สวัสดีครับ วันนี้จะมาแฉ เอ๊ย แชร์ประสบการณ์เปิดร้านกาแฟเล็กๆ หน้าบ้านให้แม่ด้วยงบหลักหมื่น!
ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป ทำงานอยู่กรุงเทพฯ มานานนม ไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ จะมีโอกาสกลับเฉพาะช่วงเทศกาล ไม่ก็ช่วงวันหยุดยาว ซึ่งตั้งแต่มีโควิดก็ไม่ได้กลับบ้านเลย
กลับคราวนี้แทบจำบ้านไม่ได้เพราะเมื่อก่อนถนนเป็นสองเลน แต่ตอนนี้กลายเป็นสี่เลนเรียบร้อย สองข้างทางเมื่อก่อนเป็นทุ่งนาแทบไม่มีบ้านคน พอกลับไปคราวนี้ถึงกับร้อง อ้าว เพราะสองข้างทางถูกถมที่สร้างร้านค้า ปั๊มน้ำมัน ตลาดสด รีสอร์ตและอื่นๆ จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม อย่างว่าพอการเดินทางสะดวกผู้คนก็จะย้ายถิ่นฐานไปตามความเจริญเรื่อยๆ ความจริงไม่ได้กลับบ้านแค่สองปี แต่ความรู้สึกเหมือนไม่ได้กลับบ้านมาอย่างต่ำ 20 ปีแน่ะ
ตอนมาถึงวันแรกลืมตาตื่นขึ้นมาแบบงงๆ ว่าที่นี่ที่ไหนวะครับ? จนคนขับรถตู้ต้องถามว่าบ้านอยู่ตรงไหน แต่ตอนนั้นตอบไม่ได้ อาจจะเมาขี้ตาด้วยบวกกับถนนหนทางไม่เหมือนเดิมเลยงงเป็นไก่ตาแตก จนคนขับรถต้องถามย้ำอีก
‘หนุ่ม เอ็งมาหาใครลูก’
‘มาหาแม่ครับ…’ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเด็กโดนแม่ทิ้งแล้วหลงทาง TT
‘เพิ่งเคยมาเรอะถึงไม่รู้ว่าบ้านอยู่ตรงไหน?
จะตอบว่า อ๋อ เปล่าครับผมเกิดและโตที่นี่แต่แค่จำไม่ได้ว่าบ้านอยู่ตรงไหนก็กลัวเสียหน้าก็เลยตอบไปว่า
‘ครับ…เพิ่งเคยมา’
สรุปบอกทางไปบ้านตัวเองไม่ถูกเลยให้ไปส่งที่ป้อมตำรวจของหมู่บ้าน แล้วโทรศัพท์ให้แม่มารับแทน แม่ถึงกับถามว่าทำไมไม่ลงหน้าบ้าน มาลงทำไมที่นี่ ได้แต่อึกอักตอบไปแบบขอไปที
‘มาดูเซเว่น กับโลตัสไง ที่แรกของอำเภอเลยนะ มาดูหน่อยเหมือนที่กรุงเทพฯ เปล่า’ แม่ทำหน้างงๆ แล้วมองด้วยสายตาว่า อิหยังของมันวะ 5555
มาเริ่มเรื่องร้านกาแฟกันเลยก่อนจะออกทะเลกว่านี้ ฮ่าๆ ความจริงคือ เห็ดเกิดจากความเหงา เอ๊ย! เหตุเกิดจากความเหงา แฮร่! ช่วงโควิดแม่ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากอยู่บ้านเฉยๆ เลยบ่นว่าเหงา อยากหางานทำ ปลูกแคคตัสก็แล้ว ปลูกต้นไม้ก็แล้วก็ยังไม่หายเหงาสักที รอบข้างตอนนี้ก็เต็มไปด้วยร้านค้าเยอะมากกกก แม่ก็เลยปิ๊งไอเดียอยากจะขายอะไรง่ายๆ อย่างเช่นกาแฟ (ง่ายตรงไหน?) ตอนนั้นคิดในใจ แต่ขี้เกียจจะพูดขัด เพราะแม่มาพร้อมความฝันอันยิ่งใหญ่สุดๆ!
ตอนนั้นคุยกันว่าจะซื้อตู้คอนเทนต์เนอร์หรือร้านสำเร็จมา แต่ดูจากราคาแล้วคิดว่าแพงเกินไป พ่อก็เลยเสนอไอเดียว่าเดี๋ยวจะทำเอง เพราะพ่อเป็นช่างอยู่แล้ว พวกเครื่องมือช่างก็มีบางส่วน ตรงไหนที่ทำไม่ได้ก็จ้างช่างมาทำแบบรายวันเอา พอตกลงกันเสร็จสรรพก็เริ่มซื้อของมาทำทันที
เริ่มจากถมดิมปรับพื้นที่ให้เสมอแล้วก็เทพื้น ตอนแรกแม่บอกจะไม่เทจะโรยหินอย่างเดียว แต่พ่อกลัวหน้าฝนจะเเฉะก็เลยเทพื้นนิดหน่อยเฉพาะตรงที่จะตั้งร้าน
ตอนไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างพ่อกับแม่จะไปเดินเลือกเองแล้วก็จะส่งไลน์มาถามว่าสวยไหม เพราะตอนนั้นกลับมากรุงเทพฯ แล้ว ผมก็ช่วยเลือกบ้าง ตามใจแม่บ้าง ไม่อยากขัดมาก เพราะความสวยของคนเราไม่เท่ากัน ถ้าถามใจตัวเองอยากได้แนว Minimal โทนขาว-น้ำตาล แต่แม่ไม่ชอบ สิ่งที่แม่ส่งมาคือแบบนี้!!
สวยอยู่!!! 55555
ช่วงแรกที่เป็นงานเหล็กจ้างช่างมาทำเพราะทำคนเดียวไม่น่าไหว บวกกับมีพ่อเป็นช่างอีกคนก็ช่วยกันคนละไม้ละมือจนเสร็จ เริ่มออกมาเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้
ตรงนี้ใช้เวลาทำไม่นานประมาณ 4-5 วัน แม่จะคอยถ่ายรูปมาอัพเดตทุกวันว่าวันนี้ทำอะไรไปแล้วบ้าง จะซื้อของอะไรเพิ่มบ้าง พอทำโครงเสร็จก็จะมุงหลังคาเลย ตามความคิดผมตอนนั้นเลยนะ พวกเหล็กต้องทาสี ก็เลยท้วงไปว่าไม่ทาสีเหรอ
แม่ก็ส่งโทรศัพท์ให้คุยกับพ่อ คุยสักพักก็สรุปได้ว่าเหล็กที่ซื้อมาเป็นเหล็กชุบไม่ต้องทาสีก็ได้ ไม่เป็นสนิม ทาเฉพาะจุดที่เชื่อม เหล็กชุบถ้าทาสี นานๆ ไปสีจะลอก แต่ในความคิดตอนนั้นคือถ้าไม่ทาสีเลยมันจะกลายเป็นเหล็กเปลือยๆ แล้วอนาคตมันอาจจะทำปฏิกิริยากับอะไรแล้วเป็นสนิมก็ได้ เลยบอกพ่อว่าอย่าเพิ่งมุงแล้วกัน ขอคิดดูก่อนนน พ่อก็เลยพักการทำร้านไป ช่วงนั้นผมอ่านเรื่องสีทาเหล็กเยอะมาก
สองวันต่อมาแม่ก็มาบอกว่าพ่อจะทำต่อแล้ว เพราะไปถามเพื่อนพ่อที่เป็นช่างสีมาว่าไม่ต้องทาก็ได้
พอดีช่วงนั้นไปเจอสีทาเหล็กตัวใหม่มาก็เลยเบรกพ่อเอาไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งนะพ่อ เดี๋ยวส่งสีไปให้ทา รออีกสองวัน!
สุดท้ายก็ยอมทา แต่มีข้อแม้ว่าาาาา ต้องเป็นสีที่แม่เลือกเท่านั้น! ก็เลยส่งสีไปให้เลือกและแม่ก็เลือกสีเขียวมา โอเคแม่ สวยอยู่! แต่พอทาไปก็สวยจริง สีดู Matcha อิอิ
พอสีที่ซื้อไปถึงแม่ก็โทรศัพท์มาถามอีกว่าทำไมมีสีกระป๋องเดียว ปกติต้องมีสีทารองพื้นด้วย พ่อบอกให้ซื้อมาเพิ่ม เลยนั่งอธิบายให้ฟังว่าจริงๆ สี Beger ที่ส่งไปให้เนี่ยยย มันเป็นสีแบบใหม่ ชื่อก็บอกอยู่ว่า 2in1 สีผสมรองพื้นมาแล้ว ทาได้เลย ทีแรกพ่อก็ทำท่าไม่เชื่อ ก็อธิบายเท่าที่ศึกษามาเองว่า สีตัวนี้เป็นตัวที่ทาได้หลายอย่างมากกก พ่อไม่ต้องกลัวว่าจะลอก ทาไปเลย เเห้งเร็วด้วย ไม่ถึงชั่วโมงแห้งพ่อก็ทาทับไปเลย กว่าจะตกลงกันได้เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน
ทาเสร็จแล้วววว พอโครงเสร็จพ่อก็เริ่มมุงหลังคาต่อทันที ซึ่งทุกอย่างในโลกของแม่ล้วนเขียวขจีเป็นพิเศษ
ส่วนของฝาใช้เป็นไม้เทียมของเฌอร่า ตามใจแม่เช่นเคย ตอนแรกจะใช้ไม้จริงแต่พ่อบอกใช้ไม้ฝาเฌอร่าดีกว่าเพราะราคาถูกกว่าไม้จริง สีสวย ดูแลง่ายกว่าด้วย ความจริงสีที่ซื้อสามารถทาพวกไม้เทียมได้ด้วย แต่กลัวจะเขียวจนกลมกลืนกับหญ้าข้างบ้านเกินไป ผมกับพ่อเลยต้องเบรคแม่ว่า ปล่อยให้มีสีอื่นตัดบ้างเห้อออ จะทาสีเขียวทุกอย่างเลยรึยังไง
เหล็กที่เหลือก็เอามาทำเก้าอี้แบบลอฟต์สำหรับนั่ง อันนี้พ่อเป็นคนออกแบบแล้วก็ทำเอง ส่วนสีมีเหลือนิดหน่อยแม่ก็จัดการทาเหมือนเดิม กระป๋องเดียวทาทุกอย่าง ยิ่งพอบอกว่าสีทาได้ทั้งเมทัลชีท ไม้แท้ ไม้เทียม ท่อพีวีซี แม่ก็อยากจะเอามาทาทุกอย่างจริงๆ กระป๋องเดียวไม่พอ ขอให้สั่งเพิ่มอีกกระป๋องบอกจะเอาไปทางข้างในด้วย เค…จัดไปเลยแม่ สีเขียวมันเหนี่ยวทรัพย์!
พอใกล้เสร็จแล้วก็จะหน้าตาประมาณนี้ครับ จริงๆ วางแผนเอาไว้ว่าข้างๆ จะเอาหินมาเทรอบๆ แล้วก็อาจจะทำเก้าอี้กับโต๊ะเพิ่ม ส่วนที่เป็นหญ้าด้านข้างอาจจะปรับปรุงทำเป็นชั้นวางแคคตัสของแม่ที่ซุ่มปลูกมาอย่างหนักช่วงโควิด กับพวกไม้ประดับที่ไปสรรหามาอีกกว่าร้อยชนิด ฮา เว่อร์เกิ๊น
แม่แพลนจะเพาะแคคตัสขายด้วย ตอนนี้มีที่เพาะเมล็ดไว้บ้างแล้วเลยคิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ทาสีเขียว ดูเป็นแคคตัสดี ตอนนี้ยังไม่เสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือติดประตูหน้าต่างแค่นั้น
ส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งหมด 19,938 บาท (เท่าที่ได้บิลจากแม่นะครับ อื่นๆ ที่ซื้อรายวันอาจจะไม่ได้เอามาคิดรวมในนี้) *วัสดุอุปกรณ์ ค่าแรงขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่นะครับ
เหล็กชุบกัลวาไนซ์ 7000 บาท
ไม้ฝาเชอร์ร่า 2000 บาท
แผ่นหลังคาเหล็ก 4900 บาท
สีเบเยอร์ 2 กระป๋อง 1318 บาท
ไม้อัดใช้ทำพื้น 1220 บาท
ค่าแรงช่างไม่รวมค่าแรงตัวเอง 2000 บาท
วัสดุเทพื้นปูน 1500 บาท (ของบางอย่างมีในบ้านไม่ได้ซื้อเพิ่มครับ)
ตอนนี้แม่กำลังหัดทำกาแฟอยู่ครับ พวกเมนูที่จะขายก็เอาเป็นแค่เมนูง่ายๆ อย่างกาแฟเย็น 5 เมนู ชาเขียว ชาไทย แล้วก็พวกอิตาเลี่ยนโซดา อุปกรณ์ชงอันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ เพราะว่ายังไม่ได้เปิดร้านแบบจริงจัง5555 ซื้อมาแค่เครื่องชงกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำกาแฟนิดหน่อย อาศัยซื้อจาก Shopee Lazada ช่วงที่มีโปรโมชันลดราคา ซื้อเก็บเรื่อยๆ ทุกเดือน
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ อาจจะมีสาระเล็กน้อย ไร้สาระเสียมากก็ต้องขออภัย ฮ่าๆ ไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะมาอัพเดตอีกนะครับ
แชร์ประสบการณ์สร้างร้านกาแฟเล็กๆ ให้แม่ ด้วยงบหลักหมื่น
ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นพนักงานออฟฟิศทั่วไป ทำงานอยู่กรุงเทพฯ มานานนม ไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่ จะมีโอกาสกลับเฉพาะช่วงเทศกาล ไม่ก็ช่วงวันหยุดยาว ซึ่งตั้งแต่มีโควิดก็ไม่ได้กลับบ้านเลย
กลับคราวนี้แทบจำบ้านไม่ได้เพราะเมื่อก่อนถนนเป็นสองเลน แต่ตอนนี้กลายเป็นสี่เลนเรียบร้อย สองข้างทางเมื่อก่อนเป็นทุ่งนาแทบไม่มีบ้านคน พอกลับไปคราวนี้ถึงกับร้อง อ้าว เพราะสองข้างทางถูกถมที่สร้างร้านค้า ปั๊มน้ำมัน ตลาดสด รีสอร์ตและอื่นๆ จนแทบไม่เหลือเค้าเดิม อย่างว่าพอการเดินทางสะดวกผู้คนก็จะย้ายถิ่นฐานไปตามความเจริญเรื่อยๆ ความจริงไม่ได้กลับบ้านแค่สองปี แต่ความรู้สึกเหมือนไม่ได้กลับบ้านมาอย่างต่ำ 20 ปีแน่ะ
‘ครับ…เพิ่งเคยมา’
สรุปบอกทางไปบ้านตัวเองไม่ถูกเลยให้ไปส่งที่ป้อมตำรวจของหมู่บ้าน แล้วโทรศัพท์ให้แม่มารับแทน แม่ถึงกับถามว่าทำไมไม่ลงหน้าบ้าน มาลงทำไมที่นี่ ได้แต่อึกอักตอบไปแบบขอไปที
‘มาดูเซเว่น กับโลตัสไง ที่แรกของอำเภอเลยนะ มาดูหน่อยเหมือนที่กรุงเทพฯ เปล่า’ แม่ทำหน้างงๆ แล้วมองด้วยสายตาว่า อิหยังของมันวะ 5555
มาเริ่มเรื่องร้านกาแฟกันเลยก่อนจะออกทะเลกว่านี้ ฮ่าๆ ความจริงคือ เห็ดเกิดจากความเหงา เอ๊ย! เหตุเกิดจากความเหงา แฮร่! ช่วงโควิดแม่ไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากอยู่บ้านเฉยๆ เลยบ่นว่าเหงา อยากหางานทำ ปลูกแคคตัสก็แล้ว ปลูกต้นไม้ก็แล้วก็ยังไม่หายเหงาสักที รอบข้างตอนนี้ก็เต็มไปด้วยร้านค้าเยอะมากกกก แม่ก็เลยปิ๊งไอเดียอยากจะขายอะไรง่ายๆ อย่างเช่นกาแฟ (ง่ายตรงไหน?) ตอนนั้นคิดในใจ แต่ขี้เกียจจะพูดขัด เพราะแม่มาพร้อมความฝันอันยิ่งใหญ่สุดๆ!
ตอนนั้นคุยกันว่าจะซื้อตู้คอนเทนต์เนอร์หรือร้านสำเร็จมา แต่ดูจากราคาแล้วคิดว่าแพงเกินไป พ่อก็เลยเสนอไอเดียว่าเดี๋ยวจะทำเอง เพราะพ่อเป็นช่างอยู่แล้ว พวกเครื่องมือช่างก็มีบางส่วน ตรงไหนที่ทำไม่ได้ก็จ้างช่างมาทำแบบรายวันเอา พอตกลงกันเสร็จสรรพก็เริ่มซื้อของมาทำทันที
แม่ก็ส่งโทรศัพท์ให้คุยกับพ่อ คุยสักพักก็สรุปได้ว่าเหล็กที่ซื้อมาเป็นเหล็กชุบไม่ต้องทาสีก็ได้ ไม่เป็นสนิม ทาเฉพาะจุดที่เชื่อม เหล็กชุบถ้าทาสี นานๆ ไปสีจะลอก แต่ในความคิดตอนนั้นคือถ้าไม่ทาสีเลยมันจะกลายเป็นเหล็กเปลือยๆ แล้วอนาคตมันอาจจะทำปฏิกิริยากับอะไรแล้วเป็นสนิมก็ได้ เลยบอกพ่อว่าอย่าเพิ่งมุงแล้วกัน ขอคิดดูก่อนนน พ่อก็เลยพักการทำร้านไป ช่วงนั้นผมอ่านเรื่องสีทาเหล็กเยอะมาก
สองวันต่อมาแม่ก็มาบอกว่าพ่อจะทำต่อแล้ว เพราะไปถามเพื่อนพ่อที่เป็นช่างสีมาว่าไม่ต้องทาก็ได้
พอดีช่วงนั้นไปเจอสีทาเหล็กตัวใหม่มาก็เลยเบรกพ่อเอาไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งนะพ่อ เดี๋ยวส่งสีไปให้ทา รออีกสองวัน!
สุดท้ายก็ยอมทา แต่มีข้อแม้ว่าาาาา ต้องเป็นสีที่แม่เลือกเท่านั้น! ก็เลยส่งสีไปให้เลือกและแม่ก็เลือกสีเขียวมา โอเคแม่ สวยอยู่! แต่พอทาไปก็สวยจริง สีดู Matcha อิอิ
พอสีที่ซื้อไปถึงแม่ก็โทรศัพท์มาถามอีกว่าทำไมมีสีกระป๋องเดียว ปกติต้องมีสีทารองพื้นด้วย พ่อบอกให้ซื้อมาเพิ่ม เลยนั่งอธิบายให้ฟังว่าจริงๆ สี Beger ที่ส่งไปให้เนี่ยยย มันเป็นสีแบบใหม่ ชื่อก็บอกอยู่ว่า 2in1 สีผสมรองพื้นมาแล้ว ทาได้เลย ทีแรกพ่อก็ทำท่าไม่เชื่อ ก็อธิบายเท่าที่ศึกษามาเองว่า สีตัวนี้เป็นตัวที่ทาได้หลายอย่างมากกก พ่อไม่ต้องกลัวว่าจะลอก ทาไปเลย เเห้งเร็วด้วย ไม่ถึงชั่วโมงแห้งพ่อก็ทาทับไปเลย กว่าจะตกลงกันได้เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน
แม่แพลนจะเพาะแคคตัสขายด้วย ตอนนี้มีที่เพาะเมล็ดไว้บ้างแล้วเลยคิดว่าก็ดีเหมือนกันที่ทาสีเขียว ดูเป็นแคคตัสดี ตอนนี้ยังไม่เสร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ คิดว่าประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์แล้ว เหลือติดประตูหน้าต่างแค่นั้น
ไม้ฝาเชอร์ร่า 2000 บาท
แผ่นหลังคาเหล็ก 4900 บาท
สีเบเยอร์ 2 กระป๋อง 1318 บาท
ไม้อัดใช้ทำพื้น 1220 บาท
ค่าแรงช่างไม่รวมค่าแรงตัวเอง 2000 บาท
วัสดุเทพื้นปูน 1500 บาท (ของบางอย่างมีในบ้านไม่ได้ซื้อเพิ่มครับ)
ตอนนี้แม่กำลังหัดทำกาแฟอยู่ครับ พวกเมนูที่จะขายก็เอาเป็นแค่เมนูง่ายๆ อย่างกาแฟเย็น 5 เมนู ชาเขียว ชาไทย แล้วก็พวกอิตาเลี่ยนโซดา อุปกรณ์ชงอันนี้ขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ เพราะว่ายังไม่ได้เปิดร้านแบบจริงจัง5555 ซื้อมาแค่เครื่องชงกับพวกอุปกรณ์สำหรับทำกาแฟนิดหน่อย อาศัยซื้อจาก Shopee Lazada ช่วงที่มีโปรโมชันลดราคา ซื้อเก็บเรื่อยๆ ทุกเดือน
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ อาจจะมีสาระเล็กน้อย ไร้สาระเสียมากก็ต้องขออภัย ฮ่าๆ ไว้ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะมาอัพเดตอีกนะครับ