ขอเล่าก่อนว่า ก่อนหน้าเราตกงานประมาณ3เดือน เเล้วบังเอิญไปสมัครงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง แล้วผ่านไปหนึ่งสัปดาห์เค้าโทรมาแจ้งว่ารับเราเข้าทำงานและนัดวันเริ่มงาน แต่เราก็ลังเลอยู่เพราะด้วยเนื้องานไม่ตรงกับประสบการณ์ที่ทำมาและบริษัทอยู่ไกลจากบ้านพอสมควรแถมเงินเดือนที่ได้เท่ากับเด็กจบใหม่(ไม่มีค่าประสบการณ์ให้เลย)ยังต้องเข้างานเช้าดึกด้วย เราเลยไม่ได้ตอบรับไปในทีแรก(บอกเค้าว่าขอคิดดูก่อน) พอผ่านไปอีก1สัปดาห์(ประมาณต้นเดือน) ทางบริษัทนั้นโทรมาหาเราอีกว่ารอคำตอบเราอยู่ ตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้งาน(รอผลสัมภาษณ์งานอีก3ที่) เราเลยคิดว่าตกลงทำที่นี่ไปก่อนล่ะกันระหว่างรอผลจากนั้นเรานัดเริ่มงานกลางอาทิตย์ต้นเดือน เริ่มงาน ผ่านไปได้วันเดียวบริษัทที่ไปสัมภาษณ์มาก็ตอบกลับมาว่ารับเข้าทำงานถึง3ที่ในวันเดียวกัน(หัวปวด) จากนั้นเราก็ทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆเพราะตกลงกับเค้าแล้วไม่อยากเสียคำพูด วันแรกงานที่ทำงานก็หนักหน่วงมาก ทั้งวิ่ง ทั้งยืน ทั้งวัน เราไม่กล้าออกกลางคันอุตส่าห์ลงแรงไปเลยอดทนทำมาจนคิดว่าวันที่ 31 เราจะชิ่งไปเลยไม่แจ้งไม่บอกลาออก แต่ความคิดในหัวตีกันยุ่งเหยืงระหว่างฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว
(ที่เราไม่บอกลาออกล่วงหน้าเพราะเราเคยเห็นน้องในแผนกโดนระงับเงินเดือนไม่จ่ายเงินที่ทำมาเลยแต่ถ้าเราชิ่งออก เราก็ได้เงินเดือนที่ถูกหักเงินประกันงาน ค่าขุด กับประกันสังคมไปแล้วนะ) จะผิดมากไหมทุกคน เรารู้สึกไม่สบายใจ
ฝ่ายดี : ทำจนถึง31 (สุดท้าย)เพราะมีงานเก็บของลงรายการ
ฝ่ายชั่ว : ชิ่งเลย เก็บรายการ กลับดึกดื่นค่อนคืน รถเมล์หมดต้องนั่งแท็กซี่จ่ายตังค์เอง(2-3ร้อย)บริษัทไม่จ่ายให้
ฝ่ายดี : แต่มันหน้าที่เรานะ แผนกเรามีแต่คนลาพักร้อนกับคนท้องนะ เราต้องทำสิ
ฝ่ายชั่ว : กลับดึก ไปทำงานที่ใหม่ไหวหรอ ถ้าไปไม่ทันงานใหม่คือพังนะ
จะผิดมากไหม
(ที่เราไม่บอกลาออกล่วงหน้าเพราะเราเคยเห็นน้องในแผนกโดนระงับเงินเดือนไม่จ่ายเงินที่ทำมาเลยแต่ถ้าเราชิ่งออก เราก็ได้เงินเดือนที่ถูกหักเงินประกันงาน ค่าขุด กับประกันสังคมไปแล้วนะ) จะผิดมากไหมทุกคน เรารู้สึกไม่สบายใจ
ฝ่ายดี : ทำจนถึง31 (สุดท้าย)เพราะมีงานเก็บของลงรายการ
ฝ่ายชั่ว : ชิ่งเลย เก็บรายการ กลับดึกดื่นค่อนคืน รถเมล์หมดต้องนั่งแท็กซี่จ่ายตังค์เอง(2-3ร้อย)บริษัทไม่จ่ายให้
ฝ่ายดี : แต่มันหน้าที่เรานะ แผนกเรามีแต่คนลาพักร้อนกับคนท้องนะ เราต้องทำสิ
ฝ่ายชั่ว : กลับดึก ไปทำงานที่ใหม่ไหวหรอ ถ้าไปไม่ทันงานใหม่คือพังนะ