Part I:
http://ppantip.com/topic/32193030
เช้าวันที่สองที่ภูฏาน เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศประมาณ 2 องศา ก็ไม่ได้อะไรมากแค่เปิดหน้าต่างออกไปสูดอากาศข้างนอกพอเป็นพิธี ก่อนจะกลับมาซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เหมือนเดิม โรงแรมที่ภูฏานส่วนใหญ่จะมีฮีตเตอร์ในห้องพัก และถ้าเปิดตู้เราจะเจอผ้าห่มหนาๆ อีก 2 ผืน เพราะฉะนั้นไม่กลัวว่าจะหนาวจนนอนไม่หลับ
อากาศตอนเช้าที่ภูฏานสดชื่นมากๆ ถึงตอนนี้เรายังอยากกลับไปสูดอากาศที่นั่นให้เต็มปอดอีกครั้ง
วันนี้เราจะเดินทางจากทิมพูไปยังเมืองปูนาคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของภูฏาน ปูนาคาเป็นเมืองที่อากาศอุ่นกว่าพาโรและทิมพู เพราะพื้นที่อยู่ต่ำกว่า (เกือบ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ในฤดูหนาวที่พาโรกับทิมพูจะมีหิมะตก แต่ที่ปูนาคาไม่มี ส่วนสาเหตุที่ย้ายเมืองหลวงก็เพราะว่ามีการสร้างสนามบินที่พาโร ถ้าย้ายศูนย์กลางมาที่ทิมพู ซึ่งอยู่ใกล้กับพาโรมากกว่าจะทำให้สามารถพัฒนาด้านต่างๆ ได้ง่ายกว่า
ระยะทางจากทิมพูไปปูนาคาประมาณ 70 กิโลเมตร แต่เราต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง เพราะต้องลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ ที่คดโค้งไปตามไหล่เขา ที่สำคัญยังขรุขระเล็กน้อยถึงปานกลาง ภูฏานมีถนนสายหลักเพียงเส้นเดียวทั้งประเทศ แต่ปัจจุบันรัฐบาลภูฏานกำลังเร่งสร้างและปรับปรุงสภาพถนนให้ดีขึ้น
ก่อนที่เราจะออกกรุงทิมพู เราจะต้องผ่านด่านตรวจคล้ายๆ กับตอนข้ามแดนไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ที่นี่เป็นการข้ามแดนระหว่างเมือง ซึ่งไกด์ชาวภูฏานจะต้องไปแสดงหลักฐานกับเจ้าหน้าที่ ตอนที่ได้รับวีซ่า (กระดาษ A4 ดีๆ นี่เอง) เราจะเห็นว่าในเอกสารจะระบุไว้เลยว่าแต่ละวันเราจะไปเมืองอะไร และพักที่ไหนบ้าง
หลังจากออกเดินทางมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงจุดชมวิวโดชูล่า (DOCHULA) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางระหว่างทิมพูกับปูนาคา ก่อนที่จะลงจากรถไกด์ชาวภูฏานได้เตือนพวกเราว่าข้างนอกอากาศหนาวให้เอาเสื้อกันหนาวลงไปด้วย แต่ว่าเราเป็นพวกฝืนธรรมชาติ จนสุดท้ายก็ต้องรีบวิ่งขึ้นรถหลังจากถ่ายรูปได้ไม่กี่รูป โชคดีที่พออกจากจุดชมวิวโดชูล่าเป็นจุดแวะพักอีกแห่ง ที่นี่เราได้เข้าไปจิบชาๆ อุ่นก็เลยรู้สึกดีขึ้นมาก
เราไปถึงปูนาคาประมาณเที่ยงเศษๆ ระหว่างทางก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง เอาหัวไปกระแทกกระจกบ้าง ก็สภาพถนนมันไม่ไหวจริงๆ ถ้าใครเคยนั่งรถจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบางอาจจะพอนึกภาพออก แต่ที่นี่ขรุขระมากกว่า
แต่พอถึงปูนาคาแล้วก็แทบจะหายเหนื่อยเลยทีเดียว มันตื่นตาตื่นใจมากสำหรับคนที่ชอบทุ่งนามากเป็นพิเศษอย่างเรา นาขั้นบันไดเยอะจริงๆ นี่ขนาดว่าเรามาช่วงที่เหลือแต่คันนา มันยังสวยขนาดนี้ แล้วถ้าช่วงที่ต้นข้าวเต็มทุ่งนาจะสวยขนาดไหน ว่าแล้วก็อยากไปเห็นจังเลย
หลังจากอาหารกลางวัน ที่แรกที่เราไปก็คือวัดชิมิลาคัง (Chimi Lhakhang) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา พวกเราจะต้องเดินเท้าผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไป-กลับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง คนที่ไม่ชอบเดินอาจจะคิดว่าไกล แต่สำหรับเราเราชอบมาก เดินไปก็ถ่ายรูปทุ่งนากับต้นข้าวไปเรื่อยๆ แต่จะรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยก็ตอนที่ต้องเดินขึ้นเนิน ช่วงนี้จะต้องเดินช้าๆ แล้วก็พูดน้อยๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะหายใจไม่ทันได้
สำหรับไฮไลท์ของวันนี้ก็คือปูนาคาซอง ปูนาคาซองเป็นป้อมปราการที่สวยที่สุดในภูฏาน และในความรู้สึกเราจากที่ได้เห็นมาทั้งหมด 3 ที่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่กษัตริย์จิกมี่ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส ด้านในส่วนที่เป็นวัดสวยมาก แต่เสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราชอบที่นี่อีกอย่างก็คือมีแม่น้ำไหลผ่านด้านหน้า
ปิดท้ายวันที่สองด้วยการเดินเล่นในเมืองก่อนจะกลับเข้าที่พัก ปูนาคาเป็นเมืองเล็กๆ เล็กมากจนเราสงสัยว่าที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าจริงๆ หรือ
The End:
http://ppantip.com/topic/32224470
[CR] ภูฏาน...กาลครั้งหนึ่ง บันทึกการเดินทางสั้นๆ ในดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า [Part II]
เช้าวันที่สองที่ภูฏาน เราตื่นขึ้นมาพร้อมกับอากาศประมาณ 2 องศา ก็ไม่ได้อะไรมากแค่เปิดหน้าต่างออกไปสูดอากาศข้างนอกพอเป็นพิธี ก่อนจะกลับมาซุกตัวใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เหมือนเดิม โรงแรมที่ภูฏานส่วนใหญ่จะมีฮีตเตอร์ในห้องพัก และถ้าเปิดตู้เราจะเจอผ้าห่มหนาๆ อีก 2 ผืน เพราะฉะนั้นไม่กลัวว่าจะหนาวจนนอนไม่หลับ
อากาศตอนเช้าที่ภูฏานสดชื่นมากๆ ถึงตอนนี้เรายังอยากกลับไปสูดอากาศที่นั่นให้เต็มปอดอีกครั้ง
วันนี้เราจะเดินทางจากทิมพูไปยังเมืองปูนาคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของภูฏาน ปูนาคาเป็นเมืองที่อากาศอุ่นกว่าพาโรและทิมพู เพราะพื้นที่อยู่ต่ำกว่า (เกือบ 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ในฤดูหนาวที่พาโรกับทิมพูจะมีหิมะตก แต่ที่ปูนาคาไม่มี ส่วนสาเหตุที่ย้ายเมืองหลวงก็เพราะว่ามีการสร้างสนามบินที่พาโร ถ้าย้ายศูนย์กลางมาที่ทิมพู ซึ่งอยู่ใกล้กับพาโรมากกว่าจะทำให้สามารถพัฒนาด้านต่างๆ ได้ง่ายกว่า
ระยะทางจากทิมพูไปปูนาคาประมาณ 70 กิโลเมตร แต่เราต้องใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมง เพราะต้องลัดเลาะไปตามถนนแคบๆ ที่คดโค้งไปตามไหล่เขา ที่สำคัญยังขรุขระเล็กน้อยถึงปานกลาง ภูฏานมีถนนสายหลักเพียงเส้นเดียวทั้งประเทศ แต่ปัจจุบันรัฐบาลภูฏานกำลังเร่งสร้างและปรับปรุงสภาพถนนให้ดีขึ้น
ก่อนที่เราจะออกกรุงทิมพู เราจะต้องผ่านด่านตรวจคล้ายๆ กับตอนข้ามแดนไปประเทศเพื่อนบ้าน แต่ที่นี่เป็นการข้ามแดนระหว่างเมือง ซึ่งไกด์ชาวภูฏานจะต้องไปแสดงหลักฐานกับเจ้าหน้าที่ ตอนที่ได้รับวีซ่า (กระดาษ A4 ดีๆ นี่เอง) เราจะเห็นว่าในเอกสารจะระบุไว้เลยว่าแต่ละวันเราจะไปเมืองอะไร และพักที่ไหนบ้าง
หลังจากออกเดินทางมาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง เราก็มาถึงจุดชมวิวโดชูล่า (DOCHULA) ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเส้นทางระหว่างทิมพูกับปูนาคา ก่อนที่จะลงจากรถไกด์ชาวภูฏานได้เตือนพวกเราว่าข้างนอกอากาศหนาวให้เอาเสื้อกันหนาวลงไปด้วย แต่ว่าเราเป็นพวกฝืนธรรมชาติ จนสุดท้ายก็ต้องรีบวิ่งขึ้นรถหลังจากถ่ายรูปได้ไม่กี่รูป โชคดีที่พออกจากจุดชมวิวโดชูล่าเป็นจุดแวะพักอีกแห่ง ที่นี่เราได้เข้าไปจิบชาๆ อุ่นก็เลยรู้สึกดีขึ้นมาก
เราไปถึงปูนาคาประมาณเที่ยงเศษๆ ระหว่างทางก็หลับบ้าง ตื่นบ้าง เอาหัวไปกระแทกกระจกบ้าง ก็สภาพถนนมันไม่ไหวจริงๆ ถ้าใครเคยนั่งรถจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบางอาจจะพอนึกภาพออก แต่ที่นี่ขรุขระมากกว่า
แต่พอถึงปูนาคาแล้วก็แทบจะหายเหนื่อยเลยทีเดียว มันตื่นตาตื่นใจมากสำหรับคนที่ชอบทุ่งนามากเป็นพิเศษอย่างเรา นาขั้นบันไดเยอะจริงๆ นี่ขนาดว่าเรามาช่วงที่เหลือแต่คันนา มันยังสวยขนาดนี้ แล้วถ้าช่วงที่ต้นข้าวเต็มทุ่งนาจะสวยขนาดไหน ว่าแล้วก็อยากไปเห็นจังเลย
หลังจากอาหารกลางวัน ที่แรกที่เราไปก็คือวัดชิมิลาคัง (Chimi Lhakhang) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา พวกเราจะต้องเดินเท้าผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ไป-กลับใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง คนที่ไม่ชอบเดินอาจจะคิดว่าไกล แต่สำหรับเราเราชอบมาก เดินไปก็ถ่ายรูปทุ่งนากับต้นข้าวไปเรื่อยๆ แต่จะรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยก็ตอนที่ต้องเดินขึ้นเนิน ช่วงนี้จะต้องเดินช้าๆ แล้วก็พูดน้อยๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะหายใจไม่ทันได้
สำหรับไฮไลท์ของวันนี้ก็คือปูนาคาซอง ปูนาคาซองเป็นป้อมปราการที่สวยที่สุดในภูฏาน และในความรู้สึกเราจากที่ได้เห็นมาทั้งหมด 3 ที่ ที่นี่เป็นสถานที่ที่กษัตริย์จิกมี่ทรงประกอบพระราชพิธีอภิเษกสมรส ด้านในส่วนที่เป็นวัดสวยมาก แต่เสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราชอบที่นี่อีกอย่างก็คือมีแม่น้ำไหลผ่านด้านหน้า
ปิดท้ายวันที่สองด้วยการเดินเล่นในเมืองก่อนจะกลับเข้าที่พัก ปูนาคาเป็นเมืองเล็กๆ เล็กมากจนเราสงสัยว่าที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงเก่าจริงๆ หรือ
The End: http://ppantip.com/topic/32224470