JJNY : 5in1 ยื่นพยานเพิ่มคดี 8 ปี│“ก้าวไกล”ฝันอยากเห็นรัฐสวัสดิการ│ศก.เดือน ก.ค.หดตัว│ราคากุ้งลดฮวบ│"ไต้หวัน" ยิงโดรนจีน

ฝ่ายค้าน ยื่นพยานเพิ่ม คดี 8 ปี แนบความเห็น ‘อดีตป.ป.ช.-51 อ.นิติ’ มัดบิ๊กตู่ พ้น 24 ส.ค. 
https://www.matichon.co.th/politics/news_3537079

  
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 31 สิงหาคม ที่รัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยืนหนังสือรายชื่อพยานเพิ่มเติมกรณีการสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อส่งต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อประกอบคำวินิจฉัยโดยมี นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้รับหนังสือแทน หลังศาลรัฐธรรมนูญเรียก นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขานุการ กรธ. เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม
 
นพ.ชลน่านกล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านได้หารือกัน และมีมติเห็นว่าพยานบุคคลทั้ง 2 ท่าน ยังไม่พอเพียงกับการสร้างดุลยภาพของการพิจารณาคดี จึงขอเสนอส่งรายชื่อพยานบุคคล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมให้ศาลรัฐธรรมนูญรับไว้พิจารณา เนื่องจากขณะนี้พบว่าศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้นัดไต่สวนพยาน เพียงแต่ทำบันทึกเป็นคำถามส่งให้นายมีชัย และนายปกรณ์ตอบ แล้วส่งกลับไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงเปลี่ยนวิธีการเป็นการส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมผ่านประธานสภา ไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย ความเห็นของนักวิชาการด้านนิติศาสตร์ทั้ง 51 ท่าน ที่แสดงควมคิดเห็นต่อสังคม เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่มา พร้อมแผ่นดีวีดีบันทึกภาพและเสียง สัมภาษณ์พิเศษ นายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย และ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา และอดีตกรรมการ ป.ป.ช. ต่อประเด็นการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เพื่อยืนยันความเห็นของฝ่ายค้านว่า พล.อ.ประยุทธ์พ้นวาระการดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว
 
“เรื่องนี้เป็นคดีทางการเมือง และข้อกฎหมายเป็นการเฉพาะ ข้อเท็จจริงไม่จำเป็นต้องพิสูจน์กัน เพราะชัดแจ้งอยู่แล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเกิน 8 ปี ติดต่อกัน ทั้งนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ เพราะข้อเท็จจริงได้ปรากฏต่อสาธารณะไปแล้ว” นพ.ชลน่านกล่าว  และว่า อย่างไรก็ตาม ตนยังเชื่อมั่นว่าหลักฐานเพิ่มเติมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน เป็นหลักฐานที่มีเหตุผลชัดเจนในเจตนารมณ์ และหนักแน่นเพียงพอให้ศาลรัฐธรรมนูญนำประเด็นไปสู่การพิจารณาได้
 


“ก้าวไกล” แนะ 5 แนวทาง ฝันอยากเห็นรัฐสวัสดิการ เด็กไทยเรียนฟรี
https://www.matichon.co.th/politics/news_3537405

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) แถลงท่าทีของพรรคต่อร่างพระราชบัญญัติ  (พ.ร.บ.) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่พิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ ว่า พรรค ก.ก. เชื่อว่าการศึกษาเป็นสวัสดิการที่สำคัญ  สำหรับอนาคตของประชาชน และเป็นการลงทุนที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ แม้หลายประเทศจะมีข้อถกเถียง และข้อสรุปที่แตกต่างกัน ถึงระดับชั้นที่รัฐควรอุดหนุนให้ประชาชนได้เรียนฟรี
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า แต่ปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธว่าหากจัดสรรงบประมาณได้เพียงพอ การอุดหนุนให้ประชาชนมีสิทธิเรียนฟรีถึงระดับมหาวิทยาลัย จะเป็นนโยบายที่สร้างโอกาสให้กับผู้คนจำนวนมาก การเรียนมหาวิทยาลัยฟรีจึงเป็นเป้าหมายของพรรคก้าวไกล หากรัฐยังไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อเรียนอุดมศึกษาฟรีได้ในทันที เรามีความจำเป็นต้องแก้ปัญหากยศ. เพื่อรับประกันสิทธิทางการศึกษาของผู้เรียนในช่วงเปลี่ยนผ่าน
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า โดยเสนอ 5 แนวทางต่อที่ประชุมสภาฯ วันนี้ ในการพิจารณาวาระ 2 เพื่อปรับปรุงให้กยศ. มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดภาระต่อผู้เรียน และรักษาความยั่งยืนของกองทุน คือ 
 
1. ทุกคนเข้าถึงสวัสดิการ กยศ. ได้อย่างถ้วนหน้า ด้วยการยกเลิกเกณฑ์พิสูจน์ความจนในการกู้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการตกหล่น และเพื่อยืนยันหลักคิดว่าสวัสดิการกู้ยืมเพื่อการศึกษา ควรเป็นสวัสดิการที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะยากดีมีจน 

2. ขยายเงื่อนไขการให้ทุนเรียนฟรีสำหรับผู้เรียนบางกลุ่ม เพิ่มความยืดหยุ่นให้กองทุน ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกไปสู่การเรียน ปวส.ฟรี หรือ ปริญญาตรีฟรี สำหรับบางกลุ่ม
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า 3.ยกเลิกการมีผู้ค้ำประกันในทุกกรณี 4.ผ่อนปรนเงื่อนไขชำระหนี้ จ่ายคืนต่อเมื่อมีรายได้ ซึ่งผู้เรียนมีสิทธิจ่ายเงินกู้คืนต่อเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี หรือภายในระยะเวลา 30 ปี มีเพดานดอกเบี้ย และเบี้ยปรับไม่เกิน 1% ต่อปี ซึ่งอาจปรับลดเหลือ 0% โดยรัฐอุดหนุนส่วนต่างรายได้กองทุนที่หายไป และอาจมีทางเลือกชำระหนี้เป็นทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด และ 5.ปัญหาสัญชาติที่ค้างคาอยู่ ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการกู้ยืม โดยอนุญาตให้บุคคลที่อยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขปัญหา สถานะให้มีสัญชาติไทยอย่างถูกต้องครบถ้วน ไม่เสียสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการ กยศ.
 

 
เศรษฐกิจเดือน ก.ค.หดตัว ส่งออกร่วง-ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.1 พันล.เหรียญสหรัฐ
https://www.matichon.co.th/economy/news_3537464
 
ธปท. เผยเศรษฐกิจเดือน ก.ค.หดตัว ส่งออกร่วง-ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.1 พันล.เหรียญสหรัฐ
  
เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารการสื่อสารองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า  เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม 2565 ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาคการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับลดลงหลังจากเร่งลงทุนไปในช่วงก่อนหน้า แม้จะเห็นการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่บางจุดเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวลงและค่าครองชีพที่อยู่ระดับสูง

อย่างไรก็ตาม ภาคบริการยังคงปรับดีขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวภายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นถึง 1.12 ล้านคน เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าที่มีนักท่องเที่ยว 767,000 คน โดยรวม 7 เดือนที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่ 3.2 ล้านคน
 
ขณะที่มูลค่าการส่งออกลดลงที่ระดับ 3.4% ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 11.1% จากหมวดโลหะตามความต้องการในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่ลดลง และส่วนใหญ่เป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามอุปสงค์โลกลดลง นอกจากนี้ เครื่องชี้วัดการลงทุนภาคเอกชนอยู่ที่ระดับ 5.7% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 5.9% ปลัดลดลงตามการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่เร่งไปในเดือนก่อน
 
ขณะเดียวกันการใช้จ่ายภาครัฐไม่รวมเงินโอนหดตัว เมื่อเทียบระยะเดียวกันปีก่อน เห็นได้จากตามรายจ่ายลงทุนของรัฐบาลกลางหลังมีการเร่งเบิกจ่ายไปในช่วงต้นปีงบประมาณ โดยรายงานลงทุนรัฐบาลกลางหดตัว 16.6% และรายงานลงทุนของรัฐวิสาหกิจปรับเพิ่มขึ้น 54.2% ตามการเบิกจ่ายในโครงการด้านคมนาคมแต่โดยรวมถือว่าหดตัว
 
“แนวโน้มเดือนสิงหาคมคาดว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้ระยะต่อไปยังมีปัจัยต้องติดตาม 1.การปรับเพิ่มขึ้นของต้นทุน ค่าจ้าง และราคาสินค้า 2.อุปสงค์ต่างประเทศที่อาจชะลอตัว และ 3.การแพร่ระบาดโควิด และนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ” นางสาวชญาวดีกล่าว
 
นางสาวชญาวดี กล่าวว่า แม้ด้านดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเพิ่มขึ้น โดยเดือนกรกฎาคมดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้นจากดุลการค้าที่กลับมาขาดดุลตามมูลค่าการส่งออกที่ลดลงและการนำเข้าทองคำที่เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันดุลบริการ รายได้ และเงินโอนที่ขาดดุลใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า
 
ขณะที่ด้านอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลงต่อเนื่องตามการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐ จากการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพื่อลดแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐที่เพิ่มขึ้น เนื่องตลาดกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบส่งผลให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์เสียงมากขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม สำหรับเดือนสิงหาคม ข้อมูลหลังจากวันที่ 26 สิงหาคม อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อเงินเหรียญสหรัฐเฉลี่ยแข็งค่าขึ้นช่วงแรกของเดือนตามบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐลดลง และตลาดคลายความกังวลมากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้น
 
โดยค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าตามตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2565 ที่ลดลงกว่าที่คาดการณ์ และเงินบาทไทยอ่อนค่าตามเงินหยวนของจีน เนื่องจากความเสี่ยงด้านอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 1-25 สิงหาคม ค่าเงินบาทเทียบกับในภูมิภาคเดียวกันยังถือว่าอยู่ในระดับแข็งค่า นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนกรกฎาคมอยู่ระดับ 7.61% ใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ 7.66% หลักๆ อัตราเงินเฟ้อในหมวดพลังงานชะลอลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อหมวดอาหารสดเร่งขึ้นตามราคาผักและราคาเนื้อสัตว์ส่งผลให้เงินเฟ้อยังอยู่ระดับสูง
 
นางสาวชญาวดี กล่าวว่า สำหรับการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เน้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ โดยส่วนนี้ก็มีผลต่อค่าเงินบาท หากดูช่วงที่ผ่านมาหลังวันที่ 26 สิงหาคม หลังจากประธานเฟดได้กล่าวเน้นย้ำต่อการดำเนินนโยบายด้านการเงินต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์ทั่วโลกปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการตัดสินใจทำนโยบายก็ต้องดูตามบริบทของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามที่ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่าจะดำเนินนโยบายภายใต้บริบทการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง และการทำนโยบายต้องทำให้การฟื้นตัวไม่สะดุด
 
“อย่างไรก็ตาม ความกังวลในแง่ของภาพรวมก็เป็นไปตามบริบทเศรษฐกิจ สำหรับเรื่องของการเคลื่อนย้ายเงินทุนยังมีการหมุนเวียนปกติ และยังเห็นเงินทุนที่ไหลเข้า แม้จะมีเงินไหลออกไปตามตลาดพันธบัตร แต่ตลาดหุ้นยังคงมีการไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง” นางสาวชญาวดีกล่าว
 
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/2565 จะกระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง แต่มีผลจากทั้ง 2 ฝั่ง คือผลบวกเรื่องการท่องเที่ยวจะกลับมา เนื่องจากนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น และไม่เกิดอุปสรรคใหม่ ขณะเดียวกันผลจากภาคท่องเที่ยวฟื้นตัวจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลกลับมาขาดดุลน้อยลงจากที่นักท่องเที่ยวเข้ามาช่วยเสริมให้ภาพเศรษฐกิจคึกคักขึ้น
 

 
คนเลี้ยงกุ้ง ทุกข์หนัก ราคากุ้งลดฮวบ กิโลละ 20 บ. หลังมีมตินำเข้ากุ้งหมื่นตัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_3536884
 
เครือข่ายผู้เลี้ยงกุ้งสุดทน เรียกร้อง บอร์ดกุ้ง หยุดการนำเข้ากุ้ง จากเอกวาดอร์ และอินเดีย หมื่นตัน แล้วหันมาส่งเสริมการเลี้ยงเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตให้ได้ตามที่ต้องการ เผยหลังมตินำเข้ากุ้งราคาดิ่งทันทีกิโลกรัมละ 20 บาท ผู้เลี้ยงเดือดร้อนหนัก สูญเสียเอกราชทางอาชีพ
 
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมนี้  เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งกำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก หลังจากคณะกรรมการบริหารจัดการห่วงโซ่การผลิตกุ้งทะเลและผลิตภัณฑ์ (Shrimp Board) หรือบอร์ดกุ้ง มีมตินำเข้ากุ้ง กว่า 1 หมื่นตัน จาก เอกวาดอร์ และอินเดีย โดยอ้างว่า ไทยผลิตกุ้งได้ไม่เพียงพอต่อการเข้าสู่อุตสาหกรรมกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้ง โดยเฉพาะรายย่อย ซึ่ง ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งได้รับผลกระทบแล้ว เนื่องจากราคากุ้งในตลาด ปรับลดลงถึงกิโลกรัมละ10- 20 บาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่