JJNY : ร้อง'ไทย'ก่อนสมัครคกก. สิทธิระดับโลก│อ.นิติมธ.ชี้ 2ปัญหาใหญ่│โนรูท่วมนาเสียหาย 3 พันล.│‘สมชัย’ นึกถึงถนนลูกรัง!

'ฟอร์ตี้ฟายไรต์' เรียกร้อง 'ไทย' ใส่ใจต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ก่อนลงสมัคร เป็น คกก. สิทธิระดับโลก
https://prachatai.com/journal/2022/10/100773

หลัง ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในการแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ฟอร์ตี้ฟายไรต์องค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เรียกร้องประเทศไทยใส่ใจอย่างเร่งด่วนต่อประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กำลังเกิดขึ้นภายในประเทศ ลดการเอาผิดทางอาญาต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท และยกเลิกคดีที่ฟ้องต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และบุคคลอื่น ๆ อย่างไม่เหมาะสม ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติครั้งต่อไ
 
30 ก.ย. 2565 องค์กรฟอร์ตี้ฟายไรต์ (Fortify Rights) ได้แสดงท่าทีต่อดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ในการแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ โดยฟอร์ตี้ฟายไรต์ ระบุว่า ประเทศไทยควรใส่ใจอย่างเร่งด่วนต่อประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติครั้งต่อไป ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าวในวันนี้ เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2565 รัฐบาลไทยได้แถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ถึงเจตจำนงของที่จะลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวาระปี 2568-2570
 
“การจะก้าวไปยังจุดนี้นั่นหมายความว่าประเทศไทยต้องเตรียมพร้อมที่จะยุติและเยียวยาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในบ้านของตัวเองก่อน” เอมี สมิธ (Amy Smith) ผู้อำนวยการบริหารฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว “ถ้าประเทศไทยเห็นความสำคัญของการลงสมัครอย่างจริงจัง ทางการไทยต้องคุ้มครองผู้ลี้ภัย สิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ สิทธิที่จะมีเสรีภาพด้านการแสดงออก รวมถึงการชุมนุมอย่างสงบ และสิทธิข้ออื่น ๆ”
 
ในการประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งของประเทศไทยต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยประชุมที่ 77 วันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า การพัฒนาที่ยั่งยืนและสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงและหนุนเสริมกัน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อประกันให้เกิดสภาพแวดล้อมของสันติภาพและความก้าวหน้า ในการนี้ ประเทศไทยจึงประกาศลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในวาระปี 2568-2570 หากได้รับเลือก เราจะสามารถช่วยหนุนเสริมการทำงานของคณะมนตรีฯ และกลไกต่าง ๆ เพื่อให้เข้าถึงคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและถูกทอดทิ้งมากสุด และส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่มีความหมายในระดับท้องที่
รัฐบาลไทยได้ประกาศการลงสมัครรับเลือกตั้งของประเทศไทยลงในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2565 ก่อนเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
 
ทางการไทยมักละเมิดสิทธิต่าง ๆ  ที่ได้รับการรับรองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสิทธิของกลุ่มเปราะบางต่างๆ  อันรวมถึงผู้ลี้ภัย ผู้มีความหลากหลายทางเพศ นักปกป้องสิทธิมนุษยชน ผู้ประท้วง แลผู้ทำงานภาคประชาสังคม รัฐบาลไทยละเมิดสิทธิในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสันติ การจับกุมอย่างมิชอบต่อผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันและนักกิจกรรมส่งเสริมประชาธิปไตย รวมทั้งการปราบผู้ประท้วงเพื่อประชาธิปไตยที่เป็นเยาวชน
ประเทศไทยได้ลงนามใน อนุสัญญาระหว่างประเทศหลายฉบับ ทั้งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง, อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
 
ตามข้อมูลของ สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ประเทศไทยเป็นแหล่งพำนักของผู้ลี้ภัยจากเมียนมาร์กว่า 91,400 คนในค่ายเก้าแห่งตามแนวพรมแดน ทั้งยังมีผู้ลี้ภัยอย่างน้อยอีก 5,150 คนที่อาศัยอยู่นอกค่าย ในประเด็นนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นรัฐภาคีต่ออนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และพิธีสาร พ.ศ. 2510 รวมถึงไม่มีกรอบกฎหมายในประเทศเป็นการเฉพาะเพื่อรับรองสถานะและให้ความคุ้มครองกับผู้ลี้ภัย หากปราศจากสถานะตามกฎหมายในประเทศไทย ผู้ลี้ภัยอาจถูกกักตัวไว้ในค่าย หรือตกเป็นเหยื่อของ การจับกุมโดยพลการ, การกักตัว และ การบังคับส่งกลับ (refoulement)
 
นับแต่การทำรัฐประหารในเมียนมาปี 2564 ฟอร์ตี้ฟายไรต์ได้บันทึกข้อมูลกรณีที่ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาถูกทางการไทยบังคับส่งกลับไว้มากมาย การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ในเดือนพฤษภาคม 2564 ทางการไทยบังคับผู้ลี้ภัย 2,000 คนที่หลบหนีจากความรุนแรงในรัฐกะเหรี่ยง ให้เดินทางกลับไปยังประเทศเมียนมา
 
ฟอร์ตี้ฟายไรต์เรียกร้องให้ทางการไทยควรลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยสถานะของผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และพิธีสาร พ.ศ. 2510 และให้สถานะตามกฎหมายและความคุ้มครองทันทีต่อผู้ลี้ภัยในประเทศไทย
 
ในด้านสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ภายหลังกระบวนการพิจารณาที่ยืดเยื้อมาหลายปี เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2565 สภาผู้แทนราษฎรไทยได้รับรองร่างพระราชบัญญัติสี่ฉบับ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ตามกฎหมายของผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือที่เรียกว่า ร่างพรบ.สมรสเท่าเทียม และร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต
 
อย่างไรก็ดี การปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน ส่งผลให้กระบวนการพิจารณาหยุดชะงักลง และจำเป็นต้องรอการเปิดประชุมใหม่เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระต่อไป เนื่องจากยังไม่มีการประกาศเปิดสมัยประชุมใหม่ คู่สมรสผู้มีความหลากหลายทางเพศในไทยจึงยังคงถูกปฏิเสธสิทธิในการสมรสและสิทธิที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ยิ่งทำให้ปัญหาการเลือกปฏิบัติที่ชุมชนเหล่านี้เผชิญอยู่เลวร้ายลงไปอีก
 
ในประเด็นด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ประเทศไทยยังไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาจากการคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรม หรือที่เรียกว่าการฟ้องคดีปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (SLAPP) ในไทย กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญามักถูกยกมาใช้เพื่อโจมตี คุกคาม และปิดปากนักปกป้องสิทธิมนุษยชน  ในปี 2561สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งอนุญาตให้ศาลสามารถยกฟ้องคดีและห้ามการฟ้องซ้ำ กรณีที่เป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลย อย่างไรก็ดี ศาลไทยยังคงสั่งรับพิจารณาคดีฟ้องปิดปากในชั้นไต่สวนต่อไป
 
ฟอร์ตี้ฟายไรต์เรียกร้องให้ประเทศไทยลดการเอาผิดทางอาญาต่อความผิดฐานหมิ่นประมาท และยกเลิกคดีที่ฟ้องต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และบุคคลอื่น ๆ อย่างไม่เหมาะสม เพื่อป้องกันการคุกคามด้วยกระบวนการยุติธรรม
 
นอกจากนี้ ในปี 2565 รัฐบาลไทยได้เผยแพร่ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร หรือที่เรียกว่ากฎหมายเอ็นจีโอ เพื่อควบคุมกำกับการดำเนินงานขององค์กรไม่แสวงหากำไรในประเทศไทย ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติสามคนได้ออกมาวิจารณ์ร่างของกฎหมายเอ็นจีโอในเบื้องต้นว่า “ดูเหมือนจะไม่สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” หากมีการประกาศใช้ กฎหมายเอ็นจีโอฉบับดังกล่าวจะละเมิดเสรีภาพขั้นพื้นฐานด้านการแสดงออกและการสมาคมที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
   
ระหว่างกระบวนการทบทวนสิทธิมนุษยชนตามวาระ (UPR) ครั้งล่าสุดของไทย ซึ่งเป็นกระบวนการภายใต้กลไกของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่รัฐภาคีสหประชาชาติจะตรวจสอบสถิติด้านสิทธิมนุษยชนของแต่ละประเทศ ประเทศไทยประกาศไม่รับข้อเสนอแนะจำนวนมากเกี่ยวกับเสรีภาพด้านการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบ
 
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทยประกาศไม่รับข้อเสนอแนะจากเยอรมนีให้ “ทบทวนกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กฎหมายความผิดทางคอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา” ประเทศไทยยังไม่รับข้อเสนอแนะจากสหรัฐอเมริกาที่ให้ “ยกเลิกการพิจารณาร่างกฎหมายการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร และร่างกฎหมายใหม่อื่น ๆ ที่อาจจำกัดพื้นที่ของภาคพลเรือนในประเทศไทย”
 
คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประกอบด้วยประเทศสมาชิก 47 แห่ง มีหน้าที่ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนทั้งปวงทั่วโลก มติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติเพื่อจัดตั้งคณะมนตรีสิทธิฯ ระบุว่า รัฐภาคีที่ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกของคณะมนตรีฯ “จะต้องปฏิบัติตามาตรฐานสูงสุดในการส่งเสริมและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน”

“การลงสมัครรับเลือกตั้งของประเทศไทย เพื่อเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะแสดงให้เห็นว่าตนปฏิบัติตามพันธกิจอย่างจริงจังต่อประเด็นสิทธิมนุษยชน โดยการใส่ใจอย่างเร่งด่วนต่อประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กำลังเกิดขึ้น” เอมี สมิธกล่าว “ประเทศไทยต้องทำงานอย่างหนักตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อทำให้กฎหมาย นโยบาย และการปฏิบัติของตน สอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ”
 

 
อ.นิติ มธ. ชี้ 2 ปัญหาใหญ่ในเหตุผลศาลรธน. ใช้ตรรกะเชิงเทคนิคด้อยค่าบันทึกการประชุม
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3593287
 
อ.นิติ มธ. ชี้ 2 ปัญหาใหญ่ในเหตุผลศาลรธน. การตีความว่ารัฐธรรมนูญให้มีผลใช้บังคับไปข้างหน้า และใช้ตรรกะเชิงเทคนิคด้อยค่าบันทึกการประชุม
 
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม รศ.ดร. มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ เรื่อง สองปัญหาใหญ่ในการให้เหตุผลของศาลรัฐธรรมนูญ แสดงความเห็นกรณีคำวินิจฉัยวาระการดำรงตำแหน่งวาระ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าสามารถดำรงตำแหน่งต่อได้ โดย ระบุว่า
 
1. การตีความว่ารัฐธรรมนูญให้มีผลใช้บังคับไปข้างหน้า
 
1.1 การตีความว่ารัฐธรรมนูญให้มีผลใช้บังคับไปข้างหน้าขาดความแน่นอนชัดเจน ศาลให้เหตุผลว่าการมีผลไปข้างหน้าของกฎหมายเป็นบทหลัก การมีผลย้อนหลังเป็นบทยกเว้น ทำได้เฉพาะกรณีที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้โดยชัดแจ้งเท่านั้น แต่หากพิจารณาบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง ไม่มีมาตราใดบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งให้รัฐธรรมนูญมีผลย้อนหลังเพื่อจำกัดสิทธิของบุคคลได้ ศาลจึงต้องตีความบทบัญญัติในทุกกรณีว่ามีผลย้อนหลังได้หรือไม่ แต่แทนที่ศาลจะตีความให้รัฐธรรมนูญมีผลไปข้างหน้าในทุกกรณี (รวมถึงกรณีนายสิระ) กลับเลือกให้ย้อนหลังบางกรณี และมีผลไปข้างหน้าในบางกรณี โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนแน่นอน
  
การอ้างว่าเรื่อง “คุณสมบัติ” ของ สส. กับ “วาระการดำรงตำแหน่ง” ของนายกรัฐมนตรีเป็นละเรื่องกันฟังไม่ขึ้น เพราะทั้งสองเรื่องต่างก็เหมือนกันในสาระสำคัญว่า รัฐธรรมนูญควรมีผลใช้บังคับกับการกระทำหรือสถานะที่มีอยู่ก่อนที่รัฐธรรรมนูญมีผลใช้บังคับหรือไม่
 
1.2 การตีความว่ารัฐธรรมนูญให้มีผลใช้บังคับไปข้างหน้า ศาลไม่ได้ให้น้ำหนักกับเจตนารมณ์ของ ม.158 ซึ่งมีเจตนารมณ์เฉพาะเจาะจงไม่ให้ผู้ใดอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี ศาลกลับมุ่งเน้นการบังคับใช้หลักทั่วไปของการไม่มีผลย้อนหลังของกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิของบุคคล ทั้งๆ ที่ การจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นการจำกัด “หน้าที่” ไม่ใช่การจำกัด “สิทธิ” การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ เป็นเรื่องของการอาสาเข้ามาทำ “หน้าที่” ภายในเวลาที่จำกัดเท่านั้น ไม่ใช่การแสวงหาโอกาสเพื่อให้ได้รับ “สิทธิประโยชน์” ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่