อวิชชาสูตร-->
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=24&A=2712&Z=2781
ผมเอาการแปลของอวิชชาสูตร 2 มาจากหนังสือเล่มนี้
👇
ในหน้า...178
ซึ่งหนังสือนี้แปลออกมาว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://books.google.com.my/books?id=cKZJCgAAQBAJ&pg=PA326&lpg=PA326&dq=%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%87+%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88+%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1+%E0%B8%9B.%E0%B8%9B%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%95&source=bl&ots=DHgyjSj6JE&sig=ACfU3U3s3PA487ebvFFVx_uTZuDka0aFkA&hl=en&sa=X&ved=2ahUKEwjIqbromdr5AhXHjdgFHbFaCCkQ6AF6BAgCEAM#v=onepage&q&f=false
จากบาลี..ที่ว่า
[๖๑] ปุริมา ภิกฺขเว โกฏิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย
อิโต ปุพฺเพ อวิชฺชา นาโหสิ อถ ปจฺฉา สมฺภวีติ
เอวญฺเจตํ ภิกฺขเว วุจฺจติ อถ จ ปน ปญฺญายติ อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชาติ
หนังสือเขียนออกมาว่า...
" ภิกษุทั้งหลาย...ปลายแรกสุดของอวิชชาจะปรากฏ
ก็หาไม่ว่า "
ก่อนแต่นี้..อวิชชามิได้มี ครั้นมาภายหลังจึงมีขึ้น "
เรื่องนี้...เรากล่าวดังนี้ว่า "
ก็แล..เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย..อวิชชาจึงปรากฏ "
ผมแปลออกมาได้ออกมาอย่างนี้...
คราวนี้...คือคำถาม
1. ในหนังสือพุทธธรรม....บอกว่า "
ไม่ใช่ -->อวิชชาเดิมมันไม่มี..แล้วต่อมาก็เกิดอวิชชาขึ้นมา " ...
ผมอ่านออกมาได้ความหมายอย่างนี้...
2.
ถ้าใช่... หนังสือพุทธธรรมก็กำลังจะบอกว่า..
อวิชชามีแล้วดังเดิม...ใช่ไหม?
มันไม่มีช่วงที่ไม่มีอวิชชา..ใช่ไหม?
3. ถ้าหมายเอาตามข้อ 1 และ 2... มันจะไม่ขัดกับการแปลในบรรทัดลดที่ 2 หรือ?
ก็ในเมื่อ... บรรทัดที่ 2... บอกว่า
" เรื่องนี้...เรากล่าวดังนี้ว่า
ก็แล..เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย..อวิชชาจึงปรากฏ "
บรรทัดที่ 2 พระองค์กล่าวว่า... "
มีสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งอวิชชาเกิดขึ้น... อวิชชาจึงเกิดขึ้น "...
4. แล้ว... อย่างนี้ "
อวิชชาจะไม่มีเหตุเกิด..ไปได้อย่างไร "...
เมื่ออวิชชามีเหตุเกิด... มันก็ต้อง... " มีช่วงก่อนหน้าที่...ไม่มีอวิชชา "
5. เมื่อ "
อวิชชามีเหตุเกิด "... ดังนั้นการที่ไปแปลว่า
" ภิกษุทั้งหลาย...ปลายแรกสุดของอวิชชาจะปรากฏก็หาไม่ว่า " ก่อนแต่นี้..อวิชชามิได้มี ครั้นมาภายหลังจึงมีขึ้น "
จึงไม่ถูกต้อง... ในประโยคก็ขัดกันเองแล้ว...
6. คราวนี้มาดูตามตัวอักษรบาลี... และไวยากรณ์
ผมเรียนเชิญนักบาลี... ที่ชอบอ้างไวยากรณ์... วิภัตติ - ปัจจัย
...มาแสดงว่า... ที่ถูกต้องควรแปลออกมาอย่างไร
ผมอยากจะดูว่า... นักบาลีที่ชอบอ้างไวยากรณ์... จะมีความกล้าที่จะแสดงความเห็นหรือไม่..
เมื่อมาเจอการแปลในหนังสือพุทธธรรมนี้...
=== ผมว่า... นักบาลีทั้งหลายส่วนมาก.. ไม่กล้าแย้ง... ไม่กล้าที่จะยืนยันตามไวยากรณ์ที่ตนเรียนมาหรอก...ครับ ===
7. ผมยังไม่สามารถ... หาอวิชชาสูตรนี้ในมหาปิฏกมหายาน..ได้
เจอแต่... ตัณหาสูตร... ที่อยู่ในรูปการแปลที่มีปัญหาในหนังสือพุทธธรรมแบบเดียวกับ..อวิชชาสูตร
โดย...หนังสือพุทธธรรมแปลตัณหาสูตรว่า
ส่วนในตัณหาสูตรในมหาปิฏกของมหายาน...คือ
แปลเป็นอังกฤษ --> ไทยได้ว่า...
I heard this:
At one time, the Buddha traveled to his home and defended the country,
and gave the lonely garden in Shenglin.
At that time, the World Honored One told the bhikkhus:
" Those who have love(ภวตัณหา) are unknowable in their origin,
(ผู้ซึ่งมี...ภวตัณหา.. ไม่รู้...." จุดกำเนิดของเขาเหล่านั้น ".. )
and there is no love at all, but if there is love in this life,
(..และ..มันมี...ตอนที่ " ไม่มีภวตัณหา..เลย "....แต่ถ้ามันมีในชีวิตนี้..)
you can know that there is love because of it.
(..เธอก็รู้ได้เลยว่า.. " มันมีปัจจัยที่ทำให้มัน(ภวตัณหา)เกิดขึ้น "..)
Those who have love have habit, not without habit. .
(...ผู้ใดมีภวตัณหา..ก็มีนิสัย ไม่ใช่ไม่มีนิสัย...)
What does it mean to have love
(...อะไร?..คือนิสัยของภวตัณหา..)
☝
อรรถไปในทางเดียวกับฉบับหลวง.. กับที่ผมแปลจากบาลี แต่ขัดกับหนังสือพุทธธรรม
8. ลองมาดู...ภันเตสุชาโต...ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ...
แปลเป็นไทยได้ว่า...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มันกล่าวได้ว่า " ไม่ปรากฏจุดแรกของอวิชชา "..
ก่อนนั้นไม่มีอวิชชา ภายหลังจึงปรากฏ และ..มันยังเห็นได้ชัดว่า...มีเงื่อนไขเฉพาะสำหรับ..(การเกิดขึ้นของ)อวิชชา...
อวิชชาสูตร... ในหนังสือพุทธธรรม... นักบาลีว่าแปลผิดไวยากรณ์ไหม? ทำไมถึงไม่ผิด?
ผมเอาการแปลของอวิชชาสูตร 2 มาจากหนังสือเล่มนี้
👇
ในหน้า...178
ซึ่งหนังสือนี้แปลออกมาว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากบาลี..ที่ว่า
[๖๑] ปุริมา ภิกฺขเว โกฏิ น ปญฺญายติ อวิชฺชาย
อิโต ปุพฺเพ อวิชฺชา นาโหสิ อถ ปจฺฉา สมฺภวีติ
เอวญฺเจตํ ภิกฺขเว วุจฺจติ อถ จ ปน ปญฺญายติ อิทปฺปจฺจยา อวิชฺชาติ
หนังสือเขียนออกมาว่า...
" ภิกษุทั้งหลาย...ปลายแรกสุดของอวิชชาจะปรากฏก็หาไม่ว่า " ก่อนแต่นี้..อวิชชามิได้มี ครั้นมาภายหลังจึงมีขึ้น "
เรื่องนี้...เรากล่าวดังนี้ว่า " ก็แล..เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย..อวิชชาจึงปรากฏ "
ผมแปลออกมาได้ออกมาอย่างนี้...
คราวนี้...คือคำถาม
1. ในหนังสือพุทธธรรม....บอกว่า " ไม่ใช่ -->อวิชชาเดิมมันไม่มี..แล้วต่อมาก็เกิดอวิชชาขึ้นมา " ...
ผมอ่านออกมาได้ความหมายอย่างนี้...
2. ถ้าใช่... หนังสือพุทธธรรมก็กำลังจะบอกว่า.. อวิชชามีแล้วดังเดิม...ใช่ไหม?
มันไม่มีช่วงที่ไม่มีอวิชชา..ใช่ไหม?
3. ถ้าหมายเอาตามข้อ 1 และ 2... มันจะไม่ขัดกับการแปลในบรรทัดลดที่ 2 หรือ?
ก็ในเมื่อ... บรรทัดที่ 2... บอกว่า
" เรื่องนี้...เรากล่าวดังนี้ว่า ก็แล..เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย..อวิชชาจึงปรากฏ "
บรรทัดที่ 2 พระองค์กล่าวว่า... " มีสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งอวิชชาเกิดขึ้น... อวิชชาจึงเกิดขึ้น "...
4. แล้ว... อย่างนี้ " อวิชชาจะไม่มีเหตุเกิด..ไปได้อย่างไร "...
เมื่ออวิชชามีเหตุเกิด... มันก็ต้อง... " มีช่วงก่อนหน้าที่...ไม่มีอวิชชา "
5. เมื่อ " อวิชชามีเหตุเกิด "... ดังนั้นการที่ไปแปลว่า
" ภิกษุทั้งหลาย...ปลายแรกสุดของอวิชชาจะปรากฏก็หาไม่ว่า " ก่อนแต่นี้..อวิชชามิได้มี ครั้นมาภายหลังจึงมีขึ้น "
จึงไม่ถูกต้อง... ในประโยคก็ขัดกันเองแล้ว...
6. คราวนี้มาดูตามตัวอักษรบาลี... และไวยากรณ์
ผมเรียนเชิญนักบาลี... ที่ชอบอ้างไวยากรณ์... วิภัตติ - ปัจจัย
...มาแสดงว่า... ที่ถูกต้องควรแปลออกมาอย่างไร
ผมอยากจะดูว่า... นักบาลีที่ชอบอ้างไวยากรณ์... จะมีความกล้าที่จะแสดงความเห็นหรือไม่..
เมื่อมาเจอการแปลในหนังสือพุทธธรรมนี้...
=== ผมว่า... นักบาลีทั้งหลายส่วนมาก.. ไม่กล้าแย้ง... ไม่กล้าที่จะยืนยันตามไวยากรณ์ที่ตนเรียนมาหรอก...ครับ ===
7. ผมยังไม่สามารถ... หาอวิชชาสูตรนี้ในมหาปิฏกมหายาน..ได้
เจอแต่... ตัณหาสูตร... ที่อยู่ในรูปการแปลที่มีปัญหาในหนังสือพุทธธรรมแบบเดียวกับ..อวิชชาสูตร
โดย...หนังสือพุทธธรรมแปลตัณหาสูตรว่า
ส่วนในตัณหาสูตรในมหาปิฏกของมหายาน...คือ
แปลเป็นอังกฤษ --> ไทยได้ว่า...
I heard this:
At one time, the Buddha traveled to his home and defended the country,
and gave the lonely garden in Shenglin.
At that time, the World Honored One told the bhikkhus:
" Those who have love(ภวตัณหา) are unknowable in their origin,
(ผู้ซึ่งมี...ภวตัณหา.. ไม่รู้...." จุดกำเนิดของเขาเหล่านั้น ".. )
and there is no love at all, but if there is love in this life,
(..และ..มันมี...ตอนที่ " ไม่มีภวตัณหา..เลย "....แต่ถ้ามันมีในชีวิตนี้..)
you can know that there is love because of it.
(..เธอก็รู้ได้เลยว่า.. " มันมีปัจจัยที่ทำให้มัน(ภวตัณหา)เกิดขึ้น "..)
Those who have love have habit, not without habit. .
(...ผู้ใดมีภวตัณหา..ก็มีนิสัย ไม่ใช่ไม่มีนิสัย...)
What does it mean to have love
(...อะไร?..คือนิสัยของภวตัณหา..)
☝
อรรถไปในทางเดียวกับฉบับหลวง.. กับที่ผมแปลจากบาลี แต่ขัดกับหนังสือพุทธธรรม
8. ลองมาดู...ภันเตสุชาโต...ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษ...
แปลเป็นไทยได้ว่า...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มันกล่าวได้ว่า " ไม่ปรากฏจุดแรกของอวิชชา "..
ก่อนนั้นไม่มีอวิชชา ภายหลังจึงปรากฏ และ..มันยังเห็นได้ชัดว่า...มีเงื่อนไขเฉพาะสำหรับ..(การเกิดขึ้นของ)อวิชชา...