เรื่องเล่าจากผู้สูงอายุ

คุยกันเรื่องของคนสูงวัย....

        "ชอบของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง หนังตาย่น ฉี่ไม่พ้นหัวแม่เท้า" เป็นคำกล่าวที่บรรยายสรรพคุณของผู้สูงวัย(น่าจะเป็นผู้ชาย)ได้อย่างชัดเจน จนเห็นภาพ โดยไม่ต้องขยายความเพิ่มเติมแต่ประการใด

            ผมมาพิจารณาดูจากตัวเองและพี่น้องพ้องเพื่อนรอบๆตัว ซึ่งล้วนแต่ผู้สูงอาย พอจะแบ่ง สว. (ผู้สูงวัย) เท่าที่ผมเห็น ได้ออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ดังจะเล่าสู่กันฟัง 

          ทั้งนี้ ก่อนอื่นต้องขอเรียนให้ทราบว่าเป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ มิมีหลักเกณฑ์ หรือผลงานทางวิชาการใดมาอ้างอิง จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องเล่าสู่กันฟัง ตามประสาเรื่องเล่าจากผู้สูงอายุ ทั้งกลุ่มเป้าหมายที่นำมาเล่าก็เป็นกลุ่มเฉพาะรอบตัวผม โดยแท้

              ผู้สูงวัยประเภทแรก  เป็นพวกที่อยู่นิ่งๆ ลดการสังคม การพูดการจา การพบปะ จะปลีกวิเวก ชมชอบกับการอยู่เงียบๆอ่านหนังสือหนังหา ไปตามเรื่อ  จากอดีตที่เคยโลดโผนหัวหกก้นขวิด กลับลำสามร้อยหกสิบองศา มาหาความสงบจากต้นไม้ ใบไม้  ดอกไม้ โลกภายนอกจะเป็นอย่างไร ไม่สนใจ ขอเพียงแต่มีบำนาญกิน มีเงินพอใช้ มีบ้านอยู่ โดยยึดหลักว่า "หมดเวลาแล้ว หมดยุคแล้ว ปล่อยให้คนรุ่นต่อไป เขาว่ากันเอง เราเตรียมตัวเดินทางต่อดีกว่า" คนกลุ่มนี่ถ้าเอาเรื่องหนักๆ ไกลตัวเช่นเรื่องการบ้าน การเมืองรวมทั้งการมุ้ง ไปคุยด้วย จะเดินหนีดื้อๆ

             ชนพวกนี้ จะไม่ใช้(เล่น) โซเชียล มีเดีย เช่น เฟสบุค,อินสตราแกรม,ทวิตเตอร์ ฯ อย่างมากที่สุดก็จะใช้แค่ ไลน์ เผลอๆบางคนรำคาญที่จะตอบพาลลบทิ้งก็มี ทั้งนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า ไปรู้เรื่องของคนอื่นทำไม(ว่ะ) ข้าวก็ซื้อกินเอง ค่าน้ำค่าไฟฯ ก็ออกเอง ป่วยการรู้ว่ะ ใครจะขึ้นช้างลงม้า ขึ้นเขาลงทะเลก็เชิญ เรื่องใครเรื่องเขา เราไม่เกี่ยวแถมมีมติเห็นพ้องคล้ายๆกันว่า"ชีวิตที่เหลือ เพื่อตัวเอง" เพราะทำมาก็มากมายแล้ว ภาระต่างๆก็หมดแล้ว ดูแลจิตใจ ร่างกายตัวเองไปตามสภาพดีกว่า

        จะว่าไปก็คล้ายชนในอาศรม ๔ ศาสนาฮินดูระยะชีวิตที่ ๓,๔ ที่ว่า "เมื่อคฤหัสถ์ผู้ใดมีผมหงอก และได้เห็นบุตรของบุตร พึงเข้าสู่อาศรมวนปรัสถ์ ออกไปบำเพ็ญพรตในป่า ทิ้งภรรยาให้อยู่กับบุตรหลาน โดยศึกษาคัมภีร์อุปนิษัท เพื่อความเจริญทางจิต ยกจิตให้พ้นโลก เพื่อก้าวไปสู่อาศรมสันนยาสีต่อไป โดยมีเป้าหมายคือ อิ่มเอิบในธรรม ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ยึดในสิ่งใด ไม่บริโภคกาม มีตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อยู่ด้วยความหวังในสุขอันเป็นนิรันดร์" 

      ที่กล่าวมาส่วนมากจะเป็นสว.ท่านชายครับ บางคน(หลายคน) ถึงขนาดออกบวชอยู่วัดป่าตามภูตามดอยก็ไม่น้อย

         ผู้สูงวัยอีกกลุ่ม  จะแตกต่างไปจากกลุ่มแรกโดยสิ้นเชิงเป็นกลุ่ม สว.ผู้มองโลกในแง่รื่นเริง สนุกสนาน ใช้สื่อสังคมทั้งเฟซบุค,ไลน์,ฯ แทบทุกช่องทางในการพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ, เรื่องราวต่างๆทั้งในบ้าน นอกบ้าน ในจังหวัด ในประเทศ ไปจนถึงในโลกกันอย่างเพลิดเพลิน ใครทำอะไร ใครไปไหน ครอบครัวใครเป็นอย่างไร ไม่พลาดที่จะรับรู้ เพื่อแบ่งปันทุกข์สุขกัน มีอะไรดีๆก็ส่งให้กันทางสื่อมิได้ขาด บางทีก็เอาข่าวปลอมที่ไหนไม่ทราบส่งให้กัน พอได้ตื่นเต้นหน่อย เรียกว่าส่งไป ส่งมา ถ้อยทีถ้อยอาศัย ว่างั้นเถอะ 

       วันดี คืนดี ก็นัดกินข้าวกินปลา ร้องเพลง คุยกันสนุกสนานในงานรวมรุ่นมั่ง งานชุมนุมเพื่อนเก่ามั่งฯลฯ และอีกสารพัดงาน เรียกว่าไล่รุ่นกันไม่ถูก จำหน้าเพื่อนไม่ได้ คุยกันไปตั้งนานจนงานจะเลิกถึงได้รู้ว่าคุยกันผิดคนก็บ่อย

         ท่านกลุ่มนี้จะมีความหลังและมีเรื่องคุยกันมากมาย เช่นเรื่องลูก เรื่องครอบครัว สำหรับท่านชายบางครั้งถึงกับเมากันจำเรื่องคุยกันไม่ได้ก็มี 

       เท่าที่ผมเคยไปร่วมงานคนกลุ่มนี้ยังมียศฐาบรรดาศักดิ์ เวลาเรียกขานกันในงาน ส่วนมากจะเรียกตำแหน่งเก่าๆ เพื่อให้อีกฝ่ายเรียกตนด้วยตำแหน่งเช่นกัน ดูแล้วเป็นงานที่น่าเกรงขามดีไม่เบา

       เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มนี้ จะพูดจาทันสมัย รู้ทุกเรื่อง มักจะพูดแข่งกัน หามีผู้ยอมฟังโดยดุษณีไม่ เพราะล้วนแต่ผู้รู้ ใครพูดอะไรมา ต้องแย้งไว้ก่อน ผมเคยเห็นท่านในกลุ่มนี้เวลาแลกเปลี่ยนเบอร์โทรกัน หรือจะเอาชื่อเพื่อนลงแอปไลน์ ต้องจดไปให้ลูกหลานทำให้ก็บ่อย อันนี้ก็ไม่ว่ากัน 

        ครับ ชีวิตช่วงสุดท้ายก็ชีวิตใครชีวิตเขา เลือกใช้กันตามชอบ ไม่มีถูกไม่มีผิด ตำหนิติติงกันหาได้ไม่ สุขใคร สุขเขา ว่างั้นเถอะ

                                                ขอให้มีความสุขกับชีวิตทุกท่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่