https://etipitaka.com/read/thai/9/252/
๙. โปฏฐปาทสูตร
…
….
[๓๐๒] ดูกรโปฏฐปาทะ ความได้อัตตา ๓ เหล่านี้ คือ
- ได้อัตตาที่หยาบ ๑
- ได้อัตตา ที่สำเร็จด้วยใจ ๑
- ได้อัตตาที่หารูปมิได้ ๑
ความได้อัตตาที่หยาบเป็นไฉน
คือ อัตตาที่มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวลิงการาหาร นี้ความได้อัตตาที่หยาบ
ความได้อัตตาที่สำเร็จ ด้วยใจเป็นไฉน
คือ อัตตาที่มีรูปสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง นี้ความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
ความได้อัตตาที่หารูปมิได้เป็นไฉน
คือ อัตตาอันหารูปมิได้ สำเร็จ ด้วยสัญญา นี้ความได้อัตตาที่หารูปมิได้.
[๓๐๓]
ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อละความได้อัตตาที่หยาบ
ว่า พวกท่าน ปฏิบัติอย่างไรจึงจะละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจักทำความบริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
…
[๓๐๔]
ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อละความได้อัตตาแม้ที่สำเร็จด้วยใจ
ว่า พวกท่านปฏิบัติอย่างไร จึงจักละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจัก ทำความบริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
…
[๓๐๕]
ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อความได้อัตตาแม้ที่หารูปมิได้
ว่า พวกท่าน ปฏิบัติอย่างไร จึงจักละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจักทำความ บริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
…
…
…
[๓๑๒] ดูกรจิตตะ อย่างนั้นแหละ
สมัยใด มีการได้อัตตาที่หยาบ
- สมัยนั้น ไม่นับว่า ได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่หยาบอย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ
สมัยใด มีการได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจอย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ
สมัยใด มีการได้อัตตาที่หารูปมิได้
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้อย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ เหมือนอย่างว่า 👈...อันนี้สำคัญ...มันมีสิ่งหนึ่ง..ที่แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งต่างๆ
- นมสด..จาก..แม่โค
- นมส้ม..จาก..นมสด
- เนยข้น..จาก..นมส้ม
- เนยใส..จาก..เนยข้น
- หัวเนยใส..จาก..เนยใส
สมัยใดเป็นนมสด
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมส้ม เนยข้น เนยใส หัวเนยใส
นับว่านมสดอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นนมส้ม
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด เนยข้น เนยใส หัวเนยใส
นับว่าเป็นนมส้มอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นเนยข้น
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยใส หัวเนยใส
นับว่าเป็นเนยข้นอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็น เนยใส
- สมัยนั้นไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยข้น หัวเนยใส
นับว่าเป็นเนยใสอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นหัวเนยใส
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยข้น เนยใส นับว่าเป็นหัวเนยใส
อย่างเดียวเท่านั้น
ฉันใด ดูกรจิตตะ ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใดมีการได้อัตตาที่หยาบ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่หยาบอย่างเดียว เท่านั้น
สมัยใดมีการได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้ อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดมีการได้อัตตาที่หารูป มิได้
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
นับว่าได้อัตตาที่หารูป มิได้อย่างเดียวเท่านั้น.
ดูกรจิตตะ
เหล่านี้แลเป็นชื่อตามโลก เป็นภาษาของโลก เป็นโวหารของโลก เป็นบัญญัติ ของโลก
ที่ตถาคตกล่าวอยู่ มิได้ยึดถือ.
สรุป
จะเห็นได้ว่า...มันมีสิ่งหนึ่งที่..ไปเป็น...
นมสด -> นมส้ม -> เนยข้น -> เนยใส -> หัวเนยใส
ก็เช่นเดียวกับ...สิ่งหนึ่ง..ไปทำให้เกิดมี..อัตตามีรูป(กามภพ), อัตตาที่เกิดจากใจ(รูปภพ)
และ..อัตตาที่เกิดจากสัญญา(อรูปภพ)
สิ่งนั้นมีตัณหาอุปาทานในขันธ์๕..เพราะเหตุแห่งอวิชชา...ดังนั้นจึงเรียกสิ่งนั้นว่า " สัตว์ "....
อัตตา3..กับ..นมสด, นมส้ม, เนยข้น, เนยใส, หัวเนยใส <--เหล่านี้มันก็เป็นเพียงชื่อเรียกของ
สถาวะ...สถานะต่าง...ที่ " สิ่งๆหนึ่ง "...ไปได้สภาวะต่างๆ...
แต้ไม่ได้หมายว่าสภาวะนั้นมันไม่มีจริง...มันมีจริง..
กลับมาที่ " สัตว์ " vs " ขันธ์๕ "...
สัตว์...ไม่ใช่..ขันธ์๕
ขันธ์๕...ก็ไม่ใช่...สัตว์
ปุถุชนผู้ที่มิได้สดับในธรรม..ไม่ได้รับการแนะนำจากพระอริยเจ้า..ก็จะเข้าใจว่า..
" ขันธ์๕...เป็น...สัตว์ - เป็นบุคคล, เป็นตน, เป็นตัวตน "...
ส่วน..อริยสาวกผู้ได้สดับในธรรม.ได้รับการแนะนำจากพระอริยเจ้า..ก็จะเข้าใจว่า..
" ขันธ์๕...ไม่ใช่...สัตว์ - ไม่ป็นบุคคล, ไม่เป็นตน, ไม่เป็นตัวตน "...
" เราคือผู้ที่มายึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ๕.. ไม่ใช่..ไม่มีเรา " <---นี่มันอุจเฉททิฏฐิ
" สัตว์ "---ตอนที่ 12 :...สัตว์ไปได้อัตตา..ในแบบต่างๆ..ที่ทรงแสดงแก่..ท่านโปฏฐปาทะ..และ...ท่านจิตตะ...
https://etipitaka.com/read/thai/9/252/
๙. โปฏฐปาทสูตร
…
….
[๓๐๒] ดูกรโปฏฐปาทะ ความได้อัตตา ๓ เหล่านี้ คือ
- ได้อัตตาที่หยาบ ๑
- ได้อัตตา ที่สำเร็จด้วยใจ ๑
- ได้อัตตาที่หารูปมิได้ ๑
ความได้อัตตาที่หยาบเป็นไฉน
คือ อัตตาที่มีรูป ประกอบด้วยมหาภูต ๔ บริโภคกวลิงการาหาร นี้ความได้อัตตาที่หยาบ
ความได้อัตตาที่สำเร็จ ด้วยใจเป็นไฉน
คือ อัตตาที่มีรูปสำเร็จด้วยใจ มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง นี้ความได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
ความได้อัตตาที่หารูปมิได้เป็นไฉน
คือ อัตตาอันหารูปมิได้ สำเร็จ ด้วยสัญญา นี้ความได้อัตตาที่หารูปมิได้.
[๓๐๓] ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อละความได้อัตตาที่หยาบ
ว่า พวกท่าน ปฏิบัติอย่างไรจึงจะละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจักทำความบริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
…
[๓๐๔] ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อละความได้อัตตาแม้ที่สำเร็จด้วยใจ
ว่า พวกท่านปฏิบัติอย่างไร จึงจักละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจัก ทำความบริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
…
[๓๐๕] ดูกรโปฏฐปาทะ เราจะแสดงธรรมเพื่อความได้อัตตาแม้ที่หารูปมิได้
ว่า พวกท่าน ปฏิบัติอย่างไร จึงจักละสังกิเลสธรรมได้ โวทานิยธรรมจักเจริญยิ่งขึ้น
พวกท่านจักทำความ บริบูรณ์ และความไพบูลย์แห่งปัญญาให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่ง
ด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่.
…
…
…
[๓๑๒] ดูกรจิตตะ อย่างนั้นแหละ
สมัยใด มีการได้อัตตาที่หยาบ
- สมัยนั้น ไม่นับว่า ได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่หยาบอย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ สมัยใด มีการได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจอย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ สมัยใด มีการได้อัตตาที่หารูปมิได้
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้อย่างเดียว.
ดูกรจิตตะ เหมือนอย่างว่า 👈...อันนี้สำคัญ...มันมีสิ่งหนึ่ง..ที่แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งต่างๆ
- นมสด..จาก..แม่โค
- นมส้ม..จาก..นมสด
- เนยข้น..จาก..นมส้ม
- เนยใส..จาก..เนยข้น
- หัวเนยใส..จาก..เนยใส
สมัยใดเป็นนมสด
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมส้ม เนยข้น เนยใส หัวเนยใส
นับว่านมสดอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นนมส้ม
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด เนยข้น เนยใส หัวเนยใส
นับว่าเป็นนมส้มอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นเนยข้น
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยใส หัวเนยใส
นับว่าเป็นเนยข้นอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็น เนยใส
- สมัยนั้นไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยข้น หัวเนยใส
นับว่าเป็นเนยใสอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดเป็นหัวเนยใส
- สมัยนั้น ไม่นับว่านมสด นมส้ม เนยข้น เนยใส นับว่าเป็นหัวเนยใส
อย่างเดียวเท่านั้น
ฉันใด ดูกรจิตตะ ฉันนั้นเหมือนกัน
สมัยใดมีการได้อัตตาที่หยาบ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่หยาบอย่างเดียว เท่านั้น
สมัยใดมีการได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้ อัตตาที่หารูปมิได้
นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจอย่างเดียวเท่านั้น
สมัยใดมีการได้อัตตาที่หารูป มิได้
- สมัยนั้น ไม่นับว่าได้อัตตาที่หยาบ
- ไม่นับว่าได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ
นับว่าได้อัตตาที่หารูป มิได้อย่างเดียวเท่านั้น.
ดูกรจิตตะ เหล่านี้แลเป็นชื่อตามโลก เป็นภาษาของโลก เป็นโวหารของโลก เป็นบัญญัติ ของโลก
ที่ตถาคตกล่าวอยู่ มิได้ยึดถือ.
สรุป
จะเห็นได้ว่า...มันมีสิ่งหนึ่งที่..ไปเป็น...
นมสด -> นมส้ม -> เนยข้น -> เนยใส -> หัวเนยใส
ก็เช่นเดียวกับ...สิ่งหนึ่ง..ไปทำให้เกิดมี..อัตตามีรูป(กามภพ), อัตตาที่เกิดจากใจ(รูปภพ)
และ..อัตตาที่เกิดจากสัญญา(อรูปภพ)
สิ่งนั้นมีตัณหาอุปาทานในขันธ์๕..เพราะเหตุแห่งอวิชชา...ดังนั้นจึงเรียกสิ่งนั้นว่า " สัตว์ "....
อัตตา3..กับ..นมสด, นมส้ม, เนยข้น, เนยใส, หัวเนยใส <--เหล่านี้มันก็เป็นเพียงชื่อเรียกของ
สถาวะ...สถานะต่าง...ที่ " สิ่งๆหนึ่ง "...ไปได้สภาวะต่างๆ...
แต้ไม่ได้หมายว่าสภาวะนั้นมันไม่มีจริง...มันมีจริง..
กลับมาที่ " สัตว์ " vs " ขันธ์๕ "...
สัตว์...ไม่ใช่..ขันธ์๕
ขันธ์๕...ก็ไม่ใช่...สัตว์
ปุถุชนผู้ที่มิได้สดับในธรรม..ไม่ได้รับการแนะนำจากพระอริยเจ้า..ก็จะเข้าใจว่า..
" ขันธ์๕...เป็น...สัตว์ - เป็นบุคคล, เป็นตน, เป็นตัวตน "...
ส่วน..อริยสาวกผู้ได้สดับในธรรม.ได้รับการแนะนำจากพระอริยเจ้า..ก็จะเข้าใจว่า..
" ขันธ์๕...ไม่ใช่...สัตว์ - ไม่ป็นบุคคล, ไม่เป็นตน, ไม่เป็นตัวตน "...
" เราคือผู้ที่มายึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ๕.. ไม่ใช่..ไม่มีเรา " <---นี่มันอุจเฉททิฏฐิ