กลับบ้าน (2)

กระทู้สนทนา


.


             เครื่องบินค่อย ๆ ทะยานออกจากรันเวย์ ขึ้นสู่บนท้องฟ้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับหัวใจที่ล่องลอย มองไปนอกหน้าต่างเห็นหมู่ปุยเมฆสีขาวลอยละลิ่วไปตามแรงลม เหมือนความรู้สึกของเธอที่เคว้งคว้าง ไม่มีทิศทาง เพราะความจน เพราะชีวิตจริงไม่ใช่ละคร จึงทำให้เธอได้มาอยู่บนเครื่องบินลำนี้

              น้ำตาที่เอ่อไหลพร้อมใจที่คิดถึงครอบครัว จำต้องพรากจากพ่อแม่และลูกชายที่กำลังโตวันโตคืน เพื่อมาตามหาอนาคตที่ดีเหมือนคนอื่น ปล่อยให้น้ำตาไหลไปพร้อมกับเครื่องบินที่กำลังโผบินอยู่บนท้องฟ้า จุดหมายปลายทางอยู่ที่แดนดินถิ่นกิมจิ…

              ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจ

              เสียงเคาะประตูดังลั่นในยามดึกสงัด พร้อมเสียงเอะอะโวยวายของคนที่อยู่ด้านนอก เสียงสุนัขเห่าหอนกันระงม สักพักก็ได้ยินเสียงครวญครางของมันร้องคล้ายกำลังเจ็บปางตาย คล้ายกับว่ามันโดนอะไรตีเสียอย่างนั้น และเสียงร้องของมันก็ได้ห่างไกลออกไปจนไม่ได้ยิน ได้ยินเพียงเสียงเคาะประตูบ้านพร้อมคำพูดที่ฟังไม่เป็นศัพท์

              ไม่ใช่โจรจะมาปล้นบ้านใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มันเป็นเสียงของหัวหน้าครอบครัว หัวหน้าครอบครัวที่เอาแต่เมามาย งานการไม่ยอมทำ ได้เงินมาเท่าไหร่ก็เอาไปซื้อเหล้ากินหมด คนที่กำลังนอนอยู่สะดุ้งตื่น พร้อมลุกไปเปิดประตูอย่างคนสิ้นหวัง หมดอาลัยกับชีวิตคู่ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรือคืนแรก แต่มันเกิดขึ้นทุก ๆ คืน ทีแรกทะเลาะกันบ้านแตก หลัง ๆ มาเธอก็ปล่อยไปตามยถากรรม

              เพียงลุกมาเปิดประตูให้แล้วก็กลับไปนอนต่อ ด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บใจ ผิดหวัง ปล่อยให้คนเมานอนกลิ้งเกลือกไปกับพื้นบ้าน เสียงครวญครางของสามีมันช่างดังบาดใจ เจ็บปวดในหัวใจสิ้นดี คนที่ขยันทำมาหากินไม่มีแล้ว เหลือเพียงไอ้ขี้เมาคนหนึ่งที่นอนกอดขวดเหล้าดิ้นอยู่ ณ ตอนนี้

              จากคนที่เคยเป็นช้างเท้าหลัง กลับกลายมาเป็นช้างเท้าหน้าแทน เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวและลูกที่กำลังเติบโต เช้าตรู่เธอต้องรีบปลุกลูกชายให้ตื่นพร้อมกัน ทั้งที่มันยังไม่สว่างเลย เตรียมหุงหาอาหารเช้าให้ ก่อนที่เธอจะรีบออกไปทำงานรับจ้างรายวัน

              “นี่กล่องข้าวนะ เลิกเรียนก็ไปรอแม่ที่บ้านยาย หกโมงเย็นแม่เลิกงานกลับมาแล้วจะไปรับ” เธอบอกกับลูกชายวัยเพียงเจ็ดขวบ แต่ความรับผิดชอบมีมากมายกว่าอายุเหลือเกิน เผลอ ๆ อาจจะมีมากกว่าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าพ่อด้วยซ้ำ

              “แม่ครับ… แล้วจะพ่อกินอะไรตอนเช้า” เด็กชายถาม เธอปลายตามองสามีที่ยังหลับไหลเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ นอนแผ่หลาที่พื้นบ้านไม่รู้สึกตัว นึกสมเพชนัก ขนาดคนเป็นลูกยังรู้จักห่วงพ่อ แต่คนเป็นพ่อกลับไม่นึกห่วงลูกเลย หาความสุขให้เพียงตัวเองไปวัน ๆ แค่มีเงินซื้อเหล้ากินก็พอ

              “แม่แบ่งกับข้าวไว้ให้พ่อแล้วจ้ะ ลูกไม่ต้องห่วงพ่อหรอก พ่อเขาโตแล้ว หากินเองได้” ตอบพลางลูบศีรษะของลูกชายเบา ๆ

              “แม่ครับ วันนี้ครูให้ซื้อหนังสือเรียน เพื่อน ๆ ซื้อกันหมดแล้ว เหลือผมคนเดียวที่ยังไม่ซื้อ” เธอยิ้มรับฟังลูกชายทั้งน้ำตาคลอ ขนาดเงินจะให้ลูกไปโรงเรียนยังแทบไม่มีเลย

              “บอกครูว่าแม่นัดพรุ่งนี้นะ วันนี้แม่ขอไปรับจ้างก่อน พรุ่งนี้ได้ซื้อหนังสือแน่นอน ปะแม่ไปส่งหายาย” ด้วยความยังเช้าอยู่เด็กชายจำต้องไปอยู่ที่บ้านของยายเพื่อรอเวลาไปโรงเรียน ทั้งสองคนออกจากบ้านไปโดยมิเหลียวแลคนที่ยังหลับอยู่

              เป็นแบบนี้มาเนิ่นนาน คนที่ต้องหาเงินเข้าบ้านคือเธอ คนที่ต้องทำงานตรากตรำหาเลี้ยงครอบครัวคือเธอ แทนที่จะเป็นเขาแต่กลับต้องเป็นเธอ เธอผู้ที่ต้องไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา

              “เอาเงินมาให้หน่อยสองร้อย” เขาเดินเซมาขอเงินกับเธอ เป็นความรู้สึกที่เธอเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ “บอกว่าขอเงินหน่อยสองร้อย วันนี้ไปทำงานมาได้เงินมาเท่าไหร่ ขอแค่สองร้อยไม่ได้ไง” เขาตวาดเธอดังลั่น

              “พี่อยากได้พี่ก็ไปทำงานเองสิ ฉันต้องเก็บไว้ให้ลูกไปโรงเรียน”

              “ขอแค่นี้ไม่ได้หรือไง ไม่ได้ใช่มั้ย! แค่เงินสองร้อยให้ไม่ได้ใช่มั้ย” สิ้นคำพูดของชายที่ขึ้นชื่อว่าพ่อของลูก จาน ชาม ข้าวของในบ้านก็ลอยหล่นแตกกระจุยกระจายทั่วบ้าน เธอได้แต่กอดลูกชายร้องไห้ ก่อนจะพาไปอาศัยหลบภัยที่บ้านของแม่

              ขณะนั่งอยู่บนเครื่องบิน เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องราวเหตุการณ์ ที่เธอต้องได้มานั่งอยู่บนเครื่องบินลำนี้ มีเพื่อนร่วมชะตามากมายที่กำลังเดินทางไปด้วยกัน ทุกคนล้วนมากันเป็นคู่สามีภรรยา ส่วนเธอ… เธอมาคนเดียว พร้อมสู้ชีวิตลำพังเพียงคนเดียว ได้มาแล้วก็ต้องสู้เท่านั้น

              “นางเอ้ย เอ็งอยู่แบบนี้ไม่ได้หรอก มีแต่จะอดตายกันทั้งแม่และลูก ทิ้งมันไปซะเถอะไอ้เวรนั่น” วันหนึ่งแม่ของเธอคุยด้วย

              “แม่จะให้ฉันไปไหนเหรอ ฉันหนีมันไม่พ้นหรอกแม่ก็รู้ มันก็ตามราวีฉันอยู่ดี” เธอบอกกับผู้เป็นแม่ จะหนีได้อย่างไร ลูกจะอยู่อย่างไรแล้วเธอจะไปไหน เงินสักบาทก็ไม่มี

              แม่ของเธอนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยวาจาขึ้น “ไปนอกมั้ย ลูกนังนวลมันกำลังหาคนไปนอก มันเป็นนายหน้า”

              เธออ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะจากลูกจากบ้านไปไกลขนาดนั้น อีกทั้งการไปทำงานต่างประเทศมันต้องใช้เงินจำนวนมาก มันเหมือนกับไปกรุงเทพเสียที่ไหน “ลูกเอ็งไม่ต้องห่วง แม่ดูแลให้ ส่วนไอ้เวรนั่นก็ปล่อยมันตายอยู่คนเดียวซะ” แม่ของเธอพูดถึงสามีของเธอด้วยความคับแค้นใจ

              “ไปนะลูก คนอื่นเขาไปเขาก็มีเงินกลับมากันหมด แม่เห็นเอ็งลำบากแบบนี้ไง แม่ถึงอยากให้ไป ไหนจะลูกเอ็งต้องเรียนหนังสืออีก อยู่ที่นี่มันก็ขูดรีดไถเอ็ง งานการไม่ยอมทำ กินแต่เหล้าไปวัน ๆ แม่เห็นเอ็งลำบาก แม่ถึงอยากให้ไป”

              “แต่แม่…” มันจุกในใจของเธอที่สุด “ฉันจะเอาเงินมาจากไหนเป็นค่าเครื่องบิน เงินจะกินข้าวไปมื้อ ๆ ยังไม่มี”

              “ถ้าเอ็งยืนยันจะไป แม่จะหาให้เอง แต่เอ็งต้องตั้งใจเก็บเงินนะ เอาเงินมาใช้หนี้เขาให้หมด” เธอพยักหน้ารับทั้งน้ำตา ตกลงจะไปทำงานที่เมืองนอกตามที่แม่ขอร้อง เพราะชีวิตนี้ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว

              “ฉันฝากไอ้น็อตด้วยนะแม่ แม่ต้องดูแลมันแทนฉันให้ดีนะ”

              “ไม่ต้องห่วงเรื่องลูกเอ็ง และก็ไม่ต้องบอกไอ้เลวนั่นด้วย ถ้ามันรู้ มันต้องไม่ให้เอ็งไปแน่” เธอตกลงกับผู้เป็นแม่ เดินเรื่องมาทำงานเมืองนอกแบบเงียบ ๆ ไม่ให้สามีรู้ จนมาถึงวันขึ้นเครื่อง เธอก็มาคนเดียวโดยไม่ให้แม่และลูกชายมาส่ง เกรงว่าสามีขี้เมาจะรู้และขัดขวางไม่ให้ไป

              นั่งเครื่องบินหลายชั่วโมงในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทาง เธอและคนอื่น ๆ มาในนามนักท่องเที่ยว สุดท้ายทัวร์ที่เธอมาด้วยก็พาหนี ตม. จนสำเร็จ และได้เข้าทำงานกับเฒ่าแก่คนเกาหลี

              หมดเวลาเศร้า หมดเวลาอาลัยเรื่องราวที่ผ่านมา ต่อไปนี้มีแต่คำว่าทำงานเก็บเงิน และ เก็บเงินเท่านั้น เพื่อลูก เพื่อแม่ และเพื่อ… เธอนึกไปถึงสามี ไม่! ไม่เพื่อผู้ชายขี้เมาคนนั้น หวังว่าชีวิตของเขาหลังจากไม่มีเธออยู่แล้ว เขาจะยังคงมีชีวิตรอดจนถึงวันที่เธอกลับเมืองไทย ต้องจากลูกตั้งแต่ลูกได้แค่เจ็ดขวบ หัวอกของคนเป็นแม่แทบสลาย แต่ชีวิตเลือกไม่ได้

              ‘ชีวิตหลังจากนี้กลายเป็นผีน้อยเต็มตัว’

              งานแรกที่ได้ทำคืองานสวน ความลำบากแค่นี้ไม่ระคายผิว เธอทำได้ทุกอย่างที่เถ้าแก่สั่ง ตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นทำงาน ไม่ต้องคิดมากอะไรนอกจากคอยหลบให้พ้นจมูกและสายตาของ ตม. เท่านั้น

              ยามเหนื่อยกายก็เหนื่อยเป็นเรื่องปกติ ทว่าหันมองไปรอบ ๆ เห็นคู่สามีนั่งพักด้วยกัน คุยกระหนุงกระหนิงกัน มันก็ทำให้หัวใจของเธอหล่นตุบอย่างรวดเร็ว ยิ้มให้ภาพที่เห็นด้วยความอิจฉาและทั้งน้ำตา เผลอนึกถึงสามี ป่านนี้คงไปเมาหัวราน้ำที่ไหนสักแห่ง

              เธอยังมีลูกที่คอยอยู่ มีแม่ที่คอยอยู่ สองคนนี้แหละคือยาใจของเธอ จะท้อไม่ได้…

              วันเวลาผ่านไป เธอทำงานเก็บเงิน ส่งเงินให้ทางบ้านจนสามารถปิดหนี้สองแสนบาท ที่แม่เอาที่ดินไปจำนองให้เธอมาเกาหลีได้ มีเงินสร้างบ้านให้แม่หลังใหม่ มีเงินเก็บ และนอกจากเงินที่มีมากขึ้นในบัญชีแล้ว ความรักก็เหมือนจะเข้ามาถามไถ่หัวใจที่อับเฉาของเธอด้วย ชายวัยไล่เลี่ยกันที่เที่ยวคอยมาเป็นยาใจให้เสมอ และ ทุกวันทุกคืนเธอยังคงนอนฝันว่าได้กลับบ้าน

              “นางเอ้ย บ้านเราก็มีเพียบพร้อมทุกอย่างแล้ว หนี้ที่แม่ไปกู้มาให้เอ็งแม่ก็จ่ายหมดแล้ว เอ็งส่งเงินมาแม่ก็ทำก็สร้างไว้ให้เอ็งหมดแล้ว แม่ว่าถึงเวลาที่เอ็งต้องกลับมาแล้วลูก” เธอคุยกับแม่ผ่านโทรศัพท์ น้ำตาเอ่อไหลทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแม่ และวันนี้เธอร้องไห้เสียงดังกว่าทุกครั้ง เพราะดีใจที่จะได้กลับบ้านสักที

              สิบปีที่อยู่ที่นี่ สิบปีที่ทนลำบากตรากตรำ สิบปีที่อยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ จาก ตม. นับว่าเป็นความโชคดีของเธอที่แคล้วคลาดปลอดภัยมาโดยตลอด มีเงินเก็บในบัญชีหลักล้าน มีบ้าน มีรถให้ลูกกับแม่ได้อยู่สบาย แต่ต้องแลกด้วยความที่ถูกตราหน้าว่าเป็น ‘ผีน้อย’ เธอก็ไม่แคร์

              “กลับบ้านไปรอพี่นะ แล้วพี่จะพาพ่อแม่ไปเยี่ยมบ้านนาง พี่สัญญา สิ้นปีพี่จะตามกลับไปทีหลัง แล้วเราใช้ชีวิตร่วมกันนะ” หนุ่มวัยกลางคนที่มีภูมิหลังไม่ต่างกับเธอ มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับเธอ มีเรื่องราวที่ผ่านมาคล้าย ๆ เธอ ทำให้ทั้งเขาและเธอคุยกันเข้าใจ

              “จ้ะพี่” เธอสวมกอดชายหนุ่มแห่งเมืองวังสะพุงแบบไม่เคอะเขิน วันเวลาสิบปีที่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วยกัน ไม่มีวันไหนที่เขาจะทำให้เธอเสียใจ ไม่ล่วงเกิน เป็นที่ปรึกษาในยามท้อ จนเธอยอมเปิดใจรับเขาเข้ามา

              ทั้งเขาและเธอกอดลากันที่สนามบิน ก่อนที่เธอจะโบกมือลา ขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน เครื่องบินลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า พร้อมกับความสุขเปี่ยมล้นอยู่ภายในใจ บ้าน แม่ และลูกชายลอยผุดขึ้นในใจ รอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าตลอดเวลา

              มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นปุยเมฆสีขาวลอยละลิ่วไปตามแรงลม วันนี้พวกมันไม่ได้ล่องลอยแบบเคว้งคว้างไร้จุดหมายอีกต่อไป พวกมันมีเป้าหมาย เธอยิ้มให้หมู่มวลเมฆนั้น เธอหลับตาลงฝันถึงบ้าน อีกไม่กี่ชั่วโมงเครื่องบินก็จะลงจอดสู่ผืนดินของประเทศไทยแล้ว

              เครื่องบินลงจอดสู่พื้นดินบ้านพ่อเมืองแม่ แม้อากาศไม่ค่อยบริสุทธิ์นัก ทว่าเธอก็เต็มใจสูดดมกลิ่นอายของเมืองไทยเข้าเต็มปอด ก่อนจะเรียกรถนั่งกลับบ้าน

              …ชีวิตที่แสนลำบากจะได้กลับบ้านกลับไปอยู่อย่างสุขสบายเสียที…

              เธอเอนหลังหลับตาไปกับเบาะผู้โดยสารอย่างคนสบายใจ เป้าหมายคือบ้านของเธอ รถวิ่งจากสุวรรณภูมิออกสู่ท้องถนน มุ่งหน้าไปตามจุดหมายปลายทางที่เธอบอกเอาไว้

              ใช้เวลาไม่นานนักรถก็วิ่งมาถึงบ้านของเธอ พอลงจากรถก็เห็นเขากับครอบครัวอยู่ที่นี่ ชายหนุ่มแห่งเมืองวังสะพุง คนที่เธอมอบกล่องดวงใจให้ ไหนก่อนลาจากกันเขาบอกกับเธอว่าจะตามมาสิ้นปีอย่างไร ทำไมวันนี้บัดนี้ได้มาอยู่ที่บ้านของเธอได้ ไม่ต้องถามก็ทราบได้ว่า หญิงชายชราสองคนที่นั่งข้าง ๆ เขาคือพ่อกับแม่ของเขาเอง เขาทำตามสัญญา เขาพาพาพ่อแม่มาเยี่ยมบ้านของเธอ

              ในวันที่เธอกลับบ้าน ผู้คนต่างมาต้อนรับเธอมากมายขนาดนี้เลยหรือ แม่คงไปป่าวประกาศให้คนได้รู้ทั่วกันหรือไร แต่ก็ไม่แปลกมากนัก ถ้าคนจะมาต้อนรับเธอเยอะขนาดนี้ เพราะเธอจากบ้านไปตั้งแต่ลูกชายเจ็ดขวบ บัดนี้คงจะโตเป็นหนุ่มแล้ว ระยะเวลาที่เธอจากบ้านไปก็นับสิบปีได้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่