบี้ยเงินกู้” ซึ่งเป็นห่วงจังหวะเดียวกับของแพง ค่าครองชีพสูง
 
ทั้งนี้ “กลุ่มอสังหาริมทรัพย์” ที่ปัจจุบันมีมูลค่าร่วมกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี ถือเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาระต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น เนื่องจากบางบริษัทมีการกู้เงินหรือการออกหุ้นกู้ และยังได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่อาจชะลอตัวเนื่องจากดอกเบี้ยแพงขึ้นสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.คุยกับ นายอธิป พีชานนท์ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
 
ในฐานะนายกสมาคมกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรถึงเรื่องนี้ โดยเขามองว่า หลังจาก กนง. ขึ้นดอกเบี้ย เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงอสังหาฯ เพราะดอกเบี้ยที่แพงขึ้นกระทบต่อประชาชนในฐานะผู้ซื้อ รวมถึงต้นทุนค่าก่อสร้างต่างๆ ที่มีการปรับราคา แต่เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจ
 
“ก็คิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจ จริงๆแล้วก็ต้องเตรียมตัวปรับตัวแต่ก็เข้าใจดีว่ามันจะมีผลกระทบกับผู้ซื้อบ้าน ผู้ประกอบการเนี้ยผมคิดว่าผลกระทบมันกระทบอยู่แล้วมันก็จะปนกันอยู่ในต้นทุนทางการเงินก็จะไปรวมกับต้นทุนโดยรวมของบ้านหรือของคอนโดเพราะว่าต้นทุนค่าก่อสร้างกับต้นทุนในการบริหารงานโดยรวมก็ต้องขึ้น”
 
ดังนั้นการปรับตัวของผู้ประกอบการเป็นยุทธวิธีสำคัญที่ “นายอธิป” เชื่อว่า จะช่วยบริหารเรื่องต้นทุนในการทำธุรกิจได้
 
“ก็ต้องปรับตัวกันไป โดยอาจจะต้องลดมาร์จิ้นของตัวเองลงบ้างแล้วก็ต้องมีการปรับ Product ให้ Simple ขึ้น มีความง่ายในการออกแบบต้นทุนค่าวัสดุก็ต้องมีการไปดูว่าจะมีอะไรประหยัดโดยไม่กระทบคุณภาพบ้างสามารถทำได้ไหมหรือการลดขนาดยูนิคหรือตัวบ้านหรือขนาดบ้านลงบางส่วน แต่ว่าประโยชน์การใช้สอยยังคงเหมือนเดิมเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน เพื่อจะช่วยผู้ซื้อ ให้ซื้อได้ในราคาใกล้เคียงเดิมที่สุดอันนี้ก็เป็นฝั่งผู้ประกอบการ”
 
และเมื่อถามถึงฝั่งผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ “นายอธิป” กล่าวว่า คงหนี้ไม่ออกกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ แต่การให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยเป็นสิ่งที่สำคัญ
 
“ส่วนผู้ซื้อ ผมเชื่อว่าก็หนีไม่ออกการที่ดอกเบี้ยขึ้น ก็คือว่าเค้าก็ต้องกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยใหม่ คนที่ยังผ่อนอยู่ ถ้าเป็นอัตราที่คนที่กู้ไปก่อนหน้านี้ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน เพราะว่าอัตราจะ Fixed อยู่ในแค่ช่วงปีสองปีแรกแล้วหลังจากนั้นก็ต้องปล่อยลอยตัว พอลอยตัวก็จะมาเจอดอกเบี้ยใหม่อยู่แล้วยังไงก็ทั้งเก่าทั้งใหม่หนีไม่ออกทั้งเก่าทั้งใหม่ไม่ออก”
 
และนี่ก็เป็นมุมมองอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เชื่อมโยงกับประชาชนและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจากนี้ต่อไปจะต้องติดตามภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะทั้งหมด ทั้งมวลนี้มีผลต่อกำลังซื้อของประชาชนนั่นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่