แชร์เครื่องมือค้นหาตัวเองและงานที่ใช่จากตัวตนภายใน สำหรับเด็กจบใหม่และท่านที่กำลังหลงทาง By Livelymelanies

Welcome ยิ้ม
Cheers to life. <3

สวัสดีค่า มิ้วเอง หลังจากเคยเล่า prologue ชีวิตตัวเองในกระทู้ลุยเดี่ยวที่ตุรกีมาแล้ว เคยสัญญาไว้ว่าจะเอาเครื่องมือที่มิ้วใช้ทั้งหมด ในการค้นหาตัวตน กลับมาได้อีกครั้งในตอนที่หลงทางจากการทำงานประจำครั้งแรกฉบับเด็กจบใหม่ และการเดินทางในการตามล่าความสำเร็จในรูปแบบของมิ้วเองมาแชร์ต่อ เพื่อให้คนที่กำลังหลงทาง หรือเพื่อนๆพี่ๆน้องๆเด็กจบใหม่ ลาออกจากงานแรกหรือใครก็ตามที่บังเอิญมาเจอกระทู้นี้ได้อ่าน ลองถามตัวเอง ซื่อสัตย์กับตัวเองสักครั้ง และได้หยิบยกอะไรบางอย่างไปใช้กันไม่มากก็น้อย เลยกะว่าจะเขียนให้ยาวๆในนี้ แบ่งออกเป็น phase เลยย 

มิ้วไม่ใช่ไลฟ์โค้ชบ้าบออะไรหรอก มิ้วแค่รู้สึกว่า พอมิ้วได้สัมผัสหรือค้นพบสิ่งที่มันมีคุณค่ากับชีวิต มิ้วแค่อยากจะนำมาแชร์ต่อก็เท่านั้น… เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะตอนที่มิ้วกำลังหลงทาง มิ้วพยายามหา sources ต่างๆ แต่ไม่มีเลย มิ้วต้องการแค่ใครสักคนที่มาเป็น mentor ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ มอบเครื่องมือให้มิ้วได้นำไปปรับใช้บนเงื่อนไขของชีวิตมิ้วเอง ช่วงชีวิตที่หลงทางตอนนั้น มันมืดสนิทเลย ไร้แม้แต่แสงสว่าง ทรมาณ กว่าจะลุกขึ้นกลับมาได้ ผ่านการค้นหามากมายจากหนังสือ research, video ทุกๆสื่อที่มิ้วจะสามารถหาอ่าน ดูได้ และย่อยออกมา ณ ตอนนั้น ต้องใช้เวลา มิ้วแค่หวังว่าคนที่กำลังอ่านกระทู้นี้จะไม่เจอภาวะหม่นหมอง มืดมน มืด 8 ด้านแบบที่มิ้วเคยเจอมา มันเป็นความรู้สึกที่มิ้วก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครก็ตาม มิ้วไม่รู้หรอก ว่ามิ้วจะหลงทางอีกครั้งในตอนไหนในอนาคต แต่ถ้ามันเกิดขึ้น มิ้วก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้วแหละ เพราะมิ้วมีกระทู้นี้ กระทู้ที่จะเรียกสติและพลังของมิ้วกลับมาอีกครั้ง 

**Disclaimer: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่สามารถการันตีได้ แต่มิ้วขอให้สัญญาว่ามันจะชัดขึ้นและดีขึ้น**

จุดเริ่มต้น 

 
มิ้วได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ Keep going - Austin Kleon 
บอกว่า คุณกำลังตามหาหนังสือ X อยู่เหรอ -> มันมีมั้ย -> มี ก็อ่าน -> ถ้าไม่มีคุณก็เขียนมันเองเลยซะสิ 


(เล่มนี้บังเอิญได้อ่านเพราะว่าพี่เพนนี พี่ที่รักและรู้จักได้มอบเป็นของขวัญในวันรับปริญญาค่ะ ก็เลยเป็นการเติมไฟให้นักเขียนสาวอย่างดี และได้แรงบันดาลใจก็เพราะเล่มนี้เลย อยากจะมาส่งต่อสิ่งดีๆให้กับเพื่อนมนุษย์) 

บวกกับหลายๆคนมักจะเข้ามาถามมิ้วว่ามิ้วทำอย่างไร ตอนนั้นน่ะ ตอนที่ลาออกจากงานแรก แล้วนอนเป็นผักเน่าอยู่ครึ่งปี หลงทางไม่รู้จะไปทางไหนต่อ  มิ้วเลยคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีเลยยยที่มิ้วจะได้รวบรวม เครื่องมือ และ ทฤษฏี ที่มิ้วใช้ทั้งหมดมาให้ทุกคนได้อ่านกัน และนำไป apply ในชีวิตของคุณ ไม่ว่าคุณจะเลือกทางไหน มิ้วเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว คุณจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเสมอ มิ้วเชื่อในตัวคุณนะ และคุณต้องเชื่อในตัวเองด้วย!

หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ ตั้งใจเขียนมากๆๆเลย แค่มีคนได้ประโยชน์จากกระทู้แค่ 1 คน สำหรับมิ้วก็เติมเต็มแล้ว มิ้วสามารถตายได้เลย อย่างน้อยมิ้วก็ leave my own footprint บนโลกนี้แล้วล่ะ เอาละ เริ่มละนะ!  3 2 1 

**Disclaimer: ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ไม่สามารการันตีได้ แต่มิ้วขอให้สัญญาว่ามันจะชัดขึ้นและดีขึ้น**

***Disclaimer2***
เงื่อนไขในชีวิตของเราต่างกัน คุณจะมายกทั้งดุ้นของมิ้วไปใช้เลย มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว
ให้เลือกส่วนที่คุณคิดว่ามันเขากับคุณที่สุดบนเงื่อนไขชีวิตของคุณ ที่จะนำไปใช้ apply ในชีวิตของคุณได้ 

ชีวิตมันไม่มีสูตรสำเร็จหรอก ล้มลุกคลุกคลาน ตามหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตที่ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวาต่อไป ไม่ซังกะตายไปซะก่อนในโลกยุคปัจจุบันที่อะไรมันก็หมุนไวไปซะเหลือเกิน 

เกริ่นนำ


มิ้วจบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รหัส 59 Class of 2020 มิ้วเริ่มหางานและ สอบ TOEIC ช่วงมีนาคม ก่อนที่จะเรียนจบ การวางแผนล่วงหน้าสำคัญมากในการที่เราจะลงมือและ take action ก่อนที่แรงงานคนอื่นในตลาดจะทำ มิ้วเลยได้เริ่มทำงานในเดือนเมษายน 2563 ซึ่งตอนนั้นโควิดเข้าพอดี ได้ study from home เทอมสุดท้ายไม่ค่อยหนักมาก เราทำ seminar, EC452, และเรียน MK กันนน บวกกับได้เริ่มงานประจำด้วยความไวสายฟ้าฟาด มิ้วทำงานแรก เป็นงานประจำเป็น Junior SAP consultant  

มิ้วได้ก็อปปี้ความสำเร็จคนอื่น และได้ปืนไปยังภูเขาแห่งความสำเร็จของใครก็ไม่รู้ ใช้ชีวิตตามบรรทัดฐานและเสียงส่วนใหญ่ในสังคม โอ้ว งานคอนซั้ลเหรอ ว้าว สุดยอด เหยย ดีอะ โดยที่การตัดสินใจในครั้งนั้นไม่ได้ฟังเสียงของหัวใจเลย… มิ้วไม่มีแม้กระทั่งการฉุกคิดว่า ความสำเร็จในรูปแบบของมิ้วเอง คืออะไร…

ที่ทำงานของมิ้วอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง เลยไม่ค่อยมีอะไรน่าดึงดูดใจมากนัก จะออกไปไหน ก็ต้องใช้เงินเพราะไม่มีรถสาธารณะ มันเลยเป็นช่วงชีวิตที่เก็บเงินได้อย่างดีเลย มิ้วทำงานมา 7 เดือน การเป็นคอนซั้ลสอนมิ้วในหลายเรื่องๆ มิ้วได้รับโอกาสที่พิเศษ หลายๆอย่าง ได้เข้าร่วม workshop กับ SAP Thailand ในโมดูล EWM เป็นโอกาสและความรู้ที่ยังติดตัวมิ้วเสมอมา หลายๆอย่างผ่านไปเราได้ลงโปรเจ็คแน่นๆ รู้ตัวว่าไม่ใช่ เหมือนมิ้วต้องกระโดดลงจากเรือ จมไปในมหาสมุทรที่มิ้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันลึกเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เข้า SAP มิ้วหายใจไม่ออกเลย อึดอัดมาก เครียดมาก มันไม่ใช่เลย ไม่ได้เว่อร์นะ แต่มิ้วเติบโตมาด้วยการที่รู้จักตัวเองดีมาก ชอบคือชอบ ไม่ใช่คือไม่ใช่ ไม่มีการมาครึ่งๆกลางๆ เอ่อๆ อ่าๆๆ เลยทำให้เรารุ้ตัวไวว่างานนี้ไม่เหมาะกับเรา และ lifestyle เราไม่เหมาะกับงานประจำ 9 to 5 job ด้วย เลยตัดสินใจลาออก ณ บัดดล

Phase 1: เตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ 

ด้วยความที่มิ้วเติบโตในวัยเด็กที่บ้านไม่มีอิสระภาพทางการเงิน มิ้วเลยเริ่มศึกษาเรื่องเงิน การวางแผนมาตั้งแต่นาน ไม่รู้ว่าตอนไหนแต่นานแล้ว อ่านมันไปเรื่อยๆ บวกกับเรียนเสดสาดอีก 4 ปี เลยอยู่กับมันจนชิน ได้เรียน Finance, Accounting แบบพื้นๆเพื่อเอาไปใช้ต่อยอดเอกของตัวเองก็คือเศรษฐศาสตร์ธุรกิจมันก็เลยติดตัวมา ก็ต้องให้เค้าแหละนะ เรียนจนจะอ้วกออกมาแล้ว ฮ่าๆๆๆ
มิ้วนำ “Financial pyramids พีระมิดทางการเงิน” มาใช้ตั้งแต่เริ่มทำงานประจำ


Source:  https://www.finnomena.com/addmoney/pyramid-of-financial-planning/

สามารถหาอ่านเพิ่มเติมใน Google ได้เลย

มิ้วแบ่งเก็บเงินสด แยกอีกบัญชีเพื่อใช้เป็นเงินสำรองฉุกเฉิน 3 – 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน และลงทุนในกองทุนรวมโดยเน้นไปที่ กองสหรัฐ ตอนนั้นยังจำได้เลยก่อนที่โจ ไบเดนจะได้รับเลือกตั้งอีก ยังคงเป็นตาทรัมป์ปี้อยู่ เราไม่รู้เลยอะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่ทำให้เราขยับตัวได้ คือต้องมีเงินสำรอง นี่คือสิ่งที่มิ้วได้เรียนรู้มาในวัยเด็ก มิ้วตั้งปณิธานว่าชีวิตนี้มิ้วจะไม่กลับไปจนอีกแล้ว เพราะความจนมันน่ากลัว ไม่มีเงินแม้กระทั่งซื้อข้าวกิน ความหิวมันน่ากลัว ฮ่าๆๆๆ หนูหิวข้าวววว

“หากคุณไม่มีอิสระภาพทางการเงินแล้ว อะไรหลายๆอย่างก็ยากไปหมด”

หากใครสนใจลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูนะคะ เอาเป็นว่าตอนนั้นในวันที่มิ้วตัดสินใจลาออก มิ้วก็มีเงินครอบคลุมไปอีก 6 เดือน ที่มิ้วจะไปล่องลอย วังเวง สับสลอลหม่านอยู่ที่ใดที่หนึ่งละล่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

Phase 2: ระหว่างทาง 
ระหว่างทางมิ้วก็พยายาม recheck กับตัวเองว่าสิ่งที่เรากำลังจะตัดสินใจ มันใช่มั้ย เรากำลังทำถูกหรือเปล่า มันไม่มีแม้แต่แวบเดียวที่มิ้วคิดว่ามิ้วกำลังเลือกเดินทางผิดตอนที่จะออก ไม่เลย เพราะฉะนั้นมันก็ย้ำเตือนมิ้วแล้วว่าเนี่ยแหละ มิ้วกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง และกำลังออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมายของชีวิตแล้ว…

มิ้วได้ฟัง Podcast มากมาย กลั่นกรอง เอามาต่อยอดในแบบฉบับของมิ้วเองในช่วงชีวิตนั้น โดยมิ้วเริ่มจาก

Podcast ความสุขโดยสังเกต


อันนี้มิ้วฟังทุกอันที่เกี่ยวกับงาน พอฟังไป เราก็ได้ reflect เหตุการณ์ต่างๆ และถามย้ำกับตัวเองอีกที ว่าเรากำลังจะทำมันใช่มั้ย ไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบนะ มีสติรู้คิด ไตร่ตรอง pros and cons มากที่สุด เพราะจะไม่มีการหันหลังไปแล้วนะ เป็นช่วงเวลาที่ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ค่อยๆตกผลึกมันออกมา ตัดสินใจแล้วลุยเลย 

เมื่อพูดถึงงาน หลักๆแล้ว มันมีอยู่ 2 concepts นั่นก็คือเงินและความสุข ที่อยู่ในการทำงาน 
เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมบางคนเลือกที่จะทำงานที่ได้เงินเดือนน้อย แทนที่จะไปทำงานที่ได้เงินเยอะ
(อันนี้ไม่นับปัจจัยที่เกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะรายบุคคล)  หรือบางคนยอมเลือกงานที่ได้เงินเยอะ แต่ไม่มีความสุขเลย 

https://open.spotify.com/episode/2iUWMduEXywj1CJXukiTa8?si=048cecf6d0c9465c

คุณลองกดฟังลายๆ episode แล้วตกผลึกออกมา มิ้วว่ามันดีมากๆๆ ลองใช้เวลากับชีวิตดูหน่อยมั้ย ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ เราพึ่งจบใหม่เอง ยังมีเวลา 

“ทิศทางสำคัญกว่าความเร็ว”

เราจะรีบไปทางใด พุ่งไปไหนด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณยังไม่รู้ว่าชีวิตคุณจะไปในทิศทางไหน

ขอขอบคุณทีมงาน producer บุคคลต่างๆที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ออกมาให้มิ้วได้ฟังด้วยนะคะ มันเปลี่ยนชีวิตมิ้วไปเลย Please keep up the good works!!! ขอบคุณมากๆๆเลย ขอบคุณจากใจเลยจริงๆ คุณคือส่วนหนึ่งของการเติบโตใน stage นี้ของชีวิตมิ้ว

มิ้วเอาสิ่งที่มิ้วฟังมาคิดต่อได้เป็น องค์ความรู้ที่นำมาต่อยอดในแบบฉบับของมิ้วเอง ดังนี้ 

Scale ของเงินและความสุข 

มิ้วพบว่าตอนทำงาน ประกอบไปด้วย 2 อย่างหลักๆนั่นคือ ความสุข และ เงิน 

มิ้วให้ standard มันเป็น ครึ่ง ครึ่ง 50:50 แล้วกัน แบบรูปนี้

Case 1: Standard


เออ เอาวะ เงินก็พอได้ ก็ทำๆไป ไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น 

Case 2: งานที่เงินน้อย แต่สุขมาก

ถ้าเราทำงานที่เงินน้อย แต่เราทำแล้วมีความสุข สเกลส่วนที่มีความสุขมันก็มาทดแทนส่วนที่เงินหายไปไง อย่างน้อยมันก็แทนกันได้น่ะนะ

Case 3: งานที่เงินมาก แต่สุขน้อย 


กรณีทำงานที่ได้เงินเยอะ แต่แทบจะไม่มีความสุขเลย ความสุขน้อยมากในแต่ละวัน ตื่นมาแล้วแทบจะไม่อยากลุกไปทำงาน หมดแรง หมดพลัง
แต่เงินที่เราได้มาเราสามารถเอาไปซื้อความสุขภายนอกมาทดแทนได้ชั่วคราว (คนละเรื่องกับความสุขที่เกิดขึ้นภายในตนเองไม่ต้องพึ่งปัจจัยภายนอก) ธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อหาเงินได้มากขึ้น lifestyle จะเปลี่ยนไป ใช้เงินมากขึ้น  

Case 4:  Mental illness

กรณีสุดท้าย งานที่ได้เงินน้อย แถมยังไม่มีความสุขอีก ช่องโหว่ตรงกลางที่หายไป นั่นคือ Mental disorder โรคทางจิตใจของเรา จุดเริ่มของภาวะเครียด ซึมเศร้า รู้สึกไม่มีอำนาจในชีวิตของตนเอง หรืออีกกรณี เงินเยอะมาก แต่ไม่มีความสุขเลย ไม่ว่าจะได้เงินเยอะแค่ไหนแต่ถ้าแลกมากับสุขภาพจิต มองยังไง ในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ไม่คุ้มแน่นอน สุดท้ายเงินที่เราหามาก็นำมารักษาตัวเอง แล้วปัญหาในเรื่องของสุขภาพจิตแก้ยากกว่าปัญหาในการเจ็บป่วยทางร่างกายด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่