หากใครที่เคยรับชมซีรีย์ S.W.A.T. หรือภาพยนตร์ S.W.A.T. ย่อมต้องคุ้นเคยกับประโยคตอนเปิดตัวเข้าทำการจับกุมว่า'LAPD SWAT!!!' แต่ก็เชื่อว่าหลายๆคนนั้นยังอาจไม่รู้ที่ไปที่มาว่าทำไม SWAT ของ LAPD ถึงได้ก่อกำเนิดขึ้นมาและมีชื่อเสียงอันดับต้นๆของสวาตหน่วยงานตำรวจสหรัฐอเมริกา
1.ก่อกำเนิด SWAT แห่งกรมตำรวจลอสแอนเจลิส?
ในช่วงทศวรรษ 1960s อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในลอสแอนเจลิส (Los Angeles) นั้นมีความทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าอาชญากรก่อเหตุอุกฉกรรจ์มากขึ้น เช่น เอาปืนไล่ยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์, มีการจับตัวประกันขณะก่อเหตุ, ก่อเหตุแล้วหนีกบดานในมุมอาคารที่แคบมิดชิด เป็นต้น ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านี้ตำรวจไม่สามารถตอบสนองปฏิบัติการเข้าจับกุมได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าจะมีความพยายามแต่ก็ต้องอาจพบกับการได้รับบาดเจ็บหรืออาจหนักถึงขั้นเสียชีวิต
ปัญหาเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้กับเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แห่งกรมตำรวจลอสแอนเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) เป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า แดเรลล์ ฟรานซิส เกทส์ (Darrel Francis Gates) หรืออีกชื่อ แดริล เกทส์ (Daryl Gates) นายตำรวจหนุ่มไฟแรงอายุ 39 ปี ที่ริเริ่มแนวคิดและหนทางการแก้ปัญหาในการรับมือกับเหล่าอาชญากรที่นับวันยิ่งยกระดับก่อเหตุรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวคิดของเขาที่ว่าให้มีหน่วยตำรวจฝึกตามแบบยุทธวิธีทหารนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรในหน่วยงาน แต่ในที่สุดพวกผู้ใหญ่ในหน่วยงานต่างเล็งเห็นว่าแนวคิดของเกทส์นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือเหล่าอาชญากรที่เปลี่ยนไป จึงได้ทำการส่งอาสาสมัครตำรวจไปฝึกยุทธวิธีรบ+การควบคุมฝูงชน (Crowd control) เมื่อยามเกิดจลาจล ที่ค่ายเพนเดิลตั้นของนาวิกโยธิน (Marine Corps Base Camp Pendleton) ซึ่งที่นั่นพวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนจากเหล่านาวิกที่มีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนาม ทั้งนี้พวกนาวิกก็ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเพื่อนตำรวจอย่างเต็มที่ รวมถึงถ่ายทอดวิชาการสอดแนมซุ่มยิง (Scout Sniper Course) ของนาวิกโยธิน ซึ่งมีนาวิกจากหน่วยสอดแนมซุ่มยิงนาวิกโยธิน (United States Marine Corps Scout Sniper : MOS 0317) เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ หลังจากที่ได้ฝึกจบทางตำรวจก็ได้นำวิชาความรู้มาดัดแปลงและประยุกต์ให้เหมาะสมกับพลเรือนเพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ต่างๆในรูปแบบที่ต้องใช้กับประชาชนคนทั่วไป
ในปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) ทาง LAPD ได้รับจนท. 60 นายที่เคยผ่านการฝึกจากค่ายเพนเดิลตั้น ส่งไปยังหมวดเมโทร กองที่ 3 (3rd Metropolitan Division Platoon) หรือที่เรียกกันว่าหมวดดี (D Platoon) ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ย่อยอีก 6 หมู่ (Squad) ทว่าเริ่มแรกเหมือนจะดูดีที่มีโครงสร้างจัดรูปแบบไปไม่ต่างจากทหาร แต่ก็ต้องเผชิญกับข้อโต้แย้งของพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนที่ว่า"นี่มันไม่ใช่งานของตำรวจ เหตุใดจึงต้องนำตำรวจไปฝึกด้วย มันเป็นงานของทหารไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย"
ในความคิดของเกทส์นั้นตั้งใจว่าจะให้ D Platoon ใช้ชื่อว่า SWAT ที่ย่อมาจากคำเต็มว่า Special Weapons Attack Teams แต่แล้วก็ถูกปัดตกไป เนื่องด้วยทางเบื้องบนเห็นว่ามันออกแนวไปทางทหารเกิน ดังนั้นเกทส์จึงนำกลับมาคิดใหม่แล้วเสนอไปว่า Special Weapons And Tactics และชื่อนี้ก็ผ่าน ทว่าการที่ชื่อนี้ผ่านนั้นกลับกลายเป็นการให้กำเนิดชื่อ SWAT ครั้งแรกของโลก ในช่วงแรก LAPD SWAT จัดเป็นหน่วยชั้นความลับของทาง LAPD แล้วทางตัวหน่วยก็ได้พัฒนาระบบการฝึกของตนเองขึ้นมาเพื่อตอบสนองวิกฤตการณ์ที่เหล่าอาชญากรก่อขึ้นในรูปแบบที่ตำรวจธรรมดาไม่สามารถรับมือได้ ทั้งนี้เกทส์เองก็พยายามคิดยุทธวิธีในการชิงตัวประกันขึ้นมาเพื่อรับมือสถานการณ์หากว่าผู้ร้ายมีการจับตัวประกัน นับได้ว่าแนวคิดของเกทส์ในเรื่องของหลักสูตรชิงตัวประกันนั้นเป็นรุ่นบุกเบิกแรกๆของเหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายก็ว่าได้
ช่วงเริ่มต้นของ LAPD SWAT นั้นพวกอุปกรณ์ต่างๆและอาวุธต่างจัดหารกันมาเองให้ได้มากที่สุดและคล่องตัวที่สุด ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งสิ้น คิดอะไรได้ก็นำมาใช้ดูกันก่อน ถ้ามันเวิร์กก็นำมาบรรจุในหน่วย เมื่อต้องการใช้ก็หยิบขึ้นมาใช้งานตามความเหมาะสม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเริ่มต้นแบบนับตั้งแต่ศูนย์ ไม่เคยมีใครสร้างพื้นฐานและรูปแบบใดๆมาก่อนเลย ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด ทั้งคิดค้นและพัฒนาเพื่อให้มันสู่จุดที่เหมาะสมและใช้งานได้จริง บางอย่างที่ผิดพลาดก็จะนำมานั่งประชุมวางแผนคิดกันใหม่เพื่อลบจุดอ่อนเหล่านั้น ลดความเสี่ยงแก่สมาชิกทีมปฏิบัติการ
2.เริ่มฉายแวว?
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ทาง D Platoon ได้รับภารกิจให้ทลายกลุ่มเสือดำ (Black Panther Party : BPP) กลุ่มอาชญากรรมที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก ทว่าภารกิจที่ D Platoon ได้รับแจ้งนั้นกลับกลายเป็นว่ารอการอนุมัติจากทางเบื้องบน ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจเนื่องด้วยเหตุการณ์ได้จบลงไปแล้ว จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา ในปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) สหพันธ์กองทัพปลดปล่อยซิมไบโอนี (United Federated Forces of the Symbionese Liberation Army : SLA) องค์กรอาชญากรรมซ้ายจัด ได้ก่อเหตุลักพาตัวทายาทเศรษฐีสื่อพิมพ์และภาพยนตร์นามว่าแพทริเซีย แคมเบล เฮอร์สท์ (Patricia Campbell Hearst) ตัวของแพทริเซียนั้นถูกข่มขืนและถูกล้างสมองให้เป็นหนึ่งในพลพรรค SLA พวก SLA ได้นำพาทายาทเศรษฐีนางนี้ออกปล้นธนาคารด้วย การกระทำของ SLA นอกจากปล้นธนาคารแล้วยังฆ่าคนเป็นผักปลาสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ทาง LAPD จึงตัดสินใจที่จะเข้าทำการจับกุมหัวหน้าแก๊ง โดยให้ทาง D Platoon รับหน้าที่เป็นหน่วยหัวหอกในการไล่ล่า, เฝ้าตรวจ, หาข่าว, แกะรอย และบุกจับกุม ซึ่งหลังจากที่ยิงปะทะกันอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง ทางที่มั่นของพลพรรคแก๊ง SLA ก็เกิดไฟไหม้ และไม่มีผู้ใดที่วิ่งหนีออกมา เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นการสร้างผลงานครั้งแรกของ LAPD SWAT ซึ่งก็ได้มีหลายสำนักข่าวออกมาเล่นข่าวเกี่ยวกับหน่วยปริศนานี้ และชื่อของ SWAT ก็ได้เริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว
3.เพิ่มขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากล?
ในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ก่อนที่จะถึงการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน (1984 Summer Olympics) แดริล เกทส์ ผู้บุกเบิก LAPD SWAT ที่ตอนนั้นได้รับตำแหน่งหัวหน้ากรมตำรวจลอสแอนเจลิสคนที่ 49 (49th Chief of the Los Angeles Police Department) ต้องการให้ D Platoon มีขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากล+ชิงตัวประกัน เพื่อให้รับภารกิจต่อต้านการก่อการร้ายได้ เนื่องด้วยตระหนักถึงภัยคุกคามการก่อการร้ายสากลในช่วงเวลานั้น ทว่าแนวคิดของเขากลับถูกพลพรรค SWAT คัดค้านอย่างหนักว่า"พวกเราเป็นหน่วยสวาต ไม่ใช่หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย" เมื่อถูกคัดค้านก็ยิ่งทำให้พี่แกต้องเอาให้ได้จึงเรียกนายตำรวจ 3 นายได้แก่
1.ร้อยตำรวจเอก จอห์น ฮิกกินส์ (Captain John Higgins)
2.ร้อยตำรวจโท เจฟฟรีย์ โรเจอร์ (Lieutenant Jeffrey Rogers) (ผู้คัดค้าน)
3.สิบตำรวจโท อัล พรีเซียโด (Corporal Al Preciado)
ส่งไปศึกษาและดูงานหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายสากลและต่อต้านการก่อความไม่สงบของหน่วยงานต่างประเทศและของตัวเองที่อยู่ในต่างประเทศ ได้แก่
-Yamam ของตำรวจตระเวนชายแดนอิสราเอล
-GIGN ของ National Gendarmerie ฝรั่งเศส
-GIS ของ Carabinieri อิตาลี
-NOCS ของตำรวจอิตาลี
-GSG 9 ของตำรวจตระเวนชายแดนเยอรมณีตะวันตก
-SEK ของตำรวจเยอรมัน
-SAS ของทบ.บริติช
-SO13 (ปัจจุบันรวมเข้ากับ SO12 กลายมาเป็น SO15) และ SCO19 ของทางตำรวจนครบาลสหราชอาณาจักร (ถ้าใครเคยดูซีรีย์ Bodyguard กับ The Capture น่าจะพอคุ้นๆกันอยู่บ้าง)
-กองรบพิเศษที่ 10 (ส่งทางอากาศ) (10th Special Forces Group (Airborne)) ของทบ.สหรัฐ
นายตำรวจทั้งสามใช้เวลาตระเวนดูงานอยู่นานพอควร แล้วพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับเอกสารปึกใหญ่ รวมถึงบัญชีรายการสิ่งของที่จำเป็นต่องานต่อต้านการก่อการร้ายสากล หลังจากนั้นจึงได้มีการผลักดันให้ D Platoon ได้ไปฝึกร่วมกับทาง Delta Force ที่ฟอร์ท แบร็กก์ (Fort Bragg) รัฐนอร์ทแคโรไลนา (North Carolina) นับแต่นั้นทาง D Platoon จึงมีหลักสูตรและขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากลเพิ่มเข้ามา และ LAPD SWAT ก็ได้กลายมาเป็น Special SWAT (เหนือกว่าหน่วยสวาตทั่วๆไป)
หากใครที่ยังสับสนหรือกำลังศึกษาเกี่ยวกับ LAPD SWAT เราหวังว่าการสรุปข้อมูลแบบคร่าวๆไม่ลงรายละเอียดเจาะลึกมากนี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น และสุดท้ายนี้หากผิดพลาดข้อมูลประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
มาทำความรู้จัก LAPD SWAT แบบง่ายๆคร่าวๆกันเต๊อะ
1.ก่อกำเนิด SWAT แห่งกรมตำรวจลอสแอนเจลิส?
ในช่วงทศวรรษ 1960s อาชญากรรมที่เกิดขึ้นในลอสแอนเจลิส (Los Angeles) นั้นมีความทวีรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าอาชญากรก่อเหตุอุกฉกรรจ์มากขึ้น เช่น เอาปืนไล่ยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์, มีการจับตัวประกันขณะก่อเหตุ, ก่อเหตุแล้วหนีกบดานในมุมอาคารที่แคบมิดชิด เป็นต้น ซึ่งเหตุที่เกิดขึ้นเหล่านี้ตำรวจไม่สามารถตอบสนองปฏิบัติการเข้าจับกุมได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าจะมีความพยายามแต่ก็ต้องอาจพบกับการได้รับบาดเจ็บหรืออาจหนักถึงขั้นเสียชีวิต
ปัญหาเหล่านี้นั้นเป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้กับเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แห่งกรมตำรวจลอสแอนเจลิส (Los Angeles Police Department : LAPD) เป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีบุรุษผู้หนึ่งนามว่า แดเรลล์ ฟรานซิส เกทส์ (Darrel Francis Gates) หรืออีกชื่อ แดริล เกทส์ (Daryl Gates) นายตำรวจหนุ่มไฟแรงอายุ 39 ปี ที่ริเริ่มแนวคิดและหนทางการแก้ปัญหาในการรับมือกับเหล่าอาชญากรที่นับวันยิ่งยกระดับก่อเหตุรุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งแนวคิดของเขาที่ว่าให้มีหน่วยตำรวจฝึกตามแบบยุทธวิธีทหารนั้นไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควรในหน่วยงาน แต่ในที่สุดพวกผู้ใหญ่ในหน่วยงานต่างเล็งเห็นว่าแนวคิดของเกทส์นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรับมือเหล่าอาชญากรที่เปลี่ยนไป จึงได้ทำการส่งอาสาสมัครตำรวจไปฝึกยุทธวิธีรบ+การควบคุมฝูงชน (Crowd control) เมื่อยามเกิดจลาจล ที่ค่ายเพนเดิลตั้นของนาวิกโยธิน (Marine Corps Base Camp Pendleton) ซึ่งที่นั่นพวกเขาก็ได้รับการฝึกฝนจากเหล่านาวิกที่มีประสบการณ์รบจากสงครามเวียดนาม ทั้งนี้พวกนาวิกก็ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับเพื่อนตำรวจอย่างเต็มที่ รวมถึงถ่ายทอดวิชาการสอดแนมซุ่มยิง (Scout Sniper Course) ของนาวิกโยธิน ซึ่งมีนาวิกจากหน่วยสอดแนมซุ่มยิงนาวิกโยธิน (United States Marine Corps Scout Sniper : MOS 0317) เป็นผู้ถ่ายทอดวิชาให้ หลังจากที่ได้ฝึกจบทางตำรวจก็ได้นำวิชาความรู้มาดัดแปลงและประยุกต์ให้เหมาะสมกับพลเรือนเพื่อให้แก้ไขสถานการณ์ต่างๆในรูปแบบที่ต้องใช้กับประชาชนคนทั่วไป
ในปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) ทาง LAPD ได้รับจนท. 60 นายที่เคยผ่านการฝึกจากค่ายเพนเดิลตั้น ส่งไปยังหมวดเมโทร กองที่ 3 (3rd Metropolitan Division Platoon) หรือที่เรียกกันว่าหมวดดี (D Platoon) ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่ย่อยอีก 6 หมู่ (Squad) ทว่าเริ่มแรกเหมือนจะดูดีที่มีโครงสร้างจัดรูปแบบไปไม่ต่างจากทหาร แต่ก็ต้องเผชิญกับข้อโต้แย้งของพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนที่ว่า"นี่มันไม่ใช่งานของตำรวจ เหตุใดจึงต้องนำตำรวจไปฝึกด้วย มันเป็นงานของทหารไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย"
ในความคิดของเกทส์นั้นตั้งใจว่าจะให้ D Platoon ใช้ชื่อว่า SWAT ที่ย่อมาจากคำเต็มว่า Special Weapons Attack Teams แต่แล้วก็ถูกปัดตกไป เนื่องด้วยทางเบื้องบนเห็นว่ามันออกแนวไปทางทหารเกิน ดังนั้นเกทส์จึงนำกลับมาคิดใหม่แล้วเสนอไปว่า Special Weapons And Tactics และชื่อนี้ก็ผ่าน ทว่าการที่ชื่อนี้ผ่านนั้นกลับกลายเป็นการให้กำเนิดชื่อ SWAT ครั้งแรกของโลก ในช่วงแรก LAPD SWAT จัดเป็นหน่วยชั้นความลับของทาง LAPD แล้วทางตัวหน่วยก็ได้พัฒนาระบบการฝึกของตนเองขึ้นมาเพื่อตอบสนองวิกฤตการณ์ที่เหล่าอาชญากรก่อขึ้นในรูปแบบที่ตำรวจธรรมดาไม่สามารถรับมือได้ ทั้งนี้เกทส์เองก็พยายามคิดยุทธวิธีในการชิงตัวประกันขึ้นมาเพื่อรับมือสถานการณ์หากว่าผู้ร้ายมีการจับตัวประกัน นับได้ว่าแนวคิดของเกทส์ในเรื่องของหลักสูตรชิงตัวประกันนั้นเป็นรุ่นบุกเบิกแรกๆของเหล่าผู้บังคับใช้กฎหมายก็ว่าได้
ช่วงเริ่มต้นของ LAPD SWAT นั้นพวกอุปกรณ์ต่างๆและอาวุธต่างจัดหารกันมาเองให้ได้มากที่สุดและคล่องตัวที่สุด ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีมาตรฐานอะไรทั้งสิ้น คิดอะไรได้ก็นำมาใช้ดูกันก่อน ถ้ามันเวิร์กก็นำมาบรรจุในหน่วย เมื่อต้องการใช้ก็หยิบขึ้นมาใช้งานตามความเหมาะสม ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเริ่มต้นแบบนับตั้งแต่ศูนย์ ไม่เคยมีใครสร้างพื้นฐานและรูปแบบใดๆมาก่อนเลย ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด ทั้งคิดค้นและพัฒนาเพื่อให้มันสู่จุดที่เหมาะสมและใช้งานได้จริง บางอย่างที่ผิดพลาดก็จะนำมานั่งประชุมวางแผนคิดกันใหม่เพื่อลบจุดอ่อนเหล่านั้น ลดความเสี่ยงแก่สมาชิกทีมปฏิบัติการ
2.เริ่มฉายแวว?
วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ทาง D Platoon ได้รับภารกิจให้ทลายกลุ่มเสือดำ (Black Panther Party : BPP) กลุ่มอาชญากรรมที่มีความอันตรายเป็นอย่างมาก ทว่าภารกิจที่ D Platoon ได้รับแจ้งนั้นกลับกลายเป็นว่ารอการอนุมัติจากทางเบื้องบน ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ออกปฏิบัติภารกิจเนื่องด้วยเหตุการณ์ได้จบลงไปแล้ว จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา ในปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517) สหพันธ์กองทัพปลดปล่อยซิมไบโอนี (United Federated Forces of the Symbionese Liberation Army : SLA) องค์กรอาชญากรรมซ้ายจัด ได้ก่อเหตุลักพาตัวทายาทเศรษฐีสื่อพิมพ์และภาพยนตร์นามว่าแพทริเซีย แคมเบล เฮอร์สท์ (Patricia Campbell Hearst) ตัวของแพทริเซียนั้นถูกข่มขืนและถูกล้างสมองให้เป็นหนึ่งในพลพรรค SLA พวก SLA ได้นำพาทายาทเศรษฐีนางนี้ออกปล้นธนาคารด้วย การกระทำของ SLA นอกจากปล้นธนาคารแล้วยังฆ่าคนเป็นผักปลาสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ทาง LAPD จึงตัดสินใจที่จะเข้าทำการจับกุมหัวหน้าแก๊ง โดยให้ทาง D Platoon รับหน้าที่เป็นหน่วยหัวหอกในการไล่ล่า, เฝ้าตรวจ, หาข่าว, แกะรอย และบุกจับกุม ซึ่งหลังจากที่ยิงปะทะกันอยู่เกือบ 1 ชั่วโมง ทางที่มั่นของพลพรรคแก๊ง SLA ก็เกิดไฟไหม้ และไม่มีผู้ใดที่วิ่งหนีออกมา เหตุการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นการสร้างผลงานครั้งแรกของ LAPD SWAT ซึ่งก็ได้มีหลายสำนักข่าวออกมาเล่นข่าวเกี่ยวกับหน่วยปริศนานี้ และชื่อของ SWAT ก็ได้เริ่มแพร่สะพัดไปทั่ว
3.เพิ่มขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากล?
ในปีค.ศ.1984 (พ.ศ.2527) ก่อนที่จะถึงการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน (1984 Summer Olympics) แดริล เกทส์ ผู้บุกเบิก LAPD SWAT ที่ตอนนั้นได้รับตำแหน่งหัวหน้ากรมตำรวจลอสแอนเจลิสคนที่ 49 (49th Chief of the Los Angeles Police Department) ต้องการให้ D Platoon มีขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากล+ชิงตัวประกัน เพื่อให้รับภารกิจต่อต้านการก่อการร้ายได้ เนื่องด้วยตระหนักถึงภัยคุกคามการก่อการร้ายสากลในช่วงเวลานั้น ทว่าแนวคิดของเขากลับถูกพลพรรค SWAT คัดค้านอย่างหนักว่า"พวกเราเป็นหน่วยสวาต ไม่ใช่หน่วยต่อต้านการก่อการร้าย" เมื่อถูกคัดค้านก็ยิ่งทำให้พี่แกต้องเอาให้ได้จึงเรียกนายตำรวจ 3 นายได้แก่
1.ร้อยตำรวจเอก จอห์น ฮิกกินส์ (Captain John Higgins)
2.ร้อยตำรวจโท เจฟฟรีย์ โรเจอร์ (Lieutenant Jeffrey Rogers) (ผู้คัดค้าน)
3.สิบตำรวจโท อัล พรีเซียโด (Corporal Al Preciado)
ส่งไปศึกษาและดูงานหลักสูตรต่อต้านการก่อการร้ายสากลและต่อต้านการก่อความไม่สงบของหน่วยงานต่างประเทศและของตัวเองที่อยู่ในต่างประเทศ ได้แก่
-Yamam ของตำรวจตระเวนชายแดนอิสราเอล
-GIGN ของ National Gendarmerie ฝรั่งเศส
-GIS ของ Carabinieri อิตาลี
-NOCS ของตำรวจอิตาลี
-GSG 9 ของตำรวจตระเวนชายแดนเยอรมณีตะวันตก
-SEK ของตำรวจเยอรมัน
-SAS ของทบ.บริติช
-SO13 (ปัจจุบันรวมเข้ากับ SO12 กลายมาเป็น SO15) และ SCO19 ของทางตำรวจนครบาลสหราชอาณาจักร (ถ้าใครเคยดูซีรีย์ Bodyguard กับ The Capture น่าจะพอคุ้นๆกันอยู่บ้าง)
-กองรบพิเศษที่ 10 (ส่งทางอากาศ) (10th Special Forces Group (Airborne)) ของทบ.สหรัฐ
นายตำรวจทั้งสามใช้เวลาตระเวนดูงานอยู่นานพอควร แล้วพวกเขาก็กลับมาพร้อมกับเอกสารปึกใหญ่ รวมถึงบัญชีรายการสิ่งของที่จำเป็นต่องานต่อต้านการก่อการร้ายสากล หลังจากนั้นจึงได้มีการผลักดันให้ D Platoon ได้ไปฝึกร่วมกับทาง Delta Force ที่ฟอร์ท แบร็กก์ (Fort Bragg) รัฐนอร์ทแคโรไลนา (North Carolina) นับแต่นั้นทาง D Platoon จึงมีหลักสูตรและขีดความสามารถต่อต้านการก่อการร้ายสากลเพิ่มเข้ามา และ LAPD SWAT ก็ได้กลายมาเป็น Special SWAT (เหนือกว่าหน่วยสวาตทั่วๆไป)
หากใครที่ยังสับสนหรือกำลังศึกษาเกี่ยวกับ LAPD SWAT เราหวังว่าการสรุปข้อมูลแบบคร่าวๆไม่ลงรายละเอียดเจาะลึกมากนี้จะทำให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น และสุดท้ายนี้หากผิดพลาดข้อมูลประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย