สวัสดีครับทุกท่าน หวังว่าทุกท่านจะฝ่าวิกฤตโควิดกันไปได้ และยังคงสบายดีกันอยู่
ช่วงที่เลวร้ายนั้นได้ผ่านมาแล้ว หลังจากนี้ผมมองว่าเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในรอบใหม่
เงินเฟ้อ + ดอกเบี้ยขาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทำให้ตลาดคริปโตพังลงไปพอสมควร ทั้งไทยและต่างประเทศ
Crypto
ซึ่งผมมองว่าตลาดคริปโตนั้นจะได้รับผลกระทบมากเนื่องจาก หากวิเคราะห์จาก Fundamental แล้ว บรรดาผู้คนที่กระโดดเข้าสู่ตลาดคริปโตด้วยปัจจัยพื้นฐานคือเรื่องของผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมื่อพิจารณาจากบรรดา platform ที่แตกหรือเกือบแตกไปตามๆกันอย่างเช่น Luna , ftm , sol และ TRX ก็เป็นการเนรมิต Stable coin usd-pegged ขึ้นมากันแทบจะทุกแพลตฟอร์มเพื่อล่อบรรดานักลงทุนรายย่อยให้แห่เข้ามาฝากเงินกันมากๆโดยให้ผลตอบแทนสูงลิบลิ่วมากกว่า 7-20% เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของธนาคารและอัตราเงินกู้ที่แสนถูกทั้งใน defi และในธนาคารแล้ว มีนักลงทุนหลายท่านที่กู้ยืมเงินธนาคารมาเพื่อทำการ Artbitage ดอกเบี้ยอันน้อยนิด หรือกู้ยืมเงินบนแพลตฟอร์มให้กู้แล้วมาฝากกินดอกบน Defi แพลตฟอร์มอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Leverage Farm อันเป็นการกู้เงินอัตโนมัติมาเพื่อทำการฟาร์มบน Defi
(ซึ่งผมยังสามารถทำการ Leverage ได้หลายๆครั้งคือการกู้บนแพลตฟอร์มนึง เพื่อไป Leverage Farm อีกแพลตฟอร์มนึงได้อีกด้วย ฟังดูน่าหวาดเสียวดีใช่มั้ยครับ555555)
โดยหลักการก็คือ การนำ Token หรือเหรียญต่างๆที่เป็น Asset ไปวางเพื่อมาทำฟาร์ม แล้วก็ทำการ Leverage เพิ่มเพื่อทำ Arbitage ไปพร้อมๆกัน โดยหลายๆ Defi Platform คือแทบจะมีทุกเหรียญไม่ว่าจะเป็น Eth BTC AVAX SOL FTM
ซึ่งความเสี่ยงคือ เมื่อเกิดตลาดขาลงเมื่อไหร่ Postion ต่างๆเหล่านี้ที่ค้างอยู่ในฟาร์มก็เกิดการถูก Liquidate ไปตามๆกันเนื่องจาก Maintainence Margin ไม่พอ
เมื่อเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ แน่ล่ะ เมื่อมันมีนักลงทุนหัวใสหลายท่านที่ทำการ Leverage farm จาก 2-3 ที่เพื่อทำ Arbitage สูงสุดมันจึงกระทบกันเป็นห่วงโซ่ เหมือนสมัย Lehman brothers นั่นแหละ แต่รอบนี้มันคือการLeverage 2x-3x หรือ 10x
คริปโตหลายๆเหรียญจึงได้ตกลงมากกว่า 80-90% เพราะเหตุการณ์ฉะนี้ เพราะมันมีนักลงทุนหรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าวาฬไปกู้ตรงนั้นมาแปะตรงนี้นั่นเอง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำไมมันถึงกระทบกับ Bitcoin หรือ ETH เพราะว่า Sh*t coin ต่างหากที่แตก
เพราะเนื่องจาก BTC ETH นอกจากจะสามารถ Leverage farm ได้แล้ว ยังถูกใช้เป็น Collateral บนแพลตฟอร์มต่างๆเหล่านี้ด้วย
แต่สำหรับผมแล้วเหรียญคริปโตยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกรรมที่ทำให้ตรวจสอบได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นการซื้อขายงานศิลปะ หรือของสะสมของมหาเศรษฐีต่างๆที่ต้องการทำให้ตัวเลขมูลค่าไม่เป็นที่เปิดเผยซึ่งการทำ Wired Transferred หรือออกเช็คนั้นอาจจะลด Privacy ให้ต่ำลงระหว่างประชาชนกับการ Survillence ของรัฐบาล
_________________________________________________________________________
การกลับทวงบัลลังก์ของธุรกิจในภาคบริการ Hospitality
สำหรับแนวโน้มศกประเทศไทย เมื่อเช้านี้ผมได้ไปทานข้าวเช้าที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ซึ่งเมื่อช่วงเวลาก่อนโควิดนั้นผมแทบจะไม่ต้องต่อคิวรอและในห้องอาหารจะมีแขกแค่ 1-2 โต๊ะรวมโต๊ะผม แต่ในวันนี้ ผมกลับต้องรอคิวเนื่องจากคนเต็มห้องอาหาร
ภาพปลากรอบ
ซึ่งกระทู้ของเราไม่ควรจะมโนด้วย Sentiment หรือคำบอกเล่าเราจึงมาดิสคัสกันที่ Fact หรือตัวเลขที่แท้จริง
ที่ผ่านมานับแต่ปี 2017 เรามีการพึ่งพาธุรกิจภาคบริการมากขึ้นเรื่อยๆจนแตะระดับ 58.27% ในปี 2020
ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2019 ที่ตกลงมหาศาลนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายธุรกิจที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้พึ่งพาการมีอยู่ของนักท่องเที่ยวมหาศาล โดยเฉพาะรายย่อยที่แห่กันมาเปิดโฮสเทลกับร้านอาหารกันกระจาย รวมไปถึงค้าปลีกของรายใหญ่และรายย่อย ทั้ง Moderntrade และ retail ก็มีรายได้มาจากนักท่องเที่ยวมาก
พิจารณาจากธุรกิจที่เป็น Seasonal นอกจากในกลุ่ม Hospitality ที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆอย่าง MINT,ERW,CENTEL แล้วที่เราเห็นชัดๆคือค้าปลีกขนาดกลาง เช่น TKN , Kamart , beauty ต่างก็เจ็บกันหนัก
งบการเงิน TKN
จะสังเกตว่า TKN รายได้นั้นดร็อปลงไปจากช่วง PEAK อย่าง 2018 กว่า 36%
รวมไปถึงธุรกิจโรงแรมอื่นๆก็มีผลการดำเนินงานขาดทุนมาโดยตลอด
ตัวเลขนักท่องเที่ยวในไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัวเป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ 2020 เราพึ่งแตะยอดหลักแสนเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปี และ 3 แสนคนในเดือน เมษายน
ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้รัฐบาลได้ประกาศว่ายอดจองอยู่ที่ราวๆ 1 ล้านคนเข้าไปแล้ว
DDD
มีการลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาภาคบริการโดยรายใหญ่ โรงแรมอินเตอร์คอนจ่อเปิดที่ถนนทองหล่อ โปรเจคใหญ่ยักษ์ของเศรษฐีระดับประเทศ o_O เศรษฐกิจไม่ดีทำไมลงทุนกันเว่อร์วังอลังการขนาดนี้ล่ะคร้าบ
นอกจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ผมคิดว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในครั้งนี้จะส่งผลดีกับแทบจะทุกธุรกิจยกเว้นนำเข้า ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาของพฤติกรรมรายย่อยที่ควรลดการบริโภคจากต่างประเทศและการนำเข้าให้น้อยลง
ภาคบริการทุกประเภท - โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร หากมีประชากรแฝงมาใช้บริการมากขึ้น = ธุรกิจเป็นขาขึ้น
การสื่อสาร นักท่องเที่ยวเพิ่ม มีการใช้งานเครือข่าย และอินเตอร์เน็ตมากขึ้น = ธุรกิจเป็นขาขึ้น
โครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน - ขาขึ้น เมื่อมีผู้โดยสารมากขึ้น / มีการเดินทาง
อสังหา - อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว (และถามเซลล์) เมื่อค่าเงินบาทอ่อน นักลงทุนต่างชาติจะอยากโอนห้องมากขึ้น ช่วงปี 2019-2020 เงินบาทแข็งมากและนลทจีน ไต้หวันจำนวนมากชะลอการโอน + เลื่อนการซื้อออกไป / ทิ้งดาวน์ ทิ้งมัดจำ
การซื้อขายอสังหาเพื่อหวังส่วนต่างทางกำไรโดยไม่กู้ อาจจะยังคงเป็นการลงทุนที่ยังสามารถทำได้อยู่
การซื้ออสังหาเพื่อปลอยเช่า โดยกู้เพื่อทำ Arbitage ผมคิดว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ถ้าซื้อสด ในทำเลดีราคาถูกเพื่อปล่อยเช่า อาจจะยังเวิร์กอยู่
ค้าปลีก ขายของกิน ของโอท็อปในประเทศ ถ้านักท่องเที่ยวเพิ่มคิดว่าเวิร์คมากๆ
ขายของในห้างน่าจะเป็นขาขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว
กำลังซื้อรายย่อย(คนไทย)น่าจะยังไม่ฟื้น ถ้าประเทศจะฟื้นต้องพึ่งเม็ดเงินจากต่างชาติอย่างเดียว ซึ่งรัฐบาลทำถูกแล้วที่ปล่อยให้บาทอ่อน เพื่อเซฟส่งออกกับผู้ประกอบการโรงแรม และภาคบริการซึ่งคัดเป็นสัดส่วนเกินครึ่งของประเทศ
ปิดกันไปด้วยตัวเลขสุดท้ายคือการจอดเทียบท่าของเรือในท่าเรือภูเก็ต เกินกว่า 70% เป็นเรือสำราญและเรือส่วนบุคคลสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อน เฉลี่ยวันละ 30 ลำตอนนี้และแนวโน้มน่าจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆครับ
สีน้ำเงินคือเรือสำราญ สีชมพูคือเรือส่วนบุคคล
จบกันไปก่อนสำหรับภาค 1 เดี๋ยวมาเขียนต่อ หากใครสนใจการพูดคุยและการลงทุนสามารถทักมาที่เพจได้ แชร์ความเห็นมุมมองกัน ตอบตลอดนะครับ
https://www.facebook.com/Alohainvest
[เมื่อเงินบาทอ่อนค่า] วิเคราะห์ตลาดคริปโต + การกลับมาของธุรกิจ Hospitality บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าโรงแรม 5 ดาวแขกสูงสุด 95%o_O
ช่วงที่เลวร้ายนั้นได้ผ่านมาแล้ว หลังจากนี้ผมมองว่าเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในรอบใหม่
เงินเฟ้อ + ดอกเบี้ยขาขึ้นในสหรัฐอเมริกา ทำให้ตลาดคริปโตพังลงไปพอสมควร ทั้งไทยและต่างประเทศ
Crypto
ซึ่งผมมองว่าตลาดคริปโตนั้นจะได้รับผลกระทบมากเนื่องจาก หากวิเคราะห์จาก Fundamental แล้ว บรรดาผู้คนที่กระโดดเข้าสู่ตลาดคริปโตด้วยปัจจัยพื้นฐานคือเรื่องของผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก
เมื่อพิจารณาจากบรรดา platform ที่แตกหรือเกือบแตกไปตามๆกันอย่างเช่น Luna , ftm , sol และ TRX ก็เป็นการเนรมิต Stable coin usd-pegged ขึ้นมากันแทบจะทุกแพลตฟอร์มเพื่อล่อบรรดานักลงทุนรายย่อยให้แห่เข้ามาฝากเงินกันมากๆโดยให้ผลตอบแทนสูงลิบลิ่วมากกว่า 7-20% เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของธนาคารและอัตราเงินกู้ที่แสนถูกทั้งใน defi และในธนาคารแล้ว มีนักลงทุนหลายท่านที่กู้ยืมเงินธนาคารมาเพื่อทำการ Artbitage ดอกเบี้ยอันน้อยนิด หรือกู้ยืมเงินบนแพลตฟอร์มให้กู้แล้วมาฝากกินดอกบน Defi แพลตฟอร์มอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Leverage Farm อันเป็นการกู้เงินอัตโนมัติมาเพื่อทำการฟาร์มบน Defi
(ซึ่งผมยังสามารถทำการ Leverage ได้หลายๆครั้งคือการกู้บนแพลตฟอร์มนึง เพื่อไป Leverage Farm อีกแพลตฟอร์มนึงได้อีกด้วย ฟังดูน่าหวาดเสียวดีใช่มั้ยครับ555555)
โดยหลักการก็คือ การนำ Token หรือเหรียญต่างๆที่เป็น Asset ไปวางเพื่อมาทำฟาร์ม แล้วก็ทำการ Leverage เพิ่มเพื่อทำ Arbitage ไปพร้อมๆกัน โดยหลายๆ Defi Platform คือแทบจะมีทุกเหรียญไม่ว่าจะเป็น Eth BTC AVAX SOL FTM
ซึ่งความเสี่ยงคือ เมื่อเกิดตลาดขาลงเมื่อไหร่ Postion ต่างๆเหล่านี้ที่ค้างอยู่ในฟาร์มก็เกิดการถูก Liquidate ไปตามๆกันเนื่องจาก Maintainence Margin ไม่พอ
เมื่อเกิดปรากฎการณ์เช่นนี้ แน่ล่ะ เมื่อมันมีนักลงทุนหัวใสหลายท่านที่ทำการ Leverage farm จาก 2-3 ที่เพื่อทำ Arbitage สูงสุดมันจึงกระทบกันเป็นห่วงโซ่ เหมือนสมัย Lehman brothers นั่นแหละ แต่รอบนี้มันคือการLeverage 2x-3x หรือ 10x
คริปโตหลายๆเหรียญจึงได้ตกลงมากกว่า 80-90% เพราะเหตุการณ์ฉะนี้ เพราะมันมีนักลงทุนหรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าวาฬไปกู้ตรงนั้นมาแปะตรงนี้นั่นเอง
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำไมมันถึงกระทบกับ Bitcoin หรือ ETH เพราะว่า Sh*t coin ต่างหากที่แตก
เพราะเนื่องจาก BTC ETH นอกจากจะสามารถ Leverage farm ได้แล้ว ยังถูกใช้เป็น Collateral บนแพลตฟอร์มต่างๆเหล่านี้ด้วย
แต่สำหรับผมแล้วเหรียญคริปโตยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกรรมที่ทำให้ตรวจสอบได้ยาก ยกตัวอย่างเช่นการซื้อขายงานศิลปะ หรือของสะสมของมหาเศรษฐีต่างๆที่ต้องการทำให้ตัวเลขมูลค่าไม่เป็นที่เปิดเผยซึ่งการทำ Wired Transferred หรือออกเช็คนั้นอาจจะลด Privacy ให้ต่ำลงระหว่างประชาชนกับการ Survillence ของรัฐบาล
_________________________________________________________________________
การกลับทวงบัลลังก์ของธุรกิจในภาคบริการ Hospitality
สำหรับแนวโน้มศกประเทศไทย เมื่อเช้านี้ผมได้ไปทานข้าวเช้าที่โรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ซึ่งเมื่อช่วงเวลาก่อนโควิดนั้นผมแทบจะไม่ต้องต่อคิวรอและในห้องอาหารจะมีแขกแค่ 1-2 โต๊ะรวมโต๊ะผม แต่ในวันนี้ ผมกลับต้องรอคิวเนื่องจากคนเต็มห้องอาหาร
ภาพปลากรอบ
ซึ่งกระทู้ของเราไม่ควรจะมโนด้วย Sentiment หรือคำบอกเล่าเราจึงมาดิสคัสกันที่ Fact หรือตัวเลขที่แท้จริง
ที่ผ่านมานับแต่ปี 2017 เรามีการพึ่งพาธุรกิจภาคบริการมากขึ้นเรื่อยๆจนแตะระดับ 58.27% ในปี 2020
ตัวเลขนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี 2019 ที่ตกลงมหาศาลนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายธุรกิจที่ดำเนินไปก่อนหน้านี้พึ่งพาการมีอยู่ของนักท่องเที่ยวมหาศาล โดยเฉพาะรายย่อยที่แห่กันมาเปิดโฮสเทลกับร้านอาหารกันกระจาย รวมไปถึงค้าปลีกของรายใหญ่และรายย่อย ทั้ง Moderntrade และ retail ก็มีรายได้มาจากนักท่องเที่ยวมาก
พิจารณาจากธุรกิจที่เป็น Seasonal นอกจากในกลุ่ม Hospitality ที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆอย่าง MINT,ERW,CENTEL แล้วที่เราเห็นชัดๆคือค้าปลีกขนาดกลาง เช่น TKN , Kamart , beauty ต่างก็เจ็บกันหนัก
งบการเงิน TKN
จะสังเกตว่า TKN รายได้นั้นดร็อปลงไปจากช่วง PEAK อย่าง 2018 กว่า 36%
รวมไปถึงธุรกิจโรงแรมอื่นๆก็มีผลการดำเนินงานขาดทุนมาโดยตลอด
ตัวเลขนักท่องเที่ยวในไตรมาสที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัวเป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ 2020 เราพึ่งแตะยอดหลักแสนเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปี และ 3 แสนคนในเดือน เมษายน ซึ่งในเดือนมิถุนายนนี้รัฐบาลได้ประกาศว่ายอดจองอยู่ที่ราวๆ 1 ล้านคนเข้าไปแล้ว DDD
มีการลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาภาคบริการโดยรายใหญ่ โรงแรมอินเตอร์คอนจ่อเปิดที่ถนนทองหล่อ โปรเจคใหญ่ยักษ์ของเศรษฐีระดับประเทศ o_O เศรษฐกิจไม่ดีทำไมลงทุนกันเว่อร์วังอลังการขนาดนี้ล่ะคร้าบ
นอกจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ ผมคิดว่าการอ่อนค่าของค่าเงินบาทในครั้งนี้จะส่งผลดีกับแทบจะทุกธุรกิจยกเว้นนำเข้า ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาของพฤติกรรมรายย่อยที่ควรลดการบริโภคจากต่างประเทศและการนำเข้าให้น้อยลง
ภาคบริการทุกประเภท - โรงแรม โรงพยาบาล ร้านอาหาร หากมีประชากรแฝงมาใช้บริการมากขึ้น = ธุรกิจเป็นขาขึ้น
การสื่อสาร นักท่องเที่ยวเพิ่ม มีการใช้งานเครือข่าย และอินเตอร์เน็ตมากขึ้น = ธุรกิจเป็นขาขึ้น
โครงสร้างพื้นฐาน สนามบิน รถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน - ขาขึ้น เมื่อมีผู้โดยสารมากขึ้น / มีการเดินทาง
อสังหา - อันนี้จากประสบการณ์ส่วนตัว (และถามเซลล์) เมื่อค่าเงินบาทอ่อน นักลงทุนต่างชาติจะอยากโอนห้องมากขึ้น ช่วงปี 2019-2020 เงินบาทแข็งมากและนลทจีน ไต้หวันจำนวนมากชะลอการโอน + เลื่อนการซื้อออกไป / ทิ้งดาวน์ ทิ้งมัดจำ
การซื้อขายอสังหาเพื่อหวังส่วนต่างทางกำไรโดยไม่กู้ อาจจะยังคงเป็นการลงทุนที่ยังสามารถทำได้อยู่
การซื้ออสังหาเพื่อปลอยเช่า โดยกู้เพื่อทำ Arbitage ผมคิดว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น ถ้าซื้อสด ในทำเลดีราคาถูกเพื่อปล่อยเช่า อาจจะยังเวิร์กอยู่
ค้าปลีก ขายของกิน ของโอท็อปในประเทศ ถ้านักท่องเที่ยวเพิ่มคิดว่าเวิร์คมากๆ
ขายของในห้างน่าจะเป็นขาขึ้นเมื่อนักท่องเที่ยวกลับมาแล้ว
กำลังซื้อรายย่อย(คนไทย)น่าจะยังไม่ฟื้น ถ้าประเทศจะฟื้นต้องพึ่งเม็ดเงินจากต่างชาติอย่างเดียว ซึ่งรัฐบาลทำถูกแล้วที่ปล่อยให้บาทอ่อน เพื่อเซฟส่งออกกับผู้ประกอบการโรงแรม และภาคบริการซึ่งคัดเป็นสัดส่วนเกินครึ่งของประเทศ
ปิดกันไปด้วยตัวเลขสุดท้ายคือการจอดเทียบท่าของเรือในท่าเรือภูเก็ต เกินกว่า 70% เป็นเรือสำราญและเรือส่วนบุคคลสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อน เฉลี่ยวันละ 30 ลำตอนนี้และแนวโน้มน่าจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆครับ
สีน้ำเงินคือเรือสำราญ สีชมพูคือเรือส่วนบุคคล
จบกันไปก่อนสำหรับภาค 1 เดี๋ยวมาเขียนต่อ หากใครสนใจการพูดคุยและการลงทุนสามารถทักมาที่เพจได้ แชร์ความเห็นมุมมองกัน ตอบตลอดนะครับ
https://www.facebook.com/Alohainvest