การไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ผมเข้าใจว่าเกิดจาก การขาดข้อมูลบางอย่างที่ยังไม่รู้ไม่มี
หรือไม่ก็ในคลังข้อมูลที่มีอยู่ต้องมีความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
เมื่ออวิชชาดับ.....ฯ วิญญาณดับ ...ทุกข์ดับ ฯ แล้วอรหันต์ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว เหตุปัจจัยอะไร ยังมีนามรูป ยังมีวิญญาน ยังมีเวทนา สัญญา วิตก เกิดขึ้น / นอกเสียจากว่าแม้ไม่มีอวิชชาแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีก ที่ยังทำให้ขันธ์เหล่านี้ยังเกิดต่อไป
/ คือถ้าใครเข้าใจแบบว่า เอาออกซิเจน1อะตอมไฮโดรเจน2 อะตอมทำปฏิกริยากันจะได้น้ำ1โมเลกุล
แล้วมีคนบอกว่า ถ้าไม่มีอ๊อกไม่มีไฮ แล้วก็จะไม่เกิดน้ำ
แต่ น้ำก็ยังเกิดได้อีก อุปมาอ๊อก/ไฮคืออวิชชา วิญญาณ หรือ นามรูป คือน้ำ
หรือคล้ายๆกับว่ามันไม่ได้เป็นเหตุแบบเด็ดขาด
/ แม้ว่าบางท่านชี้ว่า กายนี้คือกรรมเก่าฯ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
/ 1. ถ้าไม่มีอวิชชา สังขารจะมีได้ไหม ถ้ากล่าวว่า สังขารคือ สังขารที่เป็นบุญ บาป ไม่บุญไม่บาป แล้วในขั้นนี้ วิญญาณและนามรูปเกิดหรือยัง หรือยังไม่เกิด หรือต้องรอไป ขยับไปขึ้นต่อๆไป ทีนี้ก็อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจ มันไม่ใช่มีตัวอวิชชาที่เป็นตัวๆ เพราะแม้แต่อวิชชาก็มีเหตุมีปัจจัย
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี อวิชชา มีกลไกการทำงานอย่างไร จึงไปทำให้สังขารจึงมี อย่างออกซิเจนกับโฮโดรเจนเขาก็บอกได้ในทางฟิสิกส์เคมีว่าทำปฏิกริยากันอย่างนั้นๆ เกิดพันธเคมีอย่างนั้นๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ในอตอมอย่างนั้นๆ
/ 2. ถ้าไม่มีอวิชชา วิญญาณจะมีได้ไหม ทำไมอรหันต์ไม่มีอวิชชา จึงยังมีวิญญาณเมื่อยังไม่ดับขันธ์
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
/3. นามรูปประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา (เจตนา ผัสสะ มนสิการ น่าจะเป็นกองสังขาร) และรูป ก็ถ้าพิจารณาในเชิงขันธ์ 5 นามรูป ก็คืออารมณ์ของวิญญาณ นั่นเอง วิญญาณต้องมีอารมณ์ถึงจะเกิดปรากฎได้ นามรูปก็ต้องมีวิญญาณเป็นตัวรับรู้ถึงปรากฏได้ เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกันและกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ตั้งอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนคำถามที่ 2 ก็อรหันต์ก็ยังมีนามรูป และวิญญาณเกิดปรากฏ ดับปรากฏ
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
/4. ตา-กาย รูป-โผฏฐัพพะ เป็นรูป มโนหรือใจ และธรรมมารมณ์ เป็นนาม ข้อนี้ก็เหมือนแยกวิเคราะห์องค์ประกอบ นามรูป=>สฬายตนะ แต่ สฬายตนะ ไม่ใช่ปัจจัยของนามรูป ต่างจากข้อ 3. วิญญาณ<=>นามรูป เป็นปัจจัยแก่กันและกันไปมา จะเห็นว่าปฏิจจแต่ละช่วง ลักษณะของการเป็นปัจจัยแก่กัน ก็ต่างกัน
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ
ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี
เมื่ออวิชชาดับ...ฯ วิญญาณดับ ... ทุกข์ดับ ฯ แล้วอรหันต์ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว เหตุปัจจัยอะไร ยังมีนามรูป (ยังไม่กายแตก)
หรือไม่ก็ในคลังข้อมูลที่มีอยู่ต้องมีความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง หรืออาจจะทั้งสองอย่าง
เมื่ออวิชชาดับ.....ฯ วิญญาณดับ ...ทุกข์ดับ ฯ แล้วอรหันต์ท่านไม่มีอวิชชาแล้ว เหตุปัจจัยอะไร ยังมีนามรูป ยังมีวิญญาน ยังมีเวทนา สัญญา วิตก เกิดขึ้น / นอกเสียจากว่าแม้ไม่มีอวิชชาแล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีก ที่ยังทำให้ขันธ์เหล่านี้ยังเกิดต่อไป
/ คือถ้าใครเข้าใจแบบว่า เอาออกซิเจน1อะตอมไฮโดรเจน2 อะตอมทำปฏิกริยากันจะได้น้ำ1โมเลกุล
แล้วมีคนบอกว่า ถ้าไม่มีอ๊อกไม่มีไฮ แล้วก็จะไม่เกิดน้ำ
แต่ น้ำก็ยังเกิดได้อีก อุปมาอ๊อก/ไฮคืออวิชชา วิญญาณ หรือ นามรูป คือน้ำ
หรือคล้ายๆกับว่ามันไม่ได้เป็นเหตุแบบเด็ดขาด
/ แม้ว่าบางท่านชี้ว่า กายนี้คือกรรมเก่าฯ
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
/ 1. ถ้าไม่มีอวิชชา สังขารจะมีได้ไหม ถ้ากล่าวว่า สังขารคือ สังขารที่เป็นบุญ บาป ไม่บุญไม่บาป แล้วในขั้นนี้ วิญญาณและนามรูปเกิดหรือยัง หรือยังไม่เกิด หรือต้องรอไป ขยับไปขึ้นต่อๆไป ทีนี้ก็อวิชชา คือ ความไม่รู้ในอริยสัจ มันไม่ใช่มีตัวอวิชชาที่เป็นตัวๆ เพราะแม้แต่อวิชชาก็มีเหตุมีปัจจัย
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี อวิชชา มีกลไกการทำงานอย่างไร จึงไปทำให้สังขารจึงมี อย่างออกซิเจนกับโฮโดรเจนเขาก็บอกได้ในทางฟิสิกส์เคมีว่าทำปฏิกริยากันอย่างนั้นๆ เกิดพันธเคมีอย่างนั้นๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ในอตอมอย่างนั้นๆ
/ 2. ถ้าไม่มีอวิชชา วิญญาณจะมีได้ไหม ทำไมอรหันต์ไม่มีอวิชชา จึงยังมีวิญญาณเมื่อยังไม่ดับขันธ์
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
/3. นามรูปประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา (เจตนา ผัสสะ มนสิการ น่าจะเป็นกองสังขาร) และรูป ก็ถ้าพิจารณาในเชิงขันธ์ 5 นามรูป ก็คืออารมณ์ของวิญญาณ นั่นเอง วิญญาณต้องมีอารมณ์ถึงจะเกิดปรากฎได้ นามรูปก็ต้องมีวิญญาณเป็นตัวรับรู้ถึงปรากฏได้ เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยกันและกัน เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน ตั้งอยู่ด้วยกัน ก็เหมือนคำถามที่ 2 ก็อรหันต์ก็ยังมีนามรูป และวิญญาณเกิดปรากฏ ดับปรากฏ
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงมี
/4. ตา-กาย รูป-โผฏฐัพพะ เป็นรูป มโนหรือใจ และธรรมมารมณ์ เป็นนาม ข้อนี้ก็เหมือนแยกวิเคราะห์องค์ประกอบ นามรูป=>สฬายตนะ แต่ สฬายตนะ ไม่ใช่ปัจจัยของนามรูป ต่างจากข้อ 3. วิญญาณ<=>นามรูป เป็นปัจจัยแก่กันและกันไปมา จะเห็นว่าปฏิจจแต่ละช่วง ลักษณะของการเป็นปัจจัยแก่กัน ก็ต่างกัน
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ
ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี