JJNY : ‘ผาสุก’ชี้สวัสดิการถ้วนหน้าเกิดได้│'หมอธีระ' ย้ำโควิดไม่กระจอก│หวั่นบาทอ่อน 36 บ.ทุบนำเข้า│ตั้งข้อสงสัยไฟไหม้บ่อย

‘ผาสุก’ ชี้ สวัสดิการถ้วนหน้า เป็นสิทธิของประชาชน เกิดได้ถ้าการเมืองดี-ทหารไม่ครอบงำ
https://ch3plus.com/news/political/kaoden/297972

วันนี้ มีการจัดเวทีขับเคลื่อนรัฐสวัสดิการ เป็นวันที่สอง ที่น่าสนใจคือการปาฐกถาของ อาจารย์ผาสุก พงษ์ไพจิตร
 
ศ.ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์การเมือง กล่าวปาฐกถาหัวข้อ "90 ปี ประชาธิปไตย อนาคตรัฐสวัสดิการ อนาคตสังคมไทย" ในเวทีขับเคลื่อนรัฐสวัสดิการ 2565 ที่จัดโดย เครือข่าย we fair และแนวร่วมรัฐสวัสดิการ ที่หอศิลปวัฒนธรรม กทม.
 
อาจารย์ผาสุก ได้กล่าวสนับสนุนให้มีสวัสดิการถ้วนหน้า โดยระบุว่าเป็นสิทธิที่พึงมีพึงได้ของประชาชนในฐานะที่เป็นผู้เสียภาษี และกล่าวว่า "ระบบภาษีของไทยแย่ ไม่เป็นธรรม ล้าสมัย เกรงใจผู้มีฐานะเกินความพอดี รัฐไทยเก็บภาษีจากผู้ใช้แรงงานเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด แต่กลับเก็บภาษีจากผู้มั่งคั่งและบริษัทธุรกิจใหญ่ไม่เก่ง แถมปล่อยให้มีช่องโหว่ให้คนมีฐานะเลี่ยงภาษีได้มาก มีการลดหย่อนยกเว้นอย่างมากมาย เพราะมีการล็อบบี้ตลอดมา"

อาจารย์ผาสุก กล่าวว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการสร้างรัฐสวัสดิการ ที่สำคัญ คือ เรื่องการเมือง ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนว่า สวัสดิการดีๆ เช่นเรื่อง ระบบประกันสังคม ระบบรักษาพยาบาลฟรี เกิดขึ้นมาในยุครัฐบาลประชาธิปไตย และระบุถึงบทบาททหารในการเมืองไทยที่ส่งผลต่อการเกิดสวัสดิการถ้วนหน้าสำหรับประชาชน
 
อีกด้าน พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม "Hackathon รัฐธรรมนูญฉบับก้าวไกล" ให้ประชาชนสวมบทบาทสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อร่วมระดมความคิดเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนอยากเห็น
 
นายพริษฐ์ วัชรสิทธุ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นฉบับประชาชน ต้องเดิน 3 ก้าวคือ เปิดสวิตซ์ ส.ว. การแก้ไขรายมาตรา และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ยอมรับว่าทำได้ยากในรัฐบาลนี้ จึงมองไปที่การเลือกตั้งใหญ่ ว่าจะเป็นเวทีให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญให้ประชาชนตัดสิน
 
รับชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/YlMgY0qe7HE
  
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

  
'หมอธีระ' ย้ำโควิดไม่กระจอก ติดเชื้อไม่จบแค่ชิลๆ แล้วหาย ป่วย-ตายได้ แม้ฉีดวัคซีน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7130999

‘หมอธีระ’ ย้ำโควิดไม่กระจอก ติดเชื้อแล้วหาย ป่วย-ตายได้ แม้ฉีดวัคซีนแล้ว ห่วงสายพันธุ์ใหม่ระบาดแพร่มากกว่าสายพันธุ์เดิมหลายเท่า ชี้แมสก์สำคัญมาก
 
เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.65 นพ.ธีระ วรธนารัตน์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุว่า 
 
เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 272,841 คน ตายเพิ่ม 479 คน รวมแล้วติดไป 548,924,518 คน เสียชีวิตรวม 6,350,753 คน
  
5 อันดับแรกที่ติดเชื้อสูงสุดคือ อิตาลี, ไต้หวัน, ออสเตรเลีย, บราซิล และเม็กซิโก
 
เมื่อวานนี้จำนวนติดเชื้อใหม่มีประเทศจากยุโรปและเอเชียครอง 6 ใน 10 อันดับแรก และ 13 ใน 20 อันดับแรกของโลก จำนวนติดเชื้อใหม่ในแต่ละวันของทั่วโลกตอนนี้ มาจากทวีปเอเชียและยุโรป รวมกันคิดเป็นร้อยละ 68.44 ของทั้งโลก ในขณะที่จำนวนการเสียชีวิตคิดเป็นร้อยละ 68.68
สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่าจำนวนเสียชีวิตเมื่อวานสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก และอันดับ 2 ของเอเชีย แม้สธ.ไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ 1 พ.ค.จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม
 
เปรียบเทียบการระบาดของ Omicron แต่ละสายพันธุ์ กราฟจาก Financial Times แสดงให้เราเห็นชัดเจนว่า Omicron แต่ละสายพันธุ์ตั้งแต่ BA.1, BA.2 จนมาถึง BA.4 และ BA.5 นั้นส่งผลให้เกิดการระบาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยไม่สามารถฟันธงได้อย่างชัดเจนว่าตัวใหม่จะเบากว่าตัวเก่า
 
หลักฐานทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์การแพทย์พิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่า สายพันธุ์ย่อยใหม่ที่เกิดขึ้นจนนำไปสู่การระบาดระลอกใหม่นั้น มีสมรรถนะในการแพร่มากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิมหลายเท่า เพราะดื้อต่อภูมิคุ้มกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การระบาดในแต่ละประเทศจะหนักหนาสาหัสแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เห็นชัดเจนดังนี้ หนึ่ง “การฉีดวัคซีนและเงื่อนเวลาของการระบาด”
 
หากมีการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมสูง โดยสอดคล้องกับสถานการณ์ระบาด ก็จะมีอัตราการป่วยรุนแรงจนต้องรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตต่ำ
 
แต่หากฉีดวัคซีนครอบคลุมน้อย หรือฉีดมานานไม่ได้รับเข็มกระตุ้น แล้วเกิดการระบาดปะทุขึ้นในช่วงที่ระดับภูมิคุ้มกันในประชากรลดต่ำลง ก็จะพบอัตราป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
 
สอง “เสรีการใช้ชีวิตและพฤติกรรมป้องกันตัว” แม้จะฉีดวัคซีนไปมากน้อยเพียงใด แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จะมีโอกาสติดเชื้อได้ ป่วยได้ และเป็น Long COVID ได้
 
ความเสี่ยงในการติดเชื้อ แพร่เชื้อ จนป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล จะยิ่งมากเป็นเงาตามตัว หากประเทศนั้นๆ เปิดเสรีการใช้ชีวิต โดยคนในสังคมไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัวอย่างดีพอ เช่น ไม่ใส่หน้ากากระหว่างการใช้ชีวิตประจำวัน เฮฮาปาร์ตี้กันสุดเหวี่ยง ฯลฯ ก็จะพบว่าการระบาดในระลอกหลังก็จะทำให้ติดเชื้อ และป่วยมากขึ้นกว่าเดิมได้ แม้จะมีอัตราฉีดวัคซีนครอบคลุมสูงก็ตาม
 
นี่คือบทเรียนที่เห็นชัดเจนจากลักษณะการระบาดของประเทศทั่วโลก และกลับมาสะท้อนให้คนไทยเราต้องระมัดระวังตัวให้ดี เพราะสองปัจจัยข้างต้นคือตัวกำหนดชะตาการระบาดของเรา
 
สถานะการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของเราในปัจจุบันนั้น มีประชากรได้เข็มกระตุ้น (เข็มสาม) ไปแล้วเพียง 42.4% นอกจากนี้หากดูกลุ่มเสี่ยง เช่น คนที่สูงอายุได้เข็มกระตุ้นไป 46.2% ในขณะที่เด็กเล็กอายุ 5-11 ปี เพิ่งได้ครบสองเข็มไปเพียง 39.2%
 
ส่วนสภาพสังคมทุกวันนี้ เราย่อมเห็นชัดเจนว่าเปิดเสรีการใช้ชีวิต เพื่อให้ทำมาค้าขาย ศึกษาเล่าเรียน และทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้มากคล้ายในอดีต แต่ต้องเน้นย้ำว่าพฤติกรรมการป้องกันตัวนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง
 
สถานการณ์ระบาดช่วงนี้เพิ่มขึ้นมากหากสังเกตคนรอบตัวที่ติดเชื้อ โดยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รายงานเข้าสู่ระบบ “การใส่หน้ากาก”เสมอเวลาตะลอนนอกบ้าน เป็นหัวใจสำคัญที่จะลดความเสี่ยง ย้ำอีกครั้งว่าจำเป็นมาก
 
นอกจากพบเคสเด็กที่ติดเชื้อจากสถานศึกษาแล้วนำมาแพร่แก่คนในครอบครัว ทั้งพ่อแม่ และผู้สูงอายุแล้ว คนวัยทำงานก็ติดเชื้อกันมากขึ้น ทั้งจากที่ทำงาน รวมถึงกิจกรรมในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในโอกาสต่างๆ
 
เมื่อคืนได้ทราบมาว่า มีบุคลากรทางการแพทย์ไปงานปาร์ตี้เลี้ยงส่งเพื่อนร่วมงาน ติดกันไปเป็นสิบคน รวมนักศึกษาด้วย ก็ถือเป็นบทเรียนที่นำมาย้ำเตือนให้ระมัดระวังกันให้ดี เพราะหากติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ก็จะนำมาแพร่ให้แก่เพื่อนร่วมงาน รวมถึงคนที่เราไปพบปะหรือดูแลได้จำนวนมาก
ขอนำสิ่งที่ตนเองปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจำวันเวลาต้องไปงานที่มีคนจำนวนมาก มาแชร์ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
1.ประเมินดูว่างานนี้จำเป็นต้องไปหรือไม่
 
2.หากต้องไปหรืออยากไปมาก ก็วางแผนให้ดีว่าจะทำอะไรบ้าง โดยดูรายละเอียดของงานที่จะไป หากเป็นไปได้ก็เลือกงานที่มีคนน้อย และมีมาตรการรักษาความสะอาดและตรวจคัดกรองก่อนเข้าร่วมงาน
 
3.จัดเวลาเผื่อ โดยไปกินอาหารมื้อนั้นให้เรียบร้อยที่บ้าน หรือที่ร้านโปร่งโล่งใกล้สถานที่ที่จัดงาน เพื่อจะได้เลี่ยงการกินดื่มที่ไม่จำเป็น ระหว่างเข้าร่วมงานที่มีคนจำนวนมาก
 
4.ในงาน พบปะผู้คน พูดคุยทักทายได้ โดยใส่หน้ากากเสมอ พยายามเลี่ยงการสัมผัสตัวคนอื่น หากสัมผัสกันจับมือกันกอดกัน ก็ใส่หน้ากากและล้างมือทุกครั้ง
 
5.หากเป็นงานสัมมนายาวนานเป็นวัน ครอบคลุมการกินดื่มหลายมื้อ หากนำอาหารมาแยกกินได้ก็จะดี แต่หากกินดื่มรวมกัน ก็กินดื่มโดยใช้เวลาสั้นๆ ระหว่างกินดื่มจะไม่พูดคุย หากจะพูดคุยก็ใส่หน้ากากก่อนเสมอ ล้างมือด้วยเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังจับอุปกรณ์หรือภาชนะต่างๆ ของสาธารณะ
 
6.หลังกลับจากงาน คอยสังเกตอาการของตนเองว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ และติดตามข่าวคราวจากกลุ่มผู้ไปร่วมงานด้วยว่ามีปัญหาการเจ็บป่วยไม่สบายหลังจากไปร่วมงานหรือไม่ จะได้จัดการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
 
เหล่านี้คือสิ่งที่ปฏิบัติอยู่ และทำได้หากคิดจะทำ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวเราและการให้ความสำคัญ ณ จุดนี้ ความใส่ใจด้านสุขภาพ การป้องกันตัวเอง จะเป็นตัวกำหนดความเสี่ยงของเราและคนใกล้ชิดเพื่อจะได้ปลอดภัยไปด้วยกัน
COVID-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา ไม่กระจอก ติดเชื้อไม่จบแค่ชิลๆ แล้วหาย แต่ป่วยได้ ตายได้ แม้จะฉีดวัคซีนแล้วก็ตาม ที่สำคัญคือเรื่องภาวะผิดปกติระยะยาวอย่าง Long COVID การป้องกันตัวไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/pfbid0kR8tw3n5hhf3JJKyyZe5cgNkC5GecNDjqoJoMENVH2PegF81z55aj3vPNFTxQXzTl
  

 
หวั่นบาทอ่อน 36 บาททุบนำเข้า เอกชนชะลอลงทุนเครื่องจักร-วัตถุดิบ
https://www.prachachat.net/economy/news-963395

สรท.กัดฟันยืนเป้าส่งออกปี’65 โต 5-8% จี้รัฐเร่งดูแลค่าบาทในกรอบ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไม่ควรแตะถึง 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ด้าน ส.อ.ท.ชี้ดาบสองคม “ค่าเงินบาทอ่อน” กระทบแผนลงทุน นำเข้าวัตถุดิบ-เครื่องจักรเดี้ยง แต่หนุนส่งออกเกษตร-อาหาร เตรียมดัน FTI Expo 2022 ปลุกเศรษฐกิจ
 
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าไปกว่า 35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีทั้งผลดีและผลเสียต่อการส่งออก-นำเข้าสินค้าไทย จะมีผลต่อการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มที่นำเข้าวัตถุดิบมาผลิตขายภายในประเทศ เช่น ปุ๋ย อาหารสัตว์ เหล็ก ปิโตรเคมีอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนผู้นำเข้ามาผลิตเพื่อการส่งออกจะยังสามารถเจรจากับผู้นำเข้าได้ แต่อีกด้านจะส่งผลดีต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารจะไปได้ดี
 
“สรท.คาดการณ์การส่งออกปีนี้ ขยายตัว 5-8% สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา ภายใต้ข้อสมมุติฐาน ค่าเงินบาท ต้องอยู่ที่ระดับ 33.5-34.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ดังนั้น ค่าเงินบาทที่เหมาะสมทั้งนำเข้า-ส่งออกควรอยู่ที่กรอบ 33-34 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ควรให้อ่อนค่าไปจนถึงระดับ 36 บาท ขณะที่ทิศทางราคาน้ำมันคาดว่าน่าจะอยู่ในช่วง 100-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สถานการณ์ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ เพียงพอกับความต้องการส่งออก และค่าระวางเรือ ไม่สูงไปมากกว่าปีที่แล้ว”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่