ทำใจอยู่นานกว่าจะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เดิมเลยเราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวค่ะ โสดอยู่เล่นๆมา2ปี ในระหว่างนั้นเราก็มีคนเข้ามานะ(คนคุยอ่ะ)แต่ยังไม่คิดจริงจังกับใคร หรือคิดจะเอาใครเข้ามาในชีวิตให้เหนื่อยเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว เราเคยมีครอบครัวมา2ครั้ง พังทั้งสองครั้ง จนเมื่อต้นปี 64 มีคนคนนึงในที่ทำงานเข้ามาทัก ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเรายุ่งๆวุ่นวายปัญหาตัวเองอยู่ เค้าก็พยายามเข้ามาช่วยแก้ ให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ (ไม่มีเรื่องเงินนะคะ อย่ามองต่ำไปว่าผู้หญิงสมัยนี้จะต้องการความช่วยเหลือเรื่องเงินเสมอไป) แล้วหลังจากที่เค้าช่วยเราแก้ปัญหาเสร็จแล้ว เค้าก็พยายามเข้าหา พยายามคุยกับเรามากขึ้น ก็เริ่มรู้แหละว่าเขาเข้ามาจีบแบบเต็มกำลังเลย ที่เราแพ้ทางเค้าที่สุดและใจอ่อนเปิดรับเค้าเข้าทาได้คือ เค้าเข้าทางลูกเรา ดูรักเอ็นดูคอยตามใจถามไถ่ลูกเราใส่ใจลูกเรา เราก็เลยเริ่มเปิดใจให้เค้าเข้ามา ช่วงแรกๆ ที่คบกันก็มีปัญหาทะเลาะกันแทบทุกวัน เพราะอาจจะด้วยอายุและช่องว่างนะหว่างวัย เรากับเค้าห่างกัน10ปี เค้าเป็นน้องแม่เราได้เลย เพราะอายุเท่าน้าเราเลย ก็มีการปรับ พยายามปรับมาตลอด นิสัยเราช่วงแรกก็เด็กๆเลย มีอะไรก็ขนของกลับบ้าน เพราะในตอนนั้นสิ่งที่อยู่ในหัวเราคือ มันไม่ใช่ที่ของเรา ในเมื่ออยู่แล้วไม่มีความสุข ไม่สบายใจ เราก็ไม่ควรจะอยู่ กลับบ้านเราซิ บ้านเราก็มี แต่พอเค้าง้อหน่อยก็ใจอ่อน แต่พอเป็นเหตุการณ์ซ้ำสอง ซ้ำสามขึ้นมา เค้าก็ไม่ง้อแล้ว แล้วกลายเป็นว่ามาด่าเราอีก ตอนเรากลับไปถึงบ้านแล้ว ว่าเรางี่เง่า ไม่รู้จักโต ทะเลาะกันทีต้องขนของหนี แทนที่จะอยู่เงียบๆ เดี๋ยวก็มาเคลียร์ปัญหากันภายหลัง เราเลยเชี้ยไรวะเนี่ย ตะกะไหน เราต้องอยู่ร้องไห้ในบ้านเค้า โดยที่เค้าเดินผ่านไปผ่านมา ไม่สนใจไม่ง้อ
โคตรทรมาณหัวใจเลย เคยเอ่ยปากพูดกับเค้าไปตรงไปเลยนะว่า ถ้าอยู่ด้วยกันมันง้อกันยากนักก็ปล่อยๆกันไป หนูไม่ได้ต้องการมานอนเสียใจแบบนี้ สิ่งที่เค้าทำกับเราคือ เหมือนคนกลัวผี หาเพื่อนมานอนข้างกัน ให้ผีในบ้านรับรู้ว่า เออกูไม่ได้นอนคนเดียวแล้วนะเว้ย กูมีคนมานอนข้างๆแล้วนะ แล้วเค้าเป็นคนมึนประเภท ไม่ง้อ พอแต่ผ่านไปจะทำเป็นคุยปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้ทะเลาะหรือมีเรื่องอะไรกันมา ตีหน้ามึนลืมเรื่องทะเลาะกันไป แต่ไอ้เราอ่ะ โดนไว้เยอะไง เจ็บอยู่ในใจคนเดียว แต่ก็นะรุ่นพี่หลายๆคนพยายามให้คำแนะนำ คำปรึกษา จะปรับยังไง จะอยู่ยังไงกันได้ โดยมีคำคำนึงของพี่ชายเราพูดมาว่า "การรักษาคนคนนึงให้ได้ยาวนานที่สุด มันมีค่ามากกว่าการหาใหม่ไปเรื่อยนะ ) เราก็เอาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง เริ่มช่าง
มาตลอด ทะเลาะทีไรกูไม่ขนของหนีละ เพราะคิดว่าเดี๋ยวมันก็ง้อ ก็เดิมๆค่ะ ไม่ว่าง้อ จนคิดว่าจริงๆแล้วเรานี่แหละทำร้ายตัวเอง ทำตัวเองเจ็บเอง เปิดให้เค้าเข้ามากระทืบหัวใจตัวเองเล่นเอง แล้วก็เสียใจเอง ในระหว่างปีก็จะมีแต่คำในใจว่าจะเลิก จะเลิก จนปลายปี64 มันมีเรื่องใหญ่โตมากเข้ามา เค้าล้มป่วยหนัก.นอนรพ.เป็น อาทิตย์ แล้วต้องกลับมาพักฟื้นตัวเองเป็นเดือน เราก็ดูแลเค้าเหมือนเดิมนะ ทั้งๆที่บอกเลิกเค้าแล้ว เพราะเราไม่อยากให้เค้ามาต่อว่าเราว่า เราทิ้งเค้าในวันที่แย่ (เค้าอยู่บ้านตัวคนเดียว ซื้อบ้านอยู่คนเดียว ไม่มีใคร ไม่มีพ่อ แม่ พี่น้อง มาอยู่ด้วย โตมาด้วยตัวเองตลอด เหตุข้อนี้ด้วยที่เราและเค้าเป็นเหมือนกัน เลยทำให้เรารับเค้าเข้ามาในใจได้อีกข้อนึง เพราะเราก็โตมาด้วยตัวเองคนเดียว ไม่มีใครเลี้ยงดูเรา ) แล้วเรายังมาซ้ำเติม ทิ้งเค้าไปอีก จนพอเค้าหายดี เราเริ่มจะไปละ ก็ดันมาติดโควิดอีก ติดทั้งบ้าน เราเป็นก่อนอาการหนักสุดด้วยเพราะร่างกายไม่แข็งแรง ต้องเข้า รพ.เลยทันทีในช่วงบ่าย หลังจากทราบผลในตอนเช้า ลูกเราและเค้ายังตรวจไม่เจอ เราเลยต้องยอมเอาลูกเราให้อยู่กับเค้าสองคน เพราะเอาลูกไป รพ.ด้วยไม่ได้ และจะเอาไปที่อื่นก็ไม่ได้ อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ระหว่างนั้นก็ห่วงลูกแหละ เราไม่ได้อยู่ดูแลเอง แต่เค้าก็ดูแลลูกเราดีนะ คอยหาข้าว หาอะไรให้ลูกเรากินตลอด จนตอนนั้นเริ่มกลับไปรักเค้าอีกแล้ว ใจง่ายอีกแล้ว จนพอหาย ทุกอย่างก็กลายมาเป็นปกติ ค่ะสรุปไม่ได้เลิก ก็อยู่ด้วยกันต่อเรื่อยมา เราพยายามปรับตัวใหม่อีกครั้งตรงที่ เรารู้ว่าเค้านิสัยแบบนี้ เราก็ทำเฉยไม่เก็บมาใส่ใจหรือเป็นอารมณ์ตัวเอง จากเมื่อก่อนนี่ไม่ได้เลย หงุดหงิดใส่เราเราด่ากลับจนทะเลาะ แต่ตอนนี้เห็นหงุดหงิดอะไรมา เราไม่ถามละ(ไม่
55) แล้วหนีขึ้นห้องไป หรือไม่ก็ไม่สนใจในสิ่งที่เค้าหงุดหงิด ก็ผ่านได้เรื่อยมา จนหลังๆ เริ่มมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยว ตอนแรกรถพังเงินไม่พอซ่อม เราออกให้ครึ่งนึง และให้ยืมครึ่งนึง เงินยืมให้ผ่อนคืนทุกเดือน เดือนละหลักพัน หลังจากนั้นไม่นาน เราใช้เค้าโอนเงินเพราะเราขับรถ เค้าเห็นเรามีเงินเก็บ100,000+ ก็นิ่งๆไป แต่ดันมาติดโควิดซ้ำรอบ2 เค้าบอกว่า พี่ขอยืมเงิน 30000 เพราะก่อนหน้านี้ รถเพิ่งพังไป เค้าไม่พอจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ เอาเงินไปลงกับรถหมด เราก็โอนให้ (ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคนอยู่ด้วยกันอ่ะ จะสร้างครอบครัวด้วยกันอยู่แล้ว เราก็ให้ไป ) แต่มาพีคตรงที่ เงินประกันโควิดเราเข้ามาอีก1แสน เค้ารู้เค้าหักคอเราเลย โดยการที่บอกว่าเราต้องแบ่งเค้า5หมื่น คนละครึ่งเพราะเราเอาโควิดมาติดเค้า ทำให้เค้าออกไปทำงานไม่ได้ ต้องรักษาตัวต้องกักตัว เงินที่พี่ยืมมาหักไปเลย แล้วให้เราโอนให้เค้าอีก2หมื่น เค้าจะเอาไปซื้อของใช้ในบ้านที่เราเคยอยากได้ เราก็แบบอึ้งแต่ก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออก สุดท้ายก็โอน หลักจากนั้นเงินที่เคยยืมก็เริ่มไม่คืนละ เพราะมีปัญหาเรื่องการทำงาน การลงทุนของเค้า ทำให้เงินช็อตมือไป เราก็ไม่ได้ทวงเห็นใจ บอกเริ่มกลับมาทำงานได้เงินเมื่อไหร่ก็คืนเรา ช่วงนั้นก็กระท่อนกระแท่นพอตัว แต่เราเอาตัวเองรอดได้ ( ตั้งแต่คบกันมา เราแยกเงินกันใช้มาตลอด ไม่เคยรวม กินอะไรการตรงตลอด มีบางครั้งเค้าเลี้ยงเรา แต่เราก็ต้องเลี้ยงเค้าเช่นกัน เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องเงินแบบเค้า เพราะเราหาเองใช้เองกับลูก อย่าคิดว่าเค้าให้เงินเรา เราก็ต้องให้เค้าคืนเวลามีปัญหา บาทเดียวก็ไม่เคยยื่นให้เลยจ้า กับคนคนนี้ ) ช่วงนั้นเราก็ใจดี ห่วงใย คอยถามไถ่ตลอด มีอะไรให้หนูช่วยก็บอกนะ ยังไงเราก็ครอบครัวเดียวกัน แต่หลังๆ เริ่มมีอะไรหลายๆอย่าง ที่แสดงออกถึงความเห็นแก่ตัวของเค้ามากขึ้น มากขึ้น จนเราเริ่มแบบ เราเองแหละที่เสนอหน้าไปช่วยเค้า
เอง จะไปพูดอะไรก็กลายเป็นทวงบุญคุณ จนตอนนั้นอยากจะเลิกอีกแล้ว แต่ก็คนมันอยู่ด้วยกันแปบเดียวมันก็ดีกัน จนเราเริ่มปรับมายเซ็ทตัวเองรอบนี้ว่า เราจะรักตัวเองให้มากขึ้น ที่เราเจ็บทุกๆวันเพราะเราไมารักรักตัวเอง เรารักคนอื่นมากกว่าตัวเอง ผิดก็ผิดที่ตัวเราเอง จากนั้นเราไม่พูดหรือออกปากเรื่องเงินกับเค้าอีกเลย เค้าก็มีบ่นๆเปรย ว่างานมีปัญหา ทำให้ขาดทุน เงินไม่พอ โน้นนี่นั้น(ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเสนอหน้าออกปากให้เค้ามาเอาที่เราไปก่อนละ) แต่ทุกวันนี้เรานิ่งทำเป็นไม่สนใจ เฉยๆ เหมือนแค่รับฟังเค้าระบายแล้วปล่อยให้ผ่านไป จากตอนแรกที่พยายามทนกลายเป็นเราเริ่มหาทางไป เริ่มมองหาคอนโด บ้านเช่า ห้องเช่า ให้ใกล้โรงเรียนลูกกให้มากที่สุดละ เพราะเรามีกันแค่สองคนแม่ลูก จะทำอะไรเราก็ห่วง อนาคตลูกที่สุดอยู่แล้ว เราเลยต้องพยายามใจเย็นและใช้ความคิดมากที่สุด (ตอนแรกเรายังไม่ย้ายลูกมาอยู่กับเรา ในช่วงแรก แต่พอคบกันผ่านปีไป เราถึงย้ายลูกตามมา เพราะคิดว่าคงไปด้วยกันรอดแล้ว มันผ่านช่วงปรับตัวกันมาได้แล้ว) จนมันหนักมากๆไม่รู้จะยังไง เลยหาทางไปเองเลย โดยแคร์ลูกด้วย ทำอะไรต้องไม่กระทบการเรียนลูก ลูกกำลังไปได้ดีกับโรงเรียนใหม่เราไม่อยากให้เค้าต้องย้ายไป ย้ายมาตามเรา ตะกอนความคิดตอนนั้นคือ ขอบคุณนะ ที่เข้ามาสอนเรา และตอกย้ำเราว่า เราไม่ควรเอาใครเข้ามาในชีวิตแล้วจริงๆ เราไม่โหยหาการมีคนคุย ไม่โหยหาใครเข้ามาแล้ว คนคนนี้ สุดแล้วในชีวิตเรา เตยมีช่วงนึงเรานอนคุยกันแบบเหมือนนอนเล่นแล้วคุยกัน เราบอกเค้าไปว่า ทั้งชีวิตของหนูมันมีแค่ลูกกับพี่เน๊าะ แต่ทำไมชีวิตพี่ถึงมีแต่เงิน หายใจเข้าเป็นเรื่องเงิน หายใจออกก็เรื่องเงิน เค้าบอกก็ต้องหาเงินไง เค้าคิดแต่เรื่องเงินเท่านั้น
เป็นคนที่สอนให้เราเริ่มเห็นแก่ตัวเป็น เริ่มคิดที่จะรักตัวเองมากขึ้น ไม่ง้อความรักจากผู้ชายคนอื่นๆแล้ว พออยู่ด้วยกันไปนานๆ เราก็ต้องเริ่มทำอะไรเองจนเคยพูดกับเค้าไปว่า บางครั้งเราก็อยากเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงที่มีแฟนคอยซัพพอร์ตความรู้สึก หรือช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ไม่ใช่จะสอนให้เราเป็นเองทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเราจะมีเค้าเป็นแหนไปทำไม เราอยู่คนเดียวเหมือนเดิมก็ได้ เค้าก็มีเริ่มไปทำให้บ้างไม่สอนให้ต้องทำเองแล้ว เรื่อง sex ไม่เคยมีค่ะ ได้แค่เดือนแรกที่อยู่ด้วยกัน ตอนแรกแอบเครียดว่าตัวเองไม่น่าเยเยแต่ เราเริ่มรู้ว่าเค้ามีปัญหาเรื่องนี้ เค้าไม่ขัน ทำยังไงก็ไม่ขัน ต้องใช้ยาช่วย แต่สำหรับเรา มีหงุดหงิดบ้าง เราอายุแค่20+ แล้วเราต้องมาเป็นคนเสื่อมสภาพตามเค้าหรอก็ไม่ใช่ (ตอนมันไม่มีใคร มันไม่มีความรู้สึกแบบนี้จริงๆนะ อาจจะเพราะทำแต่งาน กลับมานอนกอดลูก ไม่ได้เจอคู่นอนข้างกัน ความต้องการแบบนั้นมันเลยไม่มี แต่พอมีคู่นอนข้างกาย (แยกลูกนอนคนละห้องค่ะ) มันก็มีอารมณ์กันบ้าง แต่ก็เข้าใจเค้าและไม่ได้คิดเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่จะเลิกกัน แอบสงสารเค้ามากกว่า ) เราก็ปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไป ช่าง
ทำแต่งานไปมากๆก็เหนื่อยจนไม่อารมณ์ในเรื่องแบบนี้แล้ว อีกเหตุการณ์ก็คือ เรื่องเงิน เวลาชวนไปกินอะไรเราต้องเลี้ยงเค้า บางตรงเราทำงานได้เงินมาเยอะไม่ต้องเลี้ยงเค้า เพราะการที่เราได้งาน ได้เงินมันมาจากที่เค้าสอนงาน และ เทรนงานให้ จึงทำให้เรามีงานเยอะกว่าเดิม และ ได้เงินมากกว่าเดิม (เชี้ยไรวะ ได้แต่ร้องในใจ ) เพราะในการกระทำของเขาในทุกๆวัน มันสอนให้เราคิดได้ที่จะเห็นแก่ตัวกลับ กับคนแบบนี้ และเลือกที่จะรักตัวเองและถอยออกมาเองได้ เราสามารถอยู่กับตัวเองและลูกได้ โดยไม่ต้องมีใครแล้ว ไม่ต้องใส่ใจใครนอกจากตัวเองและลูก อยากฝากขอบคุณที่เข้ามาสอนอย่าเอาใครมาผูกติดอีกเลย แม้เค้าจะเข้าทางลูก แม้ชีวิตเค้าจะคล้ายคลึงเรา ก็จงอย่าเอาเค้าเข้ามาอีกเลย ขอบคุณที่เช้ามาอ่านสิ่งที่เราเวิ่นเว้อจนจบ
ทุกๆวันของเราจะมีแต่ลูกเราและเค้า แต่ทุกวันของเค้าจะมีแค่ตัวเองและเงิน
เป็นคนที่สอนให้เราเริ่มเห็นแก่ตัวเป็น เริ่มคิดที่จะรักตัวเองมากขึ้น ไม่ง้อความรักจากผู้ชายคนอื่นๆแล้ว พออยู่ด้วยกันไปนานๆ เราก็ต้องเริ่มทำอะไรเองจนเคยพูดกับเค้าไปว่า บางครั้งเราก็อยากเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึงที่มีแฟนคอยซัพพอร์ตความรู้สึก หรือช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ไม่ใช่จะสอนให้เราเป็นเองทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นเราจะมีเค้าเป็นแหนไปทำไม เราอยู่คนเดียวเหมือนเดิมก็ได้ เค้าก็มีเริ่มไปทำให้บ้างไม่สอนให้ต้องทำเองแล้ว เรื่อง sex ไม่เคยมีค่ะ ได้แค่เดือนแรกที่อยู่ด้วยกัน ตอนแรกแอบเครียดว่าตัวเองไม่น่าเยเยแต่ เราเริ่มรู้ว่าเค้ามีปัญหาเรื่องนี้ เค้าไม่ขัน ทำยังไงก็ไม่ขัน ต้องใช้ยาช่วย แต่สำหรับเรา มีหงุดหงิดบ้าง เราอายุแค่20+ แล้วเราต้องมาเป็นคนเสื่อมสภาพตามเค้าหรอก็ไม่ใช่ (ตอนมันไม่มีใคร มันไม่มีความรู้สึกแบบนี้จริงๆนะ อาจจะเพราะทำแต่งาน กลับมานอนกอดลูก ไม่ได้เจอคู่นอนข้างกัน ความต้องการแบบนั้นมันเลยไม่มี แต่พอมีคู่นอนข้างกาย (แยกลูกนอนคนละห้องค่ะ) มันก็มีอารมณ์กันบ้าง แต่ก็เข้าใจเค้าและไม่ได้คิดเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นที่จะเลิกกัน แอบสงสารเค้ามากกว่า ) เราก็ปล่อยผ่านเรื่องแบบนี้ไป ช่าง ทำแต่งานไปมากๆก็เหนื่อยจนไม่อารมณ์ในเรื่องแบบนี้แล้ว อีกเหตุการณ์ก็คือ เรื่องเงิน เวลาชวนไปกินอะไรเราต้องเลี้ยงเค้า บางตรงเราทำงานได้เงินมาเยอะไม่ต้องเลี้ยงเค้า เพราะการที่เราได้งาน ได้เงินมันมาจากที่เค้าสอนงาน และ เทรนงานให้ จึงทำให้เรามีงานเยอะกว่าเดิม และ ได้เงินมากกว่าเดิม (เชี้ยไรวะ ได้แต่ร้องในใจ ) เพราะในการกระทำของเขาในทุกๆวัน มันสอนให้เราคิดได้ที่จะเห็นแก่ตัวกลับ กับคนแบบนี้ และเลือกที่จะรักตัวเองและถอยออกมาเองได้ เราสามารถอยู่กับตัวเองและลูกได้ โดยไม่ต้องมีใครแล้ว ไม่ต้องใส่ใจใครนอกจากตัวเองและลูก อยากฝากขอบคุณที่เข้ามาสอนอย่าเอาใครมาผูกติดอีกเลย แม้เค้าจะเข้าทางลูก แม้ชีวิตเค้าจะคล้ายคลึงเรา ก็จงอย่าเอาเค้าเข้ามาอีกเลย ขอบคุณที่เช้ามาอ่านสิ่งที่เราเวิ่นเว้อจนจบ