สภาวะตื่นรู้
เมื่อปฏิบัติสมถกรรมฐาน คือ การมีสติรู้ลมหายใจ เข้า-ออก หรือ ภาวนาพุทโธๆๆๆ เมื่อจิตสงบรวมเป็นสมาธิขั้นสูงสุด จนเห็นกายสังขาร ลมหายใจความคิดและโลกธาตุพังทลายลงให้เห็นต่อหน้า เหลือแต่จิตประภัสสรส่องสว่างไสวท่ามกลางความว่างไม่มีประมาณ
เมื่อใช้สติตัวรู้ พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญาสว่างไสว รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า “กายสังขาร ลมหายใจ ความคิดเรา โลกธาตุนี้ ล้วนไม่มีอยู่จริง เกิดจากอวิชชาและจิตปรุงแต่งตามความไม่รู้” เป็นการตื่นรู้ จากความไม่รู้เหมือนคนที่หลับใหลอยู่ในโลกความฝันตลอดชีวิต ตื่นมาพบโลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากตื่นรู้แล้ว จะมองโลกตรงข้ามกับสิ่งที่เคยคิดเคยเชื่อมาตลอดชีวิต เคยยึดว่านี่ คือ “ตัวกู ของกู” เป็นสิ่งที่ไม่อยู่จริง สิ่งที่รู้นี้เกิดจากปัญญาที่รู้เห็นด้วยตนเอง ไม่ใช่สัญญาปรุงแต่งที่เกิดจากการอ่านหรือฟังจากผู้อื่นแล้วนำมาพิจารณาเชื่อตามที่เขาพูดเมื่อตื่นรู้แล้วจะกลับมาไม่รู้ได้หรือไม่ อุปมาเหมือน “กระจกที่แตกละเอียดแล้ว ดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นแล้ว ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก”
ปล. เขียนจากประสบการณ์ปฏิบัติของผมเอง ถูกผิดต้องขออภัย ณ ที่นี้
สภาวะตื่นรู้
เมื่อปฏิบัติสมถกรรมฐาน คือ การมีสติรู้ลมหายใจ เข้า-ออก หรือ ภาวนาพุทโธๆๆๆ เมื่อจิตสงบรวมเป็นสมาธิขั้นสูงสุด จนเห็นกายสังขาร ลมหายใจความคิดและโลกธาตุพังทลายลงให้เห็นต่อหน้า เหลือแต่จิตประภัสสรส่องสว่างไสวท่ามกลางความว่างไม่มีประมาณ
เมื่อใช้สติตัวรู้ พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง จะเกิดเป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญาสว่างไสว รู้เห็นตามความเป็นจริงว่า “กายสังขาร ลมหายใจ ความคิดเรา โลกธาตุนี้ ล้วนไม่มีอยู่จริง เกิดจากอวิชชาและจิตปรุงแต่งตามความไม่รู้” เป็นการตื่นรู้ จากความไม่รู้เหมือนคนที่หลับใหลอยู่ในโลกความฝันตลอดชีวิต ตื่นมาพบโลกแห่งความเป็นจริง
หลังจากตื่นรู้แล้ว จะมองโลกตรงข้ามกับสิ่งที่เคยคิดเคยเชื่อมาตลอดชีวิต เคยยึดว่านี่ คือ “ตัวกู ของกู” เป็นสิ่งที่ไม่อยู่จริง สิ่งที่รู้นี้เกิดจากปัญญาที่รู้เห็นด้วยตนเอง ไม่ใช่สัญญาปรุงแต่งที่เกิดจากการอ่านหรือฟังจากผู้อื่นแล้วนำมาพิจารณาเชื่อตามที่เขาพูดเมื่อตื่นรู้แล้วจะกลับมาไม่รู้ได้หรือไม่ อุปมาเหมือน “กระจกที่แตกละเอียดแล้ว ดอกไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นแล้ว ไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้อีก”
ปล. เขียนจากประสบการณ์ปฏิบัติของผมเอง ถูกผิดต้องขออภัย ณ ที่นี้