หลักปฏิบัติ กินเจ (食齋)
ในช่วงเทศกาลกินเจ ในแต่ละบุคคลจะมีวิธีปฏิบัติตนในการกินเจที่แตกต่างกันไป แต่โดยหลักแล้วการกินเจนั้นควรมีการบำเพ็ญซึ่งจะก่อให้เกิดบุญกุศลอย่างเต็มที่ ในการกินเจนั้นเราควรปฏิบัติตนด้วยกัน ๒ ประการ คือ
๑. ด้านสุขภาพ
การกินเจเพื่อสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง ในด้านสุขภาพนั้น แบ่งแยกออกเป็น ๒ ทางคือ
๑.๑ สุขภาพทางกาย คือ การกินอาหารที่ปลอดจากสารพิษ สารเคมี จะเน้นกินอาหารที่คุณค่าต่อร่างกาย และงดอาหารที่มีโทษต่อร่างกาย
๑.๒ สุขภาพทางจิต คือ การเสพสิ่งที่ทำให้เราเบิกบานใจ มีความเอิบอิ่มใจ ความสงบ ไม่เคร่งเครียดกับสิ่งต่างๆ ที่มายก-ยั่ว-ยุ รู้จักการปล่อยวาง นำจิตใจอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น
๒. ด้านจิตมุทิตาปรารถนาดี
ด้านการตั้งฐานจิตมุทิตาปรารถนาดี คือ การตั้งเจตนาของเราไปในทางที่ดี ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ไปเบียดเบียนใคร หากใครตกทุกข์ได้ยาก เราก็มีจิตเมตตาปรารถนาเข้าไปช่วยเหลือเขา
๑. จิตมุทิตาต่อตนเอง คือ การปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของตนเอง นำสิ่งที่ไม่ดีที่อยู่ในจิตใจของเราพยายามเอาออก เช่น ความโลภ โกรธ หลง ความอาฆาต ความพยาบาท การเอาแต่ใจตนเอง เป็นต้น และเราควรตั้งปฏิญาณตนว่า สิ่งใดที่เป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีของเราที่เราจะถอนออก เราก็จะต้องตั้งใจทำ
ยกตัวอย่างในการตั้งปณิธานในการประพฤติวัตรปฏิบัติช่วงเทศกาลกินเจ ได้แก่
๑.๑ สิ่งไม่ดี ควรละ
ก. ด้านความโลภ (greed) คือ การเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่น ความเบียดเบียน ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว เป็นต้น
ข. ด้านความโกรธ (hatred) คือ ความอาฆาต ความพยาบาท การจองเวรที่จะเอาคืน การประชดประชัน ความมีโทสะ ความเป็นคนใจร้อน ชอบดุด่าว่ากล่าวคนอื่น ชอบนินทา เป็นต้น
ค. ด้านความหลง (delusion) คือ ความไม่รู้ ความดื้อดึงในความคิดของเราโดยไม่สนใจบุคคลอื่น การขาดอกเขาอกเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา ความอหังการ ความมีอคติต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่ตรงกับใจตนเอง เช่น อคติเพราะรัก อคติเพราะไม่ชอบ อคติเพราะกลัว อคติเพราะไม่รู้ เป็นต้น
๑.๒ สิ่งที่ดี ควรนำไปตั้งปณิธาน
ก. ด้านศีล (training in higher morality) คือ ความประพฤติดีทางกายและวาจา สำรวมระมัดระวัง เช่น ๑. จะพูดดีต่อคนอื่น ๒. จะปัดกวาดบ้านให้เรียบร้อย ๓. ทำความสะอาดลานวัด ศาลา ห้องน้ำ ๔. ฯลฯ
ข. ด้านสมาธิ (training in higher mentality) คือ รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกจิตใจ และสอนจิตสอนใจของเรา ถ้าเราผิดจากสิ่งที่ให้สัจจะในการควบคุมจิตใจแล้ว เราต้องรู้จักลงโทษตนเองด้วย เช่น
๑. ทุกวันจะสวดมนต์ไหว้พระ ๑๕ นาที ถ้าไม่ถึงเวลาจะไม่ลุกไปไหน
๒. จะนั่งทำสมาธิ ๑๐ นาที ถ้าไม่ถึงเวลาจะไม่ยอมออกจากสมาธิ
ค. ด้านปัญญา (training in higher wisdom) คือ การศึกษาเรียนรู้ให้เกิดสติปัญญา สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญญาได้มีด้วยกัน ๔ ทาง คือ สุ. จิ. ปุ. ลิ. ก็คือ
"สุ" มาจากคำว่า สุตตะ คือ รู้จักฟังผู้รู้
"จิ" มาจากคำว่า จินตะ การคิด พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน รอบครอบ มีโยนิโสมนสิการ
"ปุ" มาจากคำว่า ปุจฉา การถามไถ่ผู้รู้ ซักถามครูบาอาจารย์
"ลิ" มาจากคำว่า ลิขิต การเขียนจดสิ่งที่เราได้เรียนรู้ หากจำไม่ได้ก็ต้องจด เป็นต้น และเราอาจจะศึกษาเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ พระภิกษุ สามเณร หนังสือ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น เช่น
๑) ในหนึ่งวันฉันจะศึกษาเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจวันละข้อ ยกตัวอย่างเช่น หัวข้อคำว่า "เมตตา" เมตตาคืออะไร แปลว่าอะไร จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เราได้ปฏิบัติแล้วแค่ไหน อย่างไร
"กรุณา" กรุณาคืออะไร? แปลว่าอะไร? จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ? เราได้ปฏิบัติแล้วแค่ไหน? อย่างไร? เป็นต้น
๒. พิจารณาการกระทำของตนเอง ว่าถูกหรือผิดและจะแก้ไขอย่างไร แล้วให้ผู้รู้ กัลยาณมิตรตรวจสอบว่า ถูกต้องหรือไม่ และการแก้ไขจะถูกหรือเหมาะสมอย่างไร เช่น วันนี้ไปซื้ออาหารกับข้าวแต่เงินไม่พอจ่าย เรานำพฤติกรรมนี้มาตรวจสอบพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ วิธีแก้ไข หรือใช้หลักพิจารณากรรม ๕ หลักพิจารณาวิบาก ๗ มาตรวจสอบ
๒.๑ จิตมุทิตาต่อคนอื่น คือ เราไม่ไปเบียดเบียนบุคคลอื่น ไม่ไปทำให้คนอื่นยุ่งยากลำบากใจ เช่น เห็นเขากำลังทำโน้นนี่อยู่ กำลังเหนื่อยอยู่ แม้ว่าเราเป็นนายจ้างเขา เราไม่ไปใช้เขาในขณะนั้น รอให้เขาพักเหนื่อยก่อน แล้วค่อยสั่งงานเขาทำงานต่อไป และเขากำลังนอนหลับอยู่ เราไม่ทำเอะอะเสียงดังไปรบกวนเขา เป็นต้น
๒.๒ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต เช่น
wกินเจ งดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ
wใช้สิ่งของด้วยความกตัญญู รู้คุณสิ่งของ ใช้อย่างสำรวม เมื่อเสร็จกิจก็นำไปเก็บยังที่อยู่ให้เรียบร้อย
๒.๓ ช่วยเหลือคนอื่น คือ มีจิตจาคะเสียสละ ช่วยเหลือ มีจิตเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกไปในทางอบาย
การกินเจ ด้วยเจริญมุทิตาจิต โดยมีพระโพธิสัตว์พระแม่กวนอิมนำพาเรากินเจบำเพ็ญธรรม
หลักปฏิบัติ กินเจ (食齋)
ในช่วงเทศกาลกินเจ ในแต่ละบุคคลจะมีวิธีปฏิบัติตนในการกินเจที่แตกต่างกันไป แต่โดยหลักแล้วการกินเจนั้นควรมีการบำเพ็ญซึ่งจะก่อให้เกิดบุญกุศลอย่างเต็มที่ ในการกินเจนั้นเราควรปฏิบัติตนด้วยกัน ๒ ประการ คือ
๑. ด้านสุขภาพ
การกินเจเพื่อสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง ในด้านสุขภาพนั้น แบ่งแยกออกเป็น ๒ ทางคือ
๑.๑ สุขภาพทางกาย คือ การกินอาหารที่ปลอดจากสารพิษ สารเคมี จะเน้นกินอาหารที่คุณค่าต่อร่างกาย และงดอาหารที่มีโทษต่อร่างกาย
๑.๒ สุขภาพทางจิต คือ การเสพสิ่งที่ทำให้เราเบิกบานใจ มีความเอิบอิ่มใจ ความสงบ ไม่เคร่งเครียดกับสิ่งต่างๆ ที่มายก-ยั่ว-ยุ รู้จักการปล่อยวาง นำจิตใจอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม เป็นต้น
๒. ด้านจิตมุทิตาปรารถนาดี
ด้านการตั้งฐานจิตมุทิตาปรารถนาดี คือ การตั้งเจตนาของเราไปในทางที่ดี ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ไม่ไปเบียดเบียนใคร หากใครตกทุกข์ได้ยาก เราก็มีจิตเมตตาปรารถนาเข้าไปช่วยเหลือเขา
๑. จิตมุทิตาต่อตนเอง คือ การปฏิบัติขัดเกลาจิตใจของตนเอง นำสิ่งที่ไม่ดีที่อยู่ในจิตใจของเราพยายามเอาออก เช่น ความโลภ โกรธ หลง ความอาฆาต ความพยาบาท การเอาแต่ใจตนเอง เป็นต้น และเราควรตั้งปฏิญาณตนว่า สิ่งใดที่เป็นนิสัยหรือพฤติกรรมที่ไม่ดีของเราที่เราจะถอนออก เราก็จะต้องตั้งใจทำ
ยกตัวอย่างในการตั้งปณิธานในการประพฤติวัตรปฏิบัติช่วงเทศกาลกินเจ ได้แก่
๑.๑ สิ่งไม่ดี ควรละ
ก. ด้านความโลภ (greed) คือ การเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่น ความเบียดเบียน ความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว เป็นต้น
ข. ด้านความโกรธ (hatred) คือ ความอาฆาต ความพยาบาท การจองเวรที่จะเอาคืน การประชดประชัน ความมีโทสะ ความเป็นคนใจร้อน ชอบดุด่าว่ากล่าวคนอื่น ชอบนินทา เป็นต้น
ค. ด้านความหลง (delusion) คือ ความไม่รู้ ความดื้อดึงในความคิดของเราโดยไม่สนใจบุคคลอื่น การขาดอกเขาอกเรา เอาใจเขามาใส่ใจเรา ความอหังการ ความมีอคติต่อสิ่งต่างๆ ที่ไม่ตรงกับใจตนเอง เช่น อคติเพราะรัก อคติเพราะไม่ชอบ อคติเพราะกลัว อคติเพราะไม่รู้ เป็นต้น
๑.๒ สิ่งที่ดี ควรนำไปตั้งปณิธาน
ก. ด้านศีล (training in higher morality) คือ ความประพฤติดีทางกายและวาจา สำรวมระมัดระวัง เช่น ๑. จะพูดดีต่อคนอื่น ๒. จะปัดกวาดบ้านให้เรียบร้อย ๓. ทำความสะอาดลานวัด ศาลา ห้องน้ำ ๔. ฯลฯ
ข. ด้านสมาธิ (training in higher mentality) คือ รู้จักควบคุมจิตใจ ฝึกจิตใจ และสอนจิตสอนใจของเรา ถ้าเราผิดจากสิ่งที่ให้สัจจะในการควบคุมจิตใจแล้ว เราต้องรู้จักลงโทษตนเองด้วย เช่น
๑. ทุกวันจะสวดมนต์ไหว้พระ ๑๕ นาที ถ้าไม่ถึงเวลาจะไม่ลุกไปไหน
๒. จะนั่งทำสมาธิ ๑๐ นาที ถ้าไม่ถึงเวลาจะไม่ยอมออกจากสมาธิ
ค. ด้านปัญญา (training in higher wisdom) คือ การศึกษาเรียนรู้ให้เกิดสติปัญญา สิ่งที่จะทำให้เกิดปัญญาได้มีด้วยกัน ๔ ทาง คือ สุ. จิ. ปุ. ลิ. ก็คือ
"สุ" มาจากคำว่า สุตตะ คือ รู้จักฟังผู้รู้
"จิ" มาจากคำว่า จินตะ การคิด พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน รอบครอบ มีโยนิโสมนสิการ
"ปุ" มาจากคำว่า ปุจฉา การถามไถ่ผู้รู้ ซักถามครูบาอาจารย์
"ลิ" มาจากคำว่า ลิขิต การเขียนจดสิ่งที่เราได้เรียนรู้ หากจำไม่ได้ก็ต้องจด เป็นต้น และเราอาจจะศึกษาเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ พระภิกษุ สามเณร หนังสือ อินเตอร์เน็ต เป็นต้น เช่น
๑) ในหนึ่งวันฉันจะศึกษาเรียนรู้ธรรมะให้เข้าใจวันละข้อ ยกตัวอย่างเช่น หัวข้อคำว่า "เมตตา" เมตตาคืออะไร แปลว่าอะไร จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร เราได้ปฏิบัติแล้วแค่ไหน อย่างไร
"กรุณา" กรุณาคืออะไร? แปลว่าอะไร? จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ? เราได้ปฏิบัติแล้วแค่ไหน? อย่างไร? เป็นต้น
๒. พิจารณาการกระทำของตนเอง ว่าถูกหรือผิดและจะแก้ไขอย่างไร แล้วให้ผู้รู้ กัลยาณมิตรตรวจสอบว่า ถูกต้องหรือไม่ และการแก้ไขจะถูกหรือเหมาะสมอย่างไร เช่น วันนี้ไปซื้ออาหารกับข้าวแต่เงินไม่พอจ่าย เรานำพฤติกรรมนี้มาตรวจสอบพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ วิธีแก้ไข หรือใช้หลักพิจารณากรรม ๕ หลักพิจารณาวิบาก ๗ มาตรวจสอบ
๒.๑ จิตมุทิตาต่อคนอื่น คือ เราไม่ไปเบียดเบียนบุคคลอื่น ไม่ไปทำให้คนอื่นยุ่งยากลำบากใจ เช่น เห็นเขากำลังทำโน้นนี่อยู่ กำลังเหนื่อยอยู่ แม้ว่าเราเป็นนายจ้างเขา เราไม่ไปใช้เขาในขณะนั้น รอให้เขาพักเหนื่อยก่อน แล้วค่อยสั่งงานเขาทำงานต่อไป และเขากำลังนอนหลับอยู่ เราไม่ทำเอะอะเสียงดังไปรบกวนเขา เป็นต้น
๒.๒ ไม่เบียดเบียนสิ่งมีชีวิต เช่น
wกินเจ งดเว้นจากการกินเนื้อสัตว์ต่างๆ
wใช้สิ่งของด้วยความกตัญญู รู้คุณสิ่งของ ใช้อย่างสำรวม เมื่อเสร็จกิจก็นำไปเก็บยังที่อยู่ให้เรียบร้อย
๒.๓ ช่วยเหลือคนอื่น คือ มีจิตจาคะเสียสละ ช่วยเหลือ มีจิตเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล และป้องกันไม่ให้ผู้อื่นตกไปในทางอบาย
การกินเจ ด้วยเจริญมุทิตาจิต โดยมีพระโพธิสัตว์พระแม่กวนอิมนำพาเรากินเจบำเพ็ญธรรม