JJNY : โอดค่าครองชีพพุ่งสูง│'ทัศนีย์'อัด 8 ปีตกต่ำทุกด้าน│‘ปกรณ์วุฒิ’ ตัดเงินศูนย์ต้านข่าวปลอมเหี้ยน!│คาดสภาส่งศาล22ส.ค.

ชาวบ้านโอดค่าครองชีพพุ่งสูงสวนทางรายได้
https://www.nationtv.tv/news/economy-business/378883439
 
 
ประชาชนใน จังหวัดยะลา บ่นอุบ ไข่ไก่ขึ้นราคาอีกแล้วแผงละ 3 บาท ทำให้ขายปลีกเบอร์ 1 อยู่ที่แผงละ 127 บาท ขณะที่ ต้นหอม กก.ละ 140 ผักชี กก.ละ 180 บาท ขึ้นฉ่าย กก.ละ 230 บาทแล้ว
 
ตลาดสดเทศบาลเมืองเบตง จ.ยะลา จากการสำรวจราคาตามแผงขายไข่ไก่ ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงอาหารของประชาชน พบว่า มีการปรับราคาขึ้นอีกแผงละ 3 บาท โดยราคาไข่ไก่เบอร์ 1 ราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นแผงละ 127 บาท จากเดิม 124 บาท, ไข่ไก่เบอร์ 2 ราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นแผงละ 122 บาท จากเดิม 119 บาท, ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายเพิ่มขึ้นเป็นแผงละ 118 บาท จากเดิม 115 บาท ส่งผลให้ราคาขายปลีกไข่ไก่ตามตลาดสดและร้านค้าทั่วไปเพิ่มขึ้นด้วย โดยที่ร้านไข่ไก่สดใหม่ ถ.สุขยางค์ ในเขตเทศบาลเมืองเบตงซึ่งเป็นร้านขายส่ง พบว่าราคาขายปลีกไข่ไก่เบอร์ 0 และเบอร์ 4 มีจำหน่าย จัม ขณะที่ไข่ไก่เบอร์ 1, เบอร์ 2 และเบอร์ 3 ปรับขึ้นแผงละ 3 บาท
  
นายนิสิต เปาะเฮาะ เจ้าของร้าไข่ไก่สดใหม่เบตง บอกว่า ในอาทิตย์หน้าจะมีการปรับขึ้นอีกแผงละ 3 บาทซึ่งตอนนี้ไข่ไก่ที่ร้านเป็นของชุดเก่ายังไม่ปรับราคา แต่อาทิตย์จะมีการปรับราคาขึ้นแผงละ 3 บาท
 
นอกจากนี้ยังพบอีกว่า นอกจากไข่ไก่ที่ปรับราคาขึ้นแล้ว ในส่วนของพืชผักต่างๆ อย่างผักชี ต้นหอม และขึ้นฉ่าย มีการปรับราคาขึ้นเช่นกัน จากเดิม ขึ้นฉ่าย กก.ละ 180 บาท ล่าสุดมีการปรับราคาขึ้นเป็นกิโลกรัมละ 230 บาทแล้ว โดยแผงขายผักตามตลาดสดทั่วไปที่นำไปแบ่งขายปลีกต้องขึ้นราคาขายตามไปด้วย ขณะที่หมูเนื้อแดง กก.ละ 230 บาท หมูสามชั้น กก.ละ 230 บาท หมูสองฃชั้น กก.ละ 230 บาท เล้ง กก.ละ 200 บาทกระสันหมู กก.ละ 200 บาท และขาหมู กก.ละ 160 บาท ส่วนแม่ค้าขายข้วขาหมูบอกว่า วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารขายต่างก็ขึ้นราคาหมด แต่ที่ร้านยังคงขายจานละ 40 บาท เราะเห็นใจลูกค้า ที่ในยุคนี้มีแต่สินค้าปรับราคา แต่ค่าแรง สินค้าทางการเกษรตร เช่น ยางพารา น้ำยางสดอยู่ที่ กก.ละ51.30 บาท ยางก้อนถ้วย กก.ละ 49 บาท ยางแผ่นดิบคุณภาพดี กก.ละ 52.96 บาท และยางแผ่นรมควันชั้น 3 (ไม่อัดก้อน) กก.ละ 56.30 บาท
   
ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้บริโภคที่ต่างต้องปรับตัวในการเลือกซื้อเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลงให้ได้มากที่สุด ทั้งการลดปริมาณการซื้อแต่หันมา เลือกซื้อ เช่น ไข่ไก่ที่ฟองเล็กลงและราคาถูก และเลือกซื้อผักเฉพาะทำแต่ละมื้อ เป็นต้น
 
และจากการลงพื้นที่พบว่าประชาชนต่างมีเสียงสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจุบันค่าครองชีพและราคาสินค้าต่างปรับราคาขึ้นทุกอย่างและอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับรายได้ที่ประชาชนหามาได้ และจำนำมาใช้จ่ายในครอบครัวแทบไม่พอ ซึ่งอยากให้ทางรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนให้ได้โดยเร็วที่สุดหรือหามาตรการมาช่วยเหลือเพื่อพยุงให้ประชาชนอยู่ได้ต่อไป
 

 
'ทัศนีย์' อัด 'ประยุทธ์' 8 ปี ฉุดรั้งประเทศตกต่ำทุกด้าน ชี้บริหารประเทศผิดพลาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_3515544
 
‘ทัศนีย์’ อัด ‘ประยุทธ์’ 8 ปี ฉุดรั้งประเทศตกต่ำทุกด้าน ชี้บริหารประเทศผิดพลาดสร้างภาระให้ปชช.แบกภาระอ่วม

เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปล่อยให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ปรับเพิ่มค่าเอฟทีอีก 68.66 สตางค์ต่อหน่วย รวมเป็นค่าเอฟทีทั้งสิ้น 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ออกมาบอกว่าขึ้นเห็นหลักสตางค์ไม่กระทบประชาชน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องไม่ลืมว่าหลักสตางค์ต่อหน่วยก็รวมแล้วเพิ่มขึ้นหลักร้อยบาทต่อเดือนที่ประชาชนต้องควักเงินเพิ่ม

น.ส.ทัศนีย์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่บอกว่าให้นึกถึงคำสอนของพุทธเจ้าที่ว่าด้วยอริยสัจ 4 คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธและมรรค เพื่อหาเหตุแห่งปัญหา ทั้งนี้ประชาชนทั้งประเทศ ยืนยันว่าเหตุแห่งปัญหาประเทศคือตัว พล.อ.ประยุทธ์ เพราะสร้างสารพัดปัญหาให้ประชาชนต้องตามไปแก้ ไม่เคยมีแนวคิดมาจาก  พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะมาแก้ปัญหาให้ประชาชน
 
นอกจากนี้ ปัจจุบันนอกจากค่าไฟฟ้าขึ้นพบว่า น้ำมันจนถึงสินค้าอุปโภคบริโภคขึ้นหมด ไม่ขึ้นอย่างเดียวคือเงินเดือน นโยบายที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เคยหาเสียงไว้ หายไปไหนหรือทำไม่ได้เลยไม่ยอมที่จะพูดถึงที่นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ออกมาบอกว่าขอเวลาดูช่วงเวลาที่เหมาะสม ถึงจะมีการพิจารณาปรับเงินเดือนแล้ว 3 ปี ที่ผ่านมาทำไมไม่ทำมาทำ ช่วงจะเลือกตั้งทำไมถ้าไม่ไช่เจตนาจะหาเสียง
 
“สงสารประชาชนในยุค พล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ไม่ทราบว่าปัจจัยในการดำรงค์ชีพของประชาชนหนักแค่ไหน เพราะทุกอย่างรอบตัว  พล.อ.ประยุทธ์ ไร้ค่าใช้จ่ายทั้งน้ำ ไฟ น้ำมัน รถยนต์ที่ใช้ปัจจุบันก็ฟรี ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าประชาชนเดือดร้อนแค่ไหนกับการบริหารที่ผิดพลาดเช่นนี้ ถึงเวลานี้ยังอยากจะอยู่ในอำนาจต่อไป หรือ พล.อ.ประยุทธ์สร้างปัญหา ประเทศยังไม่พอ 8 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกต่ำทุกด้าน ดังนั้น อย่าอยู่เป็นภาระประชาชนต่อไปเลยควรออกไปได้แล้วเพื่อโอกาสของประเทศไทย ได้เดินไปข้างหน้าบ้าง หลังตกต่ำมานาน 8 ปี” น.ส.ทัศนีย์ กล่าว
 


ผ่านงบกระทรวงดีอีเอส ‘ปกรณ์วุฒิ’ ตัดเงินศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเหี้ยน!
https://www.dailynews.co.th/news/1377903/

สภาฯ ผ่านงบกระทรวงดีอีเอส วาระ 2 “ปกรณ์วุฒิ” ตัดงบศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมเหี้ยน อัดไม่เป็นกลาง–ไร้มาตรฐาน เป็นแค่ตราประทับให้รัฐบาลปิดปากประชาชน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 19 ส.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธาน เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 วงเงิน 3.185 ล้านล้านบาท ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว ในวาระ 2 ต่อเนื่องเป็นวันที่สาม
 
โดยเป็นการพิจารณามาตรา 16 งบประมาณกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และหน่วยงานในกำกับ วงเงิน 3.73 พันล้านบาท โดยนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) อภิปรายถึงงบประมาณของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม
 
ประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติ เนื่องจากหลักการสำคัญขององค์กรตรวจสอบข้อเท็จจริงคือ ความเป็นกลาง ซึ่งสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลยในมาตรฐานสากล คือการอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐ นอกจากนี้ศูนย์ฯ ยังไม่มีมาตรฐาน กระบวนการทำงานของศูนย์ฯ ไม่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นกระบวนการที่พยายามตรวจสอบข้อมูล ข้อเท็จจริงได้ด้วยซ้ำ เพราะกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงเดียวของศูนย์ฯ คือการสอบถามไปที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยไม่มีการตรวจสอบกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ทั้งความไม่เป็นกลาง และไม่มีมาตรฐาน นำมาซึ่ง 3 ปัญหา คือ
 
1. ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีไว้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล เพื่อดำเนินคดีปิดปากคนเท่านั้น 
2. การเลือกปฏิบัติว่าจะตรวจสอบเรื่องใดหรือจะเงียบในเรื่องใด
และ 3. การเผยแพร่คำโกหกของหน่วยงานราชการ

ทั้งหมดคือการทำงานที่ไม่มีขั้นตอนที่เป็นมาตรฐาน สุดท้ายศูนย์ฯ ดังกล่าวทำตัวเป็นแค่ตราประทับรับรองให้การทุจริตของภาครัฐเท่านั้น ตนจึงยืนยันว่าศูนย์ฯ ไม่ควรดำรงอยู่ ไม่ควรได้รับงบซึ่งเป็นเงินภาษีประชาชนแม้แต่บาทเดียว จึงเป็นเหตุผลที่ตนขอตัดงบของศูนย์ฯ จำนวน 86 ล้านบาท
 
ทางด้าน น.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย อภิปรายว่าตนขอเสนอตัดลดงบประมาณของกระทรวงดีอีเอส ลง ร้อยละ 50  เพราะยังปล่อยให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ทั้งจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เว็บพนันออนไลน์ รวมถึงเฟคนิวส์ต่างๆ ซึ่งงบประมาณที่กระทรวงขอมานั้น มีส่วนของโครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพช่วยเหลือประชาชนทางด้านคดีออนไลน์ ศูนย์ช่วยเหลือปัญหาออนไลน์ หรือแม้กระทั่งสร้างกิจกรรมเพื่อสนับสนุนภารกิจของคณะกรรมการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกิจกรรมเพื่อองค์กรของท่านเองหรือไม่ การขยายผลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสมาร์ทอัพออฟฟิศ เป็นโครงการที่ทำเพื่อหน่วยงานตนเอง ถามว่าได้ทำอะไรเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง เพราะประชาชนยังถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรฯ 
มารบกวน และสูญเสียเงินจำนวนมาก ทางกระทรวงทำอะไรได้บ้าง ทั้งที่กระทรวงดีอีเอสควรเป็นหน่วยงานกลางในการรับเรื่องร้องเรียน ควรทำการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบ ซึ่งกระทรวงดีอีเอส ไม่ตอบโจทย์แก้ไขปัญหาให้ประชาชน
 
“กระทรวงดีอีเอส ยังดูแลประชาชนไม่ดีพอ ทำตัววนไปวนมา ไม่ช่วยประชาชนเข้าสู่ดิจิทัลอย่างแท้จริง ในสภาฯ มีองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีฉันใด ใน กมธ. และอนุ กมธ. ก็เกิดองครักษ์พิทักษ์งบประมาณฉันนั้น เจ้ากระทรวงไหนที่ ส.ส.เฝ้าอยู่ว่ามีงบประมาณของกระทรวงไหนเข้า แล้วรัฐมนตรีของตนเองเป็นเจ้ากระทรวงอยู่ จะมีผู้เข้าร่วมประชุมมากมาย เพื่อต่อต้านและไม่ให้ตัดงบจนเกิดปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเศร้าใจ เพราะไม่เกิดความคุ้มค่าประชาชนที่จะได้ประโยชน์สูงสุด” น.ส.นภาพร กล่าว
 
จากนั้น ที่ประชุมได้ลงมติมาตรา 16 งบกระทรวงดีอีเอส ด้วยคะแนนเห็นด้วย 224 เสียง ไม่เห็นด้วย 106 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง และไม่ลงคะแนน 4 เสียง แล้วเข้าสู่การพิจารณา มาตรา 17 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่