เรื่องราวนี้เป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายและผ่านมันมาได้แล้วเกือบ 2 ปี แล้วโชคดีที่ได้ที่ทำงานใหม่เลยไม่ต้องทนป่วยเป็นโรคซึมเศร้า
ท้าวความกลับไป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว วันที่ฉันหมดกำลังใจและรู้สึกว่าชีวิตฉันนี่มันคุ้มค่ากับ ความพยายามอ่านหนังสือสอบได้แล้วทำงานที่นี่จริงๆหรอ ฉันต้องทนกับแรงกดดันต่างๆ ทั้งที่เป็นเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว วันที่ผอ.อารมณ์เสีย ตอนนั้นเป็นช่วงกิจกรรมลอยกระทง ตอนเช้าผอ.ยังบอกให้ทำกระทงเผื่อด้วย มาตอนเย็น คนทำกระทงให้แถมไม่ได้ไปกินข้าวเที่ยงกลับโดนด่าสะงั้น แถมประจานต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในที่ประชุมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนร่วมงานก็ได้แต่นิ่งเงียบ บางคนหัวเราะกลบเกลื่อน และที่สำคัญคือให้เราไปหาเอกสารวาระการประชุม ที่เราไม่ได้เป็นคนเก็บ เราหยิบไปผิดเล่มเพราะเห็นเล่มเดียวที่เหลืออยู่(เพราะมีพี่คนนึงทำธุระที่เขตเอาไปด้วย) ผลกรรมเลยตกกับเราด่าว่าเราเป็นคนสัปเพร่า หาอะไรก็ไม่เจอ เซ่อ ทำอะไรเชื่องช้า งกๆเงิ่นๆ งึกงักไม่ทันใจ ซื้อบื้อ โง่เป็นควาย ควายยังมีประโยชน์กว่า และชอบยกคนในที่ทำงานมาเปรียบเทียบกับเราว่าคนนั้นเค้าเก่งมีผลงาน นั่นนี่ ฯลฯ เธอทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง คือเราพยายายทำสุดความสามารถของเราแล้ว เกิดมาพึ่งเคยเจอเจ้านายที่พูดแรง พูดตรง ด่าได้ด่า พ่อแม่เรายังไม่เคยด่าขนาดนี้. เรานั่งร้องไห้กลางที่ประชุมต่อหน้าเพื่อนร่วมงานทุกคน ภายใต้หน้ากากแมสที่ปิดอยู่ เพราะเป็นคนจดบันทึกวาระการประชุม นั่งฟังไปจด ไปร้อไห้ไป นั่งฟังแบบนิ่งๆเงียบๆ จนจบวาระการประชุม
วันนั้นเริ่มประชุมเวลา15.30น.-20.00น. ขณะนั่งจดประชุมก็จะมีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ไปเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปใหม่ ไปเสริฟน้ำ เสริฟเบรคให้เพื่อนร่วมงานและผอ. ตอนที่เสริฟก็มือไม้สั่น เสียงก็สั่น เป็นอะไรที่จุกอยู่ในอก เราไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร เราก็ทำทุกอย่างเต็มสุดความสามารถ เต็มหน้าที่ของเราแล้ว วันนั้นเราไม่ได้ทานข้าวเที่ยงและข้าวเย็นเลย หลังประชุมเสร็จ เพื่อนร่วมงานต่างมาให้กำลังใจสู้ๆ เพื่อนก็เคยผ่านมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว เราร้องไห้โฮเมื่อกลับถึงห้อง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากเห็นหน้าผอ.ซักพัก เพื่อนร่วมงานคนนึงโทรมาก็ไม่รับ เราคิดว่าสิ่งที่เราเจอวันนี้มันคุ้มค่ากับความพยายามของเรามั้ย สิ่งดีๆที่เราทำให้ตลอดมามันคุ้มจริงๆหรอ และคำที่ด่าปาวๆ มันก็ไม่จริงสักนิด เราสับสนร้องไห้จนตาบวมและนอนหลับไป
เช้าวันจันทร์ ต่อมา ผอ.ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังพูดจาดีๆกับเราด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป จนเราคิดว่านี่คือผอ.ที่เคยด่าเราไว้เมื่อคืนรึเปล่า ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หรือว่าผอ.เป็นไบโพล่าร์ อารมณ์แปรปรวนบ่อย เวลาไหนที่ผอ.ใจดี ก็จะชม และเวลาไหนที่ผอ.อารมณ์เสียก็จะด่า และทำให้เราขาดความมั่นใจ ทำอะไรก็ระแวงไปหมดเริ่มเครียด และป่วยเป็นซึมเศร้า เหม่อลอยบ่อยๆ ยิ่งช่วงมาอยู่ใหม่ๆ ยิ่งโดนด่าเยอะ จนไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิดมากเลยหรอ เราก็ทำตามคำสั่ง แต่ก็เรียกมาว่าให้เราไม่มีไหวพริบ คิดเองไม่ได้ พอเราคิดเองทำเอง บอกว่าทำไมไม่มาปรึกษา จะได้ช่วยคิด เอ่อเมื้อกี้บอกให้ทำเองไง สรุปเราผิดอยู่ดี เราแก้งานหลายรอบมากกว่าจะผ่าน หลังจากโดนด่าในวันนั้น ผอ.ไม่กล้าด่าเราอีกเลย. อาจเป็นเพราะท่านควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว และมีการขอโทษแบบอ้อมๆจนเราก็รู้สึกผิดที่ทำเป็นเฉยๆไม่สนใจ แต่เรารับรู้ได้ในเจตนาที่ดี จนในวันที่ถูกเรียกตัวไปรายงานตัวที่ทำงานใหม่ ทำให้เราใจหาย เมื่อต้องบอกกับ ผอ.ว่า เราขอลาออก และผอ.ถามว่า เป็นที่ท่านใช่มั้ยที่ทำให้เราตัดสินใจลาออก เราบอกว่าไม่เกี่ยวเลยค่ะ เราอยาย้ายกลับบ้านมาก เพราะยายไม่สบาย เลยขอลาออก ส่วนเป็นที่ผอ.ด่ามั้ย ตอนนั้นก็เข้าใจว่าผอ.คงเครียดเรื่องงานแล้วไม่มีที่ลง เลยมาลงกับเรา เราเข้าใจไบโพล่าร์,อารมณ์วัยทองเพราะอารมณ์ชอบแปรปรวน ด่า หงุดหงิดง่าย เราเข้าใจท่านดีแล้ว และเราก็ไม่เคยโกรธท่าน ที่ท่านเคยดุ เคยว่า ด่า ตเพราะท่านหวังดี อยากให้เราเก่ง อยากให้เราพัฒนา การสอนของท่านต่างจากทำให้ดูเป็นตัวอย่างคือ ขับเคลื่อนด้วยการด่าก่อนแล้วค่อยลูบหลัง เหมือนถ้าอยากเก่งมันต้องมีข้อผิดพลาดซ้ำๆ หลายครั้งๆ ต้องเจอด้วยตนเอง แก้ด้วยตนเอง ทำด้วยตนเองและกล้าจะยอมรับความผิดพลาด ซึ่งเราเรียนรู้ได้ดี และจำลายละเอียดได้ไวกว่าคนอื่น ถึงตอนที่เราจากกันกับผอ.และเพื่อนร่วมงานเราก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างใจกันแล้ว
จากกันด้วยดีและทุกปีจะส่งของขวัญมอบให้คุณครูที่เกษียณอายุราชการ เพื่อลำรึกว่าครั้งนึงเคยเป็นส่วนนึงของที่นี่
แล้วเพื่อนๆเคยมีประสบการณณ์แบบนี้มั้ย และมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง มาแชร์ประสบการณ์กัน
ผอ.เป็นไบโพล่าร์ด่าประจานลูกน้องต่อหน้าเพื่อนร่วมงานจนเป็นโรคซึมเศร้า วันต่อมาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีวิธีการรับมือ?
ท้าวความกลับไป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว วันที่ฉันหมดกำลังใจและรู้สึกว่าชีวิตฉันนี่มันคุ้มค่ากับ ความพยายามอ่านหนังสือสอบได้แล้วทำงานที่นี่จริงๆหรอ ฉันต้องทนกับแรงกดดันต่างๆ ทั้งที่เป็นเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว วันที่ผอ.อารมณ์เสีย ตอนนั้นเป็นช่วงกิจกรรมลอยกระทง ตอนเช้าผอ.ยังบอกให้ทำกระทงเผื่อด้วย มาตอนเย็น คนทำกระทงให้แถมไม่ได้ไปกินข้าวเที่ยงกลับโดนด่าสะงั้น แถมประจานต่อหน้าเพื่อนร่วมงานในที่ประชุมทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เพื่อนร่วมงานก็ได้แต่นิ่งเงียบ บางคนหัวเราะกลบเกลื่อน และที่สำคัญคือให้เราไปหาเอกสารวาระการประชุม ที่เราไม่ได้เป็นคนเก็บ เราหยิบไปผิดเล่มเพราะเห็นเล่มเดียวที่เหลืออยู่(เพราะมีพี่คนนึงทำธุระที่เขตเอาไปด้วย) ผลกรรมเลยตกกับเราด่าว่าเราเป็นคนสัปเพร่า หาอะไรก็ไม่เจอ เซ่อ ทำอะไรเชื่องช้า งกๆเงิ่นๆ งึกงักไม่ทันใจ ซื้อบื้อ โง่เป็นควาย ควายยังมีประโยชน์กว่า และชอบยกคนในที่ทำงานมาเปรียบเทียบกับเราว่าคนนั้นเค้าเก่งมีผลงาน นั่นนี่ ฯลฯ เธอทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง คือเราพยายายทำสุดความสามารถของเราแล้ว เกิดมาพึ่งเคยเจอเจ้านายที่พูดแรง พูดตรง ด่าได้ด่า พ่อแม่เรายังไม่เคยด่าขนาดนี้. เรานั่งร้องไห้กลางที่ประชุมต่อหน้าเพื่อนร่วมงานทุกคน ภายใต้หน้ากากแมสที่ปิดอยู่ เพราะเป็นคนจดบันทึกวาระการประชุม นั่งฟังไปจด ไปร้อไห้ไป นั่งฟังแบบนิ่งๆเงียบๆ จนจบวาระการประชุม
วันนั้นเริ่มประชุมเวลา15.30น.-20.00น. ขณะนั่งจดประชุมก็จะมีขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ไปเช็ดน้ำตาแล้วเข้าไปใหม่ ไปเสริฟน้ำ เสริฟเบรคให้เพื่อนร่วมงานและผอ. ตอนที่เสริฟก็มือไม้สั่น เสียงก็สั่น เป็นอะไรที่จุกอยู่ในอก เราไม่รู้ว่าเราทำผิดอะไร เราก็ทำทุกอย่างเต็มสุดความสามารถ เต็มหน้าที่ของเราแล้ว วันนั้นเราไม่ได้ทานข้าวเที่ยงและข้าวเย็นเลย หลังประชุมเสร็จ เพื่อนร่วมงานต่างมาให้กำลังใจสู้ๆ เพื่อนก็เคยผ่านมาแล้ว หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว เราร้องไห้โฮเมื่อกลับถึงห้อง ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากเห็นหน้าผอ.ซักพัก เพื่อนร่วมงานคนนึงโทรมาก็ไม่รับ เราคิดว่าสิ่งที่เราเจอวันนี้มันคุ้มค่ากับความพยายามของเรามั้ย สิ่งดีๆที่เราทำให้ตลอดมามันคุ้มจริงๆหรอ และคำที่ด่าปาวๆ มันก็ไม่จริงสักนิด เราสับสนร้องไห้จนตาบวมและนอนหลับไป
เช้าวันจันทร์ ต่อมา ผอ.ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังพูดจาดีๆกับเราด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป จนเราคิดว่านี่คือผอ.ที่เคยด่าเราไว้เมื่อคืนรึเปล่า ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หรือว่าผอ.เป็นไบโพล่าร์ อารมณ์แปรปรวนบ่อย เวลาไหนที่ผอ.ใจดี ก็จะชม และเวลาไหนที่ผอ.อารมณ์เสียก็จะด่า และทำให้เราขาดความมั่นใจ ทำอะไรก็ระแวงไปหมดเริ่มเครียด และป่วยเป็นซึมเศร้า เหม่อลอยบ่อยๆ ยิ่งช่วงมาอยู่ใหม่ๆ ยิ่งโดนด่าเยอะ จนไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิดมากเลยหรอ เราก็ทำตามคำสั่ง แต่ก็เรียกมาว่าให้เราไม่มีไหวพริบ คิดเองไม่ได้ พอเราคิดเองทำเอง บอกว่าทำไมไม่มาปรึกษา จะได้ช่วยคิด เอ่อเมื้อกี้บอกให้ทำเองไง สรุปเราผิดอยู่ดี เราแก้งานหลายรอบมากกว่าจะผ่าน หลังจากโดนด่าในวันนั้น ผอ.ไม่กล้าด่าเราอีกเลย. อาจเป็นเพราะท่านควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว และมีการขอโทษแบบอ้อมๆจนเราก็รู้สึกผิดที่ทำเป็นเฉยๆไม่สนใจ แต่เรารับรู้ได้ในเจตนาที่ดี จนในวันที่ถูกเรียกตัวไปรายงานตัวที่ทำงานใหม่ ทำให้เราใจหาย เมื่อต้องบอกกับ ผอ.ว่า เราขอลาออก และผอ.ถามว่า เป็นที่ท่านใช่มั้ยที่ทำให้เราตัดสินใจลาออก เราบอกว่าไม่เกี่ยวเลยค่ะ เราอยาย้ายกลับบ้านมาก เพราะยายไม่สบาย เลยขอลาออก ส่วนเป็นที่ผอ.ด่ามั้ย ตอนนั้นก็เข้าใจว่าผอ.คงเครียดเรื่องงานแล้วไม่มีที่ลง เลยมาลงกับเรา เราเข้าใจไบโพล่าร์,อารมณ์วัยทองเพราะอารมณ์ชอบแปรปรวน ด่า หงุดหงิดง่าย เราเข้าใจท่านดีแล้ว และเราก็ไม่เคยโกรธท่าน ที่ท่านเคยดุ เคยว่า ด่า ตเพราะท่านหวังดี อยากให้เราเก่ง อยากให้เราพัฒนา การสอนของท่านต่างจากทำให้ดูเป็นตัวอย่างคือ ขับเคลื่อนด้วยการด่าก่อนแล้วค่อยลูบหลัง เหมือนถ้าอยากเก่งมันต้องมีข้อผิดพลาดซ้ำๆ หลายครั้งๆ ต้องเจอด้วยตนเอง แก้ด้วยตนเอง ทำด้วยตนเองและกล้าจะยอมรับความผิดพลาด ซึ่งเราเรียนรู้ได้ดี และจำลายละเอียดได้ไวกว่าคนอื่น ถึงตอนที่เราจากกันกับผอ.และเพื่อนร่วมงานเราก็ไม่มีอะไรที่ติดค้างใจกันแล้ว
จากกันด้วยดีและทุกปีจะส่งของขวัญมอบให้คุณครูที่เกษียณอายุราชการ เพื่อลำรึกว่าครั้งนึงเคยเป็นส่วนนึงของที่นี่
แล้วเพื่อนๆเคยมีประสบการณณ์แบบนี้มั้ย และมีวิธีรับมืออย่างไรบ้าง มาแชร์ประสบการณ์กัน