ผมระลึกชาติได้ (2)

กระทู้สนทนา
ผมระลึกชาติได้
ดรัสวันต์

(ต่อจากตอนที่แล้ว https://ppantip.com/topic/41671213)

        เส้นทางจากเมืองทิมพู ไปยังปูนาคา เป็นภูเขาล้วนๆ ชนิดที่คนที่สุขภาพไม่แข็งแรงหรือเวียนหัวง่ายเวลารถแล่นอยู่บนเขาที่วกเวียนจะมีปัญหา
เมารถได้ 

       แดดยามสายจัดจ้า ไล่สายหมอกให้พ้นไปจากขุนเขา ทุกมุมหักศอก จะมีน้ำตกตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ฉะนั้นหากถนนมีที่ว่างพอจอดรถได้  ผมมักจะขอแวะลงไปถ่ายรูปเป็นระยะๆ  

      จนกระทั่งเรามาถึงจุดที่เป็นด่านกักรถ เพราะความที่เรามาสาย เราจึงถูกกักไว้เพราะถนนปิดการจราจร รถติดเป็นขบวนยาวเหยียด เก้นท์เล่าให้ฟังว่าทางการกำลังขยายถนน เพราะนี่คือถนนสายหลักที่จะไปยังเมืองปูนาคา

       ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาเป็นถนนเพียงสองเลนที่สวนกัน  บางช่วงแคบมาก แล้วยิ่งมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ผ่านมาด้วยแล้ว ต้องจอดรอหลีกกันอีก จึงไม่แปลกใจเลยว่าการเดินทางไปปูนาคาต้องใช้เวลาถึง 3 ช.ม. แล้วยิ่งมาเจอด่านเช่นนี้ จะต้องช้าออกไปอีก

      ผมใช้เวลาที่รอคอยนั้นให้เกิดประโยชน์ด้วยการถ่ายรูป ถ่ายทั้งวิวและความเป็นไปรอบตัว ถนนที่คดเคี้ยวและลาดชันไปตามแนวภูเขา ทำให้มองเห็นภาพรถที่เข้าคิวกันยาวเหยียดเรียงรายกันเหมือนงูเลื้อยไปตามแนวถนนที่เลียบภูเขา

      เก้นท์สะกิดผมแล้วพาเดินไปยังจุดชมวิวอีกแห่ง พร้อมทั้งชี้ไปยังเบื้องหน้าที่ไกลโพ้น

      “คุณเห็นแนวภูเขาลางๆ ที่ขอบฟ้านั่นไหม”

      ผมพยายามเพ่งมองด้วยตาเปล่า ยังไม่ชัด จึงใช้วิธีมองผ่านกล้อง ผมยกกล้องขึ้นเล็งแล้วใช้วิธีซูมภาพนั้นเข้ามา

     “เห็นแล้ว”

     “นั่นคือ หิมาลัย” 

      ผมลดกล้องลงจากระดับสายตา หันไปมองหน้าเก้นท์อย่างตื่นเต้น

     “หลังจากนี้พอเข้าหน้าร้อนแล้วจะมองไม่ค่อยเห็น ถ้าเป็นหน้าหนาวจะเห็นหิมะบนยอดหิมาลัยชัดเจนเลย” 

      ผมรับฟังพร้อมกับเปิดกระเป๋ากล้องหยิบเลนส์ซูมตัวที่ใหญ่กว่ามาประกอบกับกล้อง ซึ่งมันช่วยให้ผมได้ภาพที่งดงามน่าประทับใจ เทือกเขาหิมาลัย ผมยังไม่เคยไป และเป็นจุดหมายหนึ่งในสองแห่งที่ผมวางแผนจะไปในอนาคต ส่วนอีกแห่งคือ เทือกเขาแอนดิส ในชิลี

      สรุปแล้วเราใช้เวลาเดินทางข้ามเขาเพื่อไปยังเมืองปูนาคาเกินกว่า 3 ชั่วโมงที่กำหนด เพราะนอกจากจะติดด่าน และแวะทานอาหารกลางวันแล้ว
ผมยังหยุดถ่ายรูปเป็นระยะๆ ตลอดทาง ซึ่งเรื่องนี้ผมต้องทำความเข้าใจกับเก้นท์ว่า ผมมีอาชีพเป็นช่างภาพแบบนี้ จะมาเข้มงวดเรื่องเวลากับผมไม่ได้
ถ้าสรุปสุดท้ายแล้วโปรแกรมจะล่าช้าเนิ่นนานออกไปจนทำให้จำนวนวันที่ผมต้องอยู่ที่นี่มันนานเกินกว่าที่ตกลงกันไว้  ผมก็ยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม

      ผมเข้าใจดีว่าไกด์ส่วนใหญ่จะเคยชินกับการพาแขกเป็นคณะไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ โดยมีตารางเวลาแน่นอน พอมาเจอแบบผม มันทำให้เขาต้องปรับหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องเวลาเข้าโรงแรมที่พัก ส่วนเรื่องอาหาร ผมทานง่าย แวะร้านไหนก็ได้โดยไม่ต้องจองล่วงหน้า

      เราลงจากเขาแล้วแวะไปเที่ยวที่วัด Chimi Lhakhang (ชิมิ ระคัง) ซึ่งต้องเดินตัดทุ่งนาที่เป็นขั้นบันไดไปสู่วัดแห่งนี้ ต้นข้าวกำลังงอกงามเขียวขจี
โดยมีฉากหลังเป็นแม่น้ำสายใหญ่โอบล้อมด้วยขุนเขา ท่ามกลางแดดอ่อนยามบ่าย ผมขอใช้เวลาเก็บภาพช่วงนี้นานหน่อย เพราะอย่างไรเสีย วันนี้เรา
คงไปถึงปูนาคาช้ากว่ากำหนด และคงไปเที่ยว Punakha Dzong ไม่ทันอยู่แล้ว เก้นท์ปรับกำหนดการให้เราไปเที่ยว ปูนาคา ซอง ในเช้าวันรุ่งขึ้น
จะได้มีเวลาอยู่ที่นั่นนานหน่อย

     เราไปถึงเมืองปูนาคา เกือบห้าโมงเย็น จึงตัดสินใจเข้าโรงแรมที่พัก คราวนี้ผมตั้งนาฬิกาปลุก และสัญญาว่าจะไม่ตื่นสายอีก

       โรงแรมที่พักแห่งนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปูนาซัง จากหน้าต่างโรงแรมที่พักสามารถมองเห็นแม่น้ำอันเชี่ยวกราก ซึ่งมีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง มีบ้านเรือน
ชาวบ้านที่มีเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมภูฏานตั้งอยู่ประปรายตามชะง่อนเขาสูง ลมเย็นแผ่วพริ้วเข้ามาทางหน้าต่าง ไม่หนาวเหมือนสองเมืองที่ผ่านมา 

       จริงอย่างที่เก้นท์บอกว่าที่นี่อากาศร้อนกว่าพาโรและทิมพู เนื่องจากอยู่ในระดับความสูงที่ต่ำกว่า ดังนั้นในฤดูหนาว อากาศที่เมืองทิมพูหนาวจัดและมีหิมะตกท่วมเป็นอุปสรรคอย่างยิ่ง ทางการภูฏานจึงต้องย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่ปูนาคาแทน 

       ย้ายเมืองหลวง ! นี่คงเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับคนไทย ที่เรามีความพยายามจะย้ายเมืองหลวงอันแออัดนี้ออกไปจากกรุงเทพฯ มาทุกยุคทุกสมัย ก็ยังไม่เคยสำเร็จ แต่ที่นี่เขาย้ายกันปีละครั้ง ซึ่งเขาก็สามารถบริหารประเทศกันไปได้ไม่มีสะดุด
 

ณ อาณาจักรมังกรสายฟ้า ที่ซึ่งสนไซปรัสเติบโต
แหล่งพำนักแห่งธรรมเนียมอาณาจักรและศาสนาจักรอันรุ่งโรจน์.....
       เสียงเพลงอันคุ้นเคย ดังแว่วมาอีกครั้ง มันทำให้ผมต้องมาหยุดยืนที่ริมแม่น้ำแห่งนี้ เพียงแต่ครั้งนี้ ไม่ใช่ความฝัน !

       คืนเดือนแรมที่ท้องฟ้าพร่างดาว ผมก้าวมายืนที่ริมแม่น้ำ มองออกไปข้างหน้า เทือกเขาสูงทะมึนสีเทาหม่นที่มีแสงไฟจากบ้านเรือนวับแวม
แต่งแต้มอยู่ 

       ที่นี่เอง ! ผมเจอแล้ว....  

      พลันภาพข้างหน้าค่อยๆ พร่าไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปิติกลบสองตา 

       ที่แห่งนี้เองที่ผมเห็นในฝันมาตลอดสิบปี  โชคชะตานำผมมาพบแม่น้ำสายนี้ในที่สุด ผมทรุดตัวนั่งลงที่สันเขื่อน ผมจะนั่งอยู่เช่นนี้ ให้ความปิติสุข
กุมหัวใจผมไว้นานเท่านาน 

......กษัตริย์แห่งมังกรสายฟ้า พระราชาผู้สูงศักดิ์
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ขอรัชกาลของพระองค์จงรุ่งเรือง
ขอให้คำสอนแห่งความรู้แจ้ง จงงอกงามและเบิกบาน
ขอผองประชาจงสุกสกาวดั่งดวงตะวันแห่งความสุขและสันติเถิด
        เสียงเพลงยังคงแว่วมา ผมฮัมทำนองคลอตามไปอย่างคุ้นเคย แล้วเริ่มสังเกตว่า เนื้อเพลงไม่ใช่ภาษาไทย และไม่ใช่ภาษาอังกฤษอีกต่างหาก แต่ผมกลับเข้าใจทุกถ้อยคำ !

   
        เช้าแล้ว ผมตื่นตั้งแต่ตี 5 ถึงแม้เมื่อคืนผมจะเข้านอนดึกมากก็ตาม  ผมตื่นขึ้นมายืนที่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังภาพเบื้องหน้า... แม่น้ำปูนาซัง

       ยังไม่หายอิ่มเอมกับการค้นพบครั้งสำคัญ ผมยืนมองรังสีแสงแรกที่เริ่มทาบท้องฟ้า ภูเขาสูงสีเทาหม่นในความมืดเริ่มมองเห็นเป็นสีเขียวเข้มของพรรณพืชที่ปกคลุมอยู่ บ้านเรือนสีขาวค่อยชัดเจนขึ้น ความปิติตื้นตันยังอุ่นๆ อยู่ในหัวใจของผมตรงนี้  และนี่จะเป็นสิ่งแรกที่ผมจะบอกกับเก้นท์เมื่อผมพบหน้าเขา

       “ผมดีใจด้วยที่คุณค้นพบสิ่งที่คุณตามหามานาน” เก้นท์กล่าวและยิ้มให้หลังจากฟังผมเล่าจบ ดูท่าทางเขาเข้าใจความรู้สึกของผมเป็นอย่างดี
“ผมในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศพลอยรู้สึกภูมิใจที่คุณประทับใจ” เขาหยุดเว้นระยะมองผม รอยยิ้มเริ่มจางไปสายตาเปลี่ยนเป็นกังวลก่อนจะบอกผมว่า
 
      “สันติ ผมขอเถอะ ผมก็ไม่อยากให้คุณเดินออกไปกลางดึกแบบนั้นอีก เมื่อคืนยามของโรงแรมบอกว่าคุณละเมอเดินออกไปที่ริมแม่น้ำ ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง ยามกลัวว่าคุณจะไปกระโดดน้ำ”

      ผมตกตะลึงกับสิ่งที่เก้นท์บอก “ผมละเมอเดินออกไปหรือ ?! เปล่านะ ผมรู้สึกตัวตลอด ไม่ได้ละเมอ”

      “ยามบอกว่าคุณเดินหลับตา”

     “เฮ้ย เป็นไปไม่ได้” ผมอุทานแล้วคิดกังวลต่อไปว่าสิ่งที่ผมคิดว่าใช่เมื่อคืน จะเป็นฝันอีกครั้งหรือไม่

     “เอาล่ะ เราอย่ามาเถียงกันเลย ผมขอร้องนะสันติ ผมไม่อยากให้คุณได้รับอันตราย คืนแรกคุณก็หลับลึกจนผมต้องเข้าไปปลุกถึงเตียง คืนที่สองคุณก็ละเมอเดินออกมาข้างนอก ถามจริงๆ เถอะ คุณมีปัญหาเรื่องการนอนยังงั้นหรือ”

     “ไม่มี ไม่เคยเลย” ผมย้ำ ไม่สบายใจที่สร้างปัญหาให้คนอื่น “ผมเองก็แปลกใจที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ผมถอนหายใจแล้วกล่าวขอโทษเก้นท์ เขาเป็นคนพาผมมา หากผมเป็นอะไรไป เขาจะเดือดร้อนไปด้วย

      ตอนสายวันนั้น เก้นท์พาผมไปยังปูนาคา ซอง ซึ่งตั้งอยู่ ณ จุดที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน แม่น้ำโม กับแม่น้ำโป รวมกันเป็นแม่น้ำปูนาซัง สายเดียวกับที่ไหลผ่านหน้าโรงแรมที่ผมพักเมื่อคืน ณ จุดบรรจบของแม่น้ำสองสายนั้น สีของน้ำมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด สายหนึ่งออกเป็นสีคล้ำอมเขียว ในขณะที่อีกสายเป็นสีปูนขุ่นขาว

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่