นับตั้งแต่โลกใบนี้เผชิญโรค COVID ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา หลายๆประเทศประสบปัญหาต่างๆมากมาย ไหนจะเรื่องวัคซีนที่ขาดแคลน เรื่องธุรกิจของประเทศ เรื่องค่าเงิน และเรื่องอื่นๆที่สัมพันธ์กับโรค COVID ที่แทบจะเปลี่ยนโลกกลมๆใบนี้ไปเลยก็ว่าได้ หลังจากสู้รบกับโรค COVID ผ่านมาได้ 3 ปี จนมาถึงปี 2022 นี้จะพูดได้ว่าโลกใบนี้กำลังก้าวผ่านวิกฤตโควิดไปอย่างช้าๆ หลายๆประเทศเข้าสู่ภาวะปกติ เริ่มถอดแมส เริ่มใช้ชีวิตกันอย่างปกติแล้ว ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยที่เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศกันแล้ว แต่การเปิดรับนักท่องเที่ยวครั้งนี้คาดว่ายังคงไม่สามารถช่วยฟื้นฟูกลุ่มสายการบิน ร้านค้าปลอดอากรในสนามบินได้สักเท่าไร ต้องมาตามดูกันว่าภาครัฐฯจะออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือได้แค่ไหน
เปิดประเทศแล้วแต่คาดการณ์นักท่องเที่ยวมีเพียงครึ่งเดียว
หลังจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. จะเริ่มผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศแล้ว สำหรับ จขกท. อันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีเพราะต้องยอมรับว่าหลายๆประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่างๆเพื่อเตรียมฟื้นฟูประเทศของตัวเองกันแล้ว โดยส่วนตัวหวังว่าการผ่อนปรนมาตรการในครั้งนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย และภาครัฐฯเองก็โดดลงมาส่งเสริมเรื่องการเปิดประเทศด้วยโครงการต่างๆที่กระตุ้นการท่องเที่ยว อย่างพวกโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ช่วยทั้งผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว กระตุ้นให้เกิดการเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดย รมว.คมนาคม คาดการณ์ว่า นับจากวันที่ 1 พ.ค.-31 ธ.ค.2565 จะมีการเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศประมาณ 22 ล้านคน หรือประมาณ 50% ของปริมาณผู้โดยสารในปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศแต่สถานการณ์ผู้ประกอบการสนามบิน สายการบินยังโคม่า
ในช่วงวิกฤตโควิดเราจะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบมีหลายกลุ่มมาก แต่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือผู้ประกอบการสนามบิน สายการบิน เพราะกลุ่มนี้แทบจะเรียกได้ว่ารายได้พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักเลยจริงๆ จากที่เราจะเห็นข่าวว่าเครื่องบินจอดสนิทเป็นร้อยๆลำ และกลุ่มนี้มีจำนวนพนักงานหลายหมื่นชีวิตเลยทีเดียว ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งกู้ยืม เพื่อต่อลมหายใจธุรกิจ ใครแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็ล้มหายตายจากไปจากระบบ และที่เห็นได้ชัดเลยคือภาครัฐฯ ค่อนข้างจะ “ทิ้ง” กลุ่มภาคธุรกิจนี้ทั้งๆที่เป็นธุรกิจต้นน้ำและฟันเฟืองสำคัญลำดับแรกๆของภาคธุรกิจท่องเที่ยวด้วยซ้ำไป ดูง่ายๆถึงขั้นกลุ่มธุรกิจต้องออกมาขอ Soft loan จากภาครัฐฯ ต่อชีวิตกันเลยทีเดียว
ยังคงรอคอยโครงการเยียวยาจากภาครัฐ
ในขณะที่ภาครัฐฯออกมาตรการการช่วยเหลือในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม แต่กลับกันเราไม่ค่อยได้เห็นมาตรการช่วยเหลือพวกกลุ่มสายการบิน ร้านค้าปลอดอากรในสนามบินสักเท่าไร เห็นได้จากสายการบินต่างๆประสบปัญหาอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่โควิดระบาดอย่างหนักและถึงแม้ว่าจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแล้วก็ตามแต่ก็จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้ก็ยังคงมีเพียง 50% ของนักท่องเที่ยวในเวลาปกติ และใช่ว่านักท่องเที่ยวที่มาภายในปีนี้จะฟื้นฟูธุรกิจได้เลยทันที เพราะการขาดทุนที่สะสมมามากกว่า 2 ปี กว่าผลประกอบการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมีไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแน่นอน
โดยกลุ่มดังกล่าวก็ยังหวังพึ่งพาโครงการเยียวยาต่างๆจากภาครัฐฯให้ประคองธุรกิจไปจนกว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาใกล้เคียงตัวเลขเดิม
การผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศในครั้งนี้ เป็นความหวังของธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับการท่องเที่ยว ที่ต้องการเม็ดเงินที่แปรผันตามตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ในระหว่างนั้นภาครัฐฯยังคงมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือกลุ่มเหล่านี้ไปจนกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่าลืมว่าในอดีตกลุ่มธุรกิจเหล่านี้เป็นตัวช่วยทำให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโต และเมื่อประคองกันจนผ่านภาวะวิกฤตได้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวและเติบโตอย่างมั่นคงอีกครั้งอย่างแน่นอน.
Ref :
https://www.facebook.com/thestandardwealth/photos/a.183297416759288/557970479291978/?type=3
การเยียวยาของภาครัฐกับการผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศ ตัวต่ออายุธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย
เปิดประเทศแล้วแต่คาดการณ์นักท่องเที่ยวมีเพียงครึ่งเดียว
หลังจากวันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. จะเริ่มผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศแล้ว สำหรับ จขกท. อันนี้ถือว่าเป็นข่าวดีเพราะต้องยอมรับว่าหลายๆประเทศเริ่มผ่อนปรนมาตรการต่างๆเพื่อเตรียมฟื้นฟูประเทศของตัวเองกันแล้ว โดยส่วนตัวหวังว่าการผ่อนปรนมาตรการในครั้งนี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย และภาครัฐฯเองก็โดดลงมาส่งเสริมเรื่องการเปิดประเทศด้วยโครงการต่างๆที่กระตุ้นการท่องเที่ยว อย่างพวกโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ที่ช่วยทั้งผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว กระตุ้นให้เกิดการเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดย รมว.คมนาคม คาดการณ์ว่า นับจากวันที่ 1 พ.ค.-31 ธ.ค.2565 จะมีการเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศประมาณ 22 ล้านคน หรือประมาณ 50% ของปริมาณผู้โดยสารในปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19
ในช่วงวิกฤตโควิดเราจะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบมีหลายกลุ่มมาก แต่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดคือผู้ประกอบการสนามบิน สายการบิน เพราะกลุ่มนี้แทบจะเรียกได้ว่ารายได้พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักเลยจริงๆ จากที่เราจะเห็นข่าวว่าเครื่องบินจอดสนิทเป็นร้อยๆลำ และกลุ่มนี้มีจำนวนพนักงานหลายหมื่นชีวิตเลยทีเดียว ซึ่งที่ผ่านมามีทั้งกู้ยืม เพื่อต่อลมหายใจธุรกิจ ใครแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็ล้มหายตายจากไปจากระบบ และที่เห็นได้ชัดเลยคือภาครัฐฯ ค่อนข้างจะ “ทิ้ง” กลุ่มภาคธุรกิจนี้ทั้งๆที่เป็นธุรกิจต้นน้ำและฟันเฟืองสำคัญลำดับแรกๆของภาคธุรกิจท่องเที่ยวด้วยซ้ำไป ดูง่ายๆถึงขั้นกลุ่มธุรกิจต้องออกมาขอ Soft loan จากภาครัฐฯ ต่อชีวิตกันเลยทีเดียว
ในขณะที่ภาครัฐฯออกมาตรการการช่วยเหลือในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม แต่กลับกันเราไม่ค่อยได้เห็นมาตรการช่วยเหลือพวกกลุ่มสายการบิน ร้านค้าปลอดอากรในสนามบินสักเท่าไร เห็นได้จากสายการบินต่างๆประสบปัญหาอย่างรุนแรงในช่วงเวลาที่โควิดระบาดอย่างหนักและถึงแม้ว่าจะกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวแล้วก็ตามแต่ก็จะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวที่คาดการณ์ไว้ก็ยังคงมีเพียง 50% ของนักท่องเที่ยวในเวลาปกติ และใช่ว่านักท่องเที่ยวที่มาภายในปีนี้จะฟื้นฟูธุรกิจได้เลยทันที เพราะการขาดทุนที่สะสมมามากกว่า 2 ปี กว่าผลประกอบการณ์จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมมีไม่ต่ำกว่า 3-4 ปีแน่นอน
โดยกลุ่มดังกล่าวก็ยังหวังพึ่งพาโครงการเยียวยาต่างๆจากภาครัฐฯให้ประคองธุรกิจไปจนกว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาใกล้เคียงตัวเลขเดิม
การผ่อนปรนมาตรการเข้าประเทศในครั้งนี้ เป็นความหวังของธุรกิจที่มีความสัมพันธ์กับการท่องเที่ยว ที่ต้องการเม็ดเงินที่แปรผันตามตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง ในระหว่างนั้นภาครัฐฯยังคงมีความจำเป็นต้องช่วยเหลือกลุ่มเหล่านี้ไปจนกว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อย่าลืมว่าในอดีตกลุ่มธุรกิจเหล่านี้เป็นตัวช่วยทำให้เศรษฐกิจในประเทศเติบโต และเมื่อประคองกันจนผ่านภาวะวิกฤตได้ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวและเติบโตอย่างมั่นคงอีกครั้งอย่างแน่นอน.
Ref : https://www.facebook.com/thestandardwealth/photos/a.183297416759288/557970479291978/?type=3