JJNY : ติดเชื้อ 1,843 ดับ 27│ร้านอาหารวอนดูแลหลัง “ก๊าซ”ขึ้นราคา│ขึ้นอุดหนุน4ปี เท่ากับเรียนฟรีทิพย์│ยูเครนปลื้มได้อาวุธ

ติดเชื้อใหม่วันนี้ 1,843 ดับ 27 ปอดอัดเสบ 916
https://www.matichon.co.th/local/news_3484675
 
 
ติดเชื้อใหม่วันนี้ 1,843 ดับ 27 ปอดอัดเสบ 916
 
เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 รายงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ประจำวันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565 โดยมีผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จำนวน 1,843 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยในประเทศ 1,843 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ – ราย ผู้ป่วยสะสม 2,370,692 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
หายป่วยกลับบ้าน 2,514 ราย หายป่วยสะสม 2,372,190 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกำลังรักษา 22,012 ราย
เสียชีวิต 27 ราย เสียชีวิตสะสม 9,733 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
 
จำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 916 ราย
 
เนื่องจากตั้งแต่ 1 มิ.ย. 65 เป็นต้นมา มีการปรับระบบรายงาน โดยรายงานเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล จึงทำให้รายงานยอดผู้ป่วยสะสม มีจำนวนที่น้อยกว่ายอดผู้หายป่วยสะสม


  
ร้านอาหารวอนรบ.ดูแลหลัง “ก๊าซหุงต้ม” ขึ้นราคา
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_383917/

ร้านอาหารรับ “ก๊าซหุงต้ม” (LPG) ขึ้นราคาทำต้นทุนเพิ่ม วอนรัฐบาลลงพื้นที่ดูแลความเดือดร้อนประชาชน
 
จากการลงพื้นที่ตลาดละลายทรัพย์รัชดาซอย 4 สำรวจร้านอาหารกับวันแรกของการปรับขึ้นราคา “ก๊าซหุงต้ม” (LPG) 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ตามมติของ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ซึ่งมีมติให้ทยอยปรับขึ้นตั้งแต่เดือน กรกฏาคม ที่ผ่านมา และจะปรับอีกครั้งเดือน กันยายน 2565 พบว่าร้านอาหารหลายร้านส่วนใหญ่ บอกว่าการปรับขึ้นครั้งนี้เหมือนเป็นการเพิ่มต้นทุนให้ผู้ประกอบ จากเดิมที่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจากวัตุดิบ เครื่องปรุง ราคาพุ่งขึ้นตั้งแต่ช่วงมิถุนายน-กรกฎาคม แม้น้ำมันปาล์มราคาจะลดลง แต่สินค้าอื่นๆก็แพงขึ้น
 
ทั้งนี้ในส่วนขอราคาอาหารทางร้านจะไม่มีการปรับขึ้นเนื่องจากมองว่าปัจจุบันค่าครองชีพของประชาชนนั้นสูงอยู่แล้ว หากปรับขึ้นราคาค่าอาหารจะทำให้กระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งทางร้านจะหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาเช่นการปรับลดปริมาณลงหรือการใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนวัตถุดิบที่แพงและเพิ่มเมนูที่มีส่วนประกอบของผักมากขึ้น ทางร้านยอมแบกรับต้นทุนไว้ เพื่อรักษาลูกค้าไว้ เพราะปัจจุบันยอดขายก็ลดลง อยู่แล้วยิ่งปรับราคาขึ้นอาจทำให้ลูกค้าลดลง
 
อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมาก ราคาน้ำมันแพง สินค้าแพง ราคาก๊าซหุงต้มยังปรับขึ้นทุกเดือน ซึ่งอยากให้รัฐบาลลงพื้นทีดูแลประชาชน บรรเทาความเดือดร้อน


  
ขึ้นอุดหนุน 4 ปี เท่ากับเรียนฟรีทิพย์ ลดเดือดร้อนแค่ 20% 'สมพงษ์' ชี้ 'รัฐบาล' แค่หาเสียงก่อนหมดวาระ
https://www.matichon.co.th/education/news_3481817
 
ขึ้นอุดหนุน 4 ปี เท่ากับเรียนฟรีทิพย์ ลดเดือดร้อนแค่ 20%-พ่อแม่แบกภาระ 80% ‘สมพงษ์’ ชี้ ‘รัฐบาล’ แค่หาเสียงก่อนหมดวาระ
 
ดร.ศุภเสฏฐ์ คณากูล นายกสมาคมคณะกรรมการประสานและส่งเสริมการศึกษาเอกชน (ส.ปส.กช.) เปิดเผยกรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบปรับอัตราเงินอุดหนุนรายหัวตามความจำเป็นพื้นฐาน ในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปี ตั้งแต่ระดับก่อนประถม ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ทั้งสถานศึกษาของรัฐ และเอกชน ครอบคลุมการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาทางเลือก โดยปรับเพิ่มแบบขั้นบันไดต่อเนื่อง 4 ปีงบประมาณ ตั้งแต่ปี 2566-2569 รวมกว่า 8 พันล้านบาท ว่า ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ช่วยเหลือโรงเรียนทั่วประเทศ โดยเฉพาะนักเรียนโรงเรียนเอกชนกว่า 2 ล้านคน ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ทำให้โรงเรียนมีเงินจัดกิจกรรมที่มีคุณภาพ ช่วยพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศต่อไป
 
“ขอฝากให้รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ช่วยผลักดันเพิ่มเงินอุดหนุนอาหารกลางวันให้นักเรียนด้วย เพราะขณะนี้โรงเรียนขนาดเล็กลำบากมาก เนื่องจากต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น แต่ยังได้รับเงินอุดหนุนหัวละ 21 บาทเท่าเดิม” ดร.ศุภเสฏฐ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา กล่าวว่า การเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวนักเรียนนั้น ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้ 20% เท่านั้น อีก 80% ผู้ปกครองจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าเรียนฟรี 15 ปี ไม่มีอยู่จริง เป็นการเรียนฟรีทิพย์ และการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวครั้งนี้ ถือเป็นการซ่อมผลงานทางการเมืองของรัฐบาล เพราะจะเห็นว่าตลอด 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่มีผลงานด้านการศึกษาออกมาเลย เมื่อใกล้จะหมดวาระ จึงผลักดันเรื่องนี้ ดังนั้น น.ส.ตรีนุช จึงประสบความสำเร็จที่สามารถสร้างผลงานที่เป็นไฮไลต์ได้ เชื่อว่าผลงานนี้จะถูกนำไปใช้หาเสียงทางการเมือง
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวต่อว่า แต่ถ้ามองในภาพรวม การเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวเป็นเรื่องดี แต่ในความจริงแล้ว เป็นการเพิ่มเงินที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินเดือน ค่าตอบแทนของครูและบุคลากรทางการศึกษา การเพิ่มเงินอุดหนุนเป็นการบรรเทาภาระของผู้ปกครองได้ระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้ โดยเฉพาะความยากจน และความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันมีคนยากจนเพิ่มมากขึ้นเกือบ 20% ถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุด เพราะความยากจนกับความเหลื่อมล้ำในสังคมยังคงอยู่ รัฐควรจะเปลี่ยนมุมมองในการให้สวัสดิการประชาชนใหม่ จากที่ผ่านมาให้สวัสดิการถ้วนหน้าที่เน้นแจก มาให้สวัสดิการโดยเน้นเฉพาะกลุ่ม และคนที่มีปัญหาเร่งด่วน เช่น ให้สวัสดิการเด็กที่ออกจากระบบการศึกษากลางคันก่อน เป็นต้น
 
“การปรับเพิ่มอัตราเงินอุดหนุนรายหัว จะปรับเพิ่ม 2 ส่วน คือ 

1.ค่าใช้จ่ายด้านผู้เรียน คือ ค่าอุปกรณ์การเรียน และค่าเครื่องแบบ 

2.ค่าใช้จ่ายด้านสถานศึกษา ได้แก่ ค่าจัดการเรียนการสอน และค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ทั้งในระบบ และนอกระบบ

แม้จะเป็นเรื่องดี แต่มีคำถามว่าการเพิ่มเงินให้สถานศึกษา จะทำให้ผู้เรียนมีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น มีการเรียนแบบ Active Learning และสามารถพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้จริงหรือ” ศ.ดร.สมพงษ์ กล่าว
 
ศ.ดร.สมพงษ์กล่าวอีกว่า การปฏิรูปการศึกษาในปัจจุบัน มองว่านอกจากจะปฏิรูปโครงสร้าง และตัวระบบแล้ว ต้องมีนวัตกรรมใหม่ ที่ผ่านมา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ศึกษามากว่า 3 ปี พบว่า การปฏิรูประบบการเงิน เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยปฏิรูปการศึกษาได้ ดังนั้น นอกจากเปลี่ยนโครงสร้าง และตัวระบบแล้ว ควรปฏิรูประบบการเงินด้วย ซึ่งจะแก้ไขปัญหาการศึกษาแบบเที่ยงธรรม และลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่ถ้ารัฐยังใช้ระบบการจ่ายเงินแบบเดิม คือ ใช้ระบบงบประมาณประจำปี จะทำให้การศึกษาติดอยู่กับระบบราชการ และท้ายสุดการศึกษาจะไม่พัฒนาได้มากพอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่