เรื่องมันเริ่มขึ้นจากที่เจ้าของกระทู้ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่สนามบินแห่งชาติของบ้านเรา หน้าที่หลักๆ คือตระเวณออกสัมภาษนักท่องเที่ยวที่กำลังจะเดินทางออกจากประเทศไทยกลับยังมาตุภูมิ
แต่วันนั้นทั้งวันเดินจนปวดน่อง ก็ไม่เห็นเป้าหมายที่หมายตาเอาไว้ ด้วยวัยและร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้สังขารเริ่มอ่อนล้า
เราเลยหย่อนตูดใหญ่ๆ นั่งพักเอาแรง โดยไม่ทันสังเกตุว่ามี"ฝรั่งแบคแพค"สองสามีภรรยานั่งอยู่ก่อนแล้ว ภรรยาหันหน้ามาหาเรา ไอ้เราก็ดีใจสุดขีดเพราะคิดว่านางคงเป็นเป้าหมายที่เรารอมาแล้วทั้งวัน บทสนทนาจึงเริ่มขึ้น
เรา : คุณมาจากไหนค่ะ ฉันขออนุญาติสัมภาสคุณได้ไหม
ฝรั่ง : ฉันมาจากเยอรมัน ฉันอยู่ที่นี้มาหนึ่งวันแล้ว ฉันไม่ได้อาบน้ำ ฉันกลัว ฉันอยากกลับบ้าน บรา...บรา...(เราแปลไม่ทัน )
เรา : โชว์ตั๋วของคุณให้ฉันดูหน่อยได้ไหม เผื่อฉันช่วยอะไรได้บ้าง
เธอรีบปาดน้ำตา(เธอพูดไปร้องไห้ไป) ก่อนจะหันไปบอกสามีว่าให้เอาเอกสารจองตั๋วเครื่องบินออกมา วินาทีนั้นเพิ่งสังเกตุเห็นหน้าเธอชัดๆว่าแววตาอ่อนล้า เนื้อตัวมอมแมม หน้าตาของเธอดูแก่กว่าอายุจริงมากๆ รูปร่างผอมสูงค่อนไปทางแห้ง ประกอบกับผมสีบอร์นที่ดูคล้ายฟางข้าว
ยิ่งทำให้ดูน่าสงสารมาก สามีของเธอยื่นเอกสารการจองตั๋วให้เรา ซึ่งในนั้นระบุว่าทั้งคู่ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวานก่อน เราเลยเอาเอกสารแผ่นนั้นเดินไปถามให้ที่เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ คำตอบมีเพียงแค่ว่าให้รอ....................โดยมีฝรั่งสาวยืนหน้าเคาเตอร์ยกมือไหว้ขอความเห็นใจ ความรู้สึกของเรามันจุกเลย
เจ้าหน้าที่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอร้องขอ เธอก็แค่อยากได้คำตอบว่าเมื่อไหร่เธอกับสามีจะได้บินกลับบ้าน แต่.............คำตอบคือพูดแค่ว่า"รอ" เป็นการรอที่ไร้ซึ้งจุดหมาย รอแบบไม่มีความหวัง อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเธอเป็นคนหนึ่งในครอบครัวเรา เราหรือจะทนให้คนในครอบครัวยืนยกมือไหว้น้ำตาคลอตลอดเวลาขอความเห็นใจจากคนที่ไม่ได้แม้แต่หันมามองเธอด้วยซ็ำ
ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้ ทำดีไม่ต้องอายใคร
แต่วันนั้นทั้งวันเดินจนปวดน่อง ก็ไม่เห็นเป้าหมายที่หมายตาเอาไว้ ด้วยวัยและร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้สังขารเริ่มอ่อนล้า
เราเลยหย่อนตูดใหญ่ๆ นั่งพักเอาแรง โดยไม่ทันสังเกตุว่ามี"ฝรั่งแบคแพค"สองสามีภรรยานั่งอยู่ก่อนแล้ว ภรรยาหันหน้ามาหาเรา ไอ้เราก็ดีใจสุดขีดเพราะคิดว่านางคงเป็นเป้าหมายที่เรารอมาแล้วทั้งวัน บทสนทนาจึงเริ่มขึ้น
เรา : คุณมาจากไหนค่ะ ฉันขออนุญาติสัมภาสคุณได้ไหม
ฝรั่ง : ฉันมาจากเยอรมัน ฉันอยู่ที่นี้มาหนึ่งวันแล้ว ฉันไม่ได้อาบน้ำ ฉันกลัว ฉันอยากกลับบ้าน บรา...บรา...(เราแปลไม่ทัน )
เรา : โชว์ตั๋วของคุณให้ฉันดูหน่อยได้ไหม เผื่อฉันช่วยอะไรได้บ้าง
เธอรีบปาดน้ำตา(เธอพูดไปร้องไห้ไป) ก่อนจะหันไปบอกสามีว่าให้เอาเอกสารจองตั๋วเครื่องบินออกมา วินาทีนั้นเพิ่งสังเกตุเห็นหน้าเธอชัดๆว่าแววตาอ่อนล้า เนื้อตัวมอมแมม หน้าตาของเธอดูแก่กว่าอายุจริงมากๆ รูปร่างผอมสูงค่อนไปทางแห้ง ประกอบกับผมสีบอร์นที่ดูคล้ายฟางข้าว
ยิ่งทำให้ดูน่าสงสารมาก สามีของเธอยื่นเอกสารการจองตั๋วให้เรา ซึ่งในนั้นระบุว่าทั้งคู่ต้องเดินทางออกจากประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวานก่อน เราเลยเอาเอกสารแผ่นนั้นเดินไปถามให้ที่เจ้าหน้าที่เคาเตอร์ คำตอบมีเพียงแค่ว่าให้รอ....................โดยมีฝรั่งสาวยืนหน้าเคาเตอร์ยกมือไหว้ขอความเห็นใจ ความรู้สึกของเรามันจุกเลย
เจ้าหน้าที่ไม่ได้สนใจในสิ่งที่เธอร้องขอ เธอก็แค่อยากได้คำตอบว่าเมื่อไหร่เธอกับสามีจะได้บินกลับบ้าน แต่.............คำตอบคือพูดแค่ว่า"รอ" เป็นการรอที่ไร้ซึ้งจุดหมาย รอแบบไม่มีความหวัง อารมณ์ตอนนั้นเหมือนเธอเป็นคนหนึ่งในครอบครัวเรา เราหรือจะทนให้คนในครอบครัวยืนยกมือไหว้น้ำตาคลอตลอดเวลาขอความเห็นใจจากคนที่ไม่ได้แม้แต่หันมามองเธอด้วยซ็ำ