เรื่องเล่า เมื่อเราถูกแม่หลอกมาขาย

จริงๆ  ก็เกือบลืมแผลในใจแผลนี้ไปแล้วซะสนิทค่ะ แต่ยังเอิญช่วงนี้ได้อ่านข่าวเด็กวัยรุ่นผืดหวังในชีวิต แล้วคิดฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ  จนดูเหมือนพฤติกรรมเลียนแบบ ไม่ว่าจะเกิดจากโรคซึมเศร้า หรือผิดหวังด้านต่างๆในชีวิตเราอยากเล่า ว่าเราเองก็เจอปัญหาทุกช่วงชีวิต  และก็แก้มาได้ถึงปลายทางจะไม่สวยหรูก็ตามเพียงแค่มีสติ  ถอนหายใจยาวๆ อย่าคิดสั้นนะทุกคน

เราเป็นเด็กภาคอีสานที่ครอบครัวเรียกว่าแตกแยกก็ว่าได้  แม่กับพ่อเลิกกัน  เราอาศัยอยู่กับพ่อช่วงจำความได้ น่าจะราวๆ  6ขวบหรือช่วงอนุบาล เรามีหน้าที่ซักผ้า กวาดบ้าน ถูบ้าน เลี้ยงเป็ด  เลี้ยงหมูด้วยวัยเท่านั้น  ทุกเช้าต้องเก็บไข่ไปขายในตลาด เพื่อแลกกับเงินค่าขนม เพื่อไปโรงเรียน

วันนึง ในขณะที่เราหลับ เราก็โดนเพื่อนพ่อที่พามาทานเหล้าที่บ้าน ทำอนาจาร โดยหวังจะข่มขีนเราที่อายุแค่6 ขวบ โดยนอนทับเราไว้  และคิดจะล่วงละเมิดเรา  แต่ด้วยเราคงเด๋กมากจึงทำไม่สำเร็จ   เราทั้งเจ็บและกลัว  ลุงคนนี้บอกว่าอย่าบอกใคร  ถ้าบอกจะกลับมาฆ่าเราให้ตาย  เราจึงเงียบ และหวาดระแวงเพื่อนพ่อทุกคนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  

เมื่อเราอายุ7 ขวบ  พ่อซึ่งเหมือนญาติคนเดียวของเรา โดนยิงเสียชีวิต  จากการยิงผิดตัว และเรากลายเป็นเด็กกำพร้า  ไม่มีญาติ โชคดี ที่พ่อมีพี่สาว  ที่เราไม่เคยรู้จักเลย วันจัดการเรื่องศพพ่อ ป้าจัดการทุกอย่าง และ นำเรากลับไปอยู่ด้วย ที่อีกจังหวัดหนึ่ง

เราเริ่มเข้าโรงเรียนอีกครั้ง ในชั้นป.1  ป้าท่านรักและเอ็นดู ช่วยเหลือเราทุดสิ่งอย่าง เราก็ตอบแทนด้วยการทำงานบ้านทุกชนิด เพราะตอนอยู่กับพ่อเราก็ทำเองอยู่แล้วจึงไม่ลำบากอะไร แต่ลูกของป้า ทั้ง3 คนอาจไม่ชอบเรา  ทั้งเล่นกับเราแรงๆ  ทั้งตัด ทั้งซ่อนชุดนักเรียนเรา เพียงเพราะไม่อยากให้เราอยู่บ้านด้วย

เรานอนมุ้งเดียวกับป้าและลุง มาตลอด และบ่อยครั้งที่เด็ก7-8 ขวบอย่างเราโดนลุง ลูบคลำร่างกายเวลาหลับ เรารู้สึกมันคือตราบาปในหัวใจ  และสุดท้ายทำให้เราไม่ไว้ใจผู้ชายทุกคน ไม่ว่าจะครู  หรือเพื่อน เราหวาดระแวงไปหมด
เราอยู่กับป้าได้แต่ถึงป.3  ป้าก็ป่วยหนักจากการเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายที่ทราบช้า เพราะป้าไม่เคยไปหาหมอเลยเวลาป่วย  ป้านอนติดเตียง และเรียกเราเข้าไปคุย  ถามว่าถ้าป้าไม่อยู่ หนูอยู่ได้ไหมลูก เราร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล  ตอบไปแต่เพียงว่า  ไม่มีทางที่หนูจะอยู่ได้แน่นอน  ถ้าป้าไม่อยู่  ป้าลูบหัวเราแล้วร้องไห้  เรายังจำสัมผัสมือที่ป้าลูบหัวเราได้อย่างชัดเจน มันอบอุ่น มันรู้สึกได้ถึงความรักความเอ็นดู  

หลังจากนั้น ไม่ถึงอาทิตย์  ก็มีผู้หญิงคนนึงมารับเรา ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าคือแม่  เป็นแม่ที่เราไม่เคยมีภาพความทรงจำอยู่ในหัวเลย  แม่ท่านมารับเราไปอยู่ด้วย เราย้ายที่อยู่อีกครั้ง  

บ้านแม่เป็นชุมชนแออัดอยู่ท้ายตลาด  บ้านไม่มีรั้วรอบขอบชิด เราซึ่งหวาดระแวงผู้ชายอยู่แล้ว  จึงเริ่มเก็บตัว เพราะกลัวความไม่ปลอดภัย แม่มีสามีใหม่ และเพื่อนที่มาเข้านอกออกใน บ้านหลังนี้ จนเป็นเรื่องปรกติ  และเรามาทราบภายหลังว่า  แม่ติดยาและติดการพนัน  แต่ท่านก็ยังดีที่ส่งเราเรียน  ทุกวันกลับจากโรงเรียน เราไม่เคยเห๋นแม่อยู่บ้านเลย ท่านจะกลับมาเวลาละครหลังข่าวจบแทบทุกครั้ง  และทุกครั้งก็จะมีเพื่อนตามมาบ้านด้วย  เพื่อนั่งดื่มเหล้า  แม่เราทำงานในบ่อน และทุกวันแม่จะมีขนมปังกลับมา1 ตะกร้า  และจะสั่งเราว่า  ชิ้นละ 300 บ้าง  500 บ้าง แล้วแต่ตะกร้าไป  และมักจะมีคนมาซื้อช่วง2 ทุ่มของวันถัดไป เป็นต้นไป  

เราด้วยความกลัว และหวาดระแวง  จึงมักล็อคประตูบ้าน และขายขนมปังผ่านหน้าต่าง แบบนี้ทุกวัน  จนเราจบป.6  จึงได้ทราบว่า ในขนมปังคือยาเสพติด  เราใช้ชีวิตแบบหวาดระแวงทุกสิ่งรอบตัวมาตลอด  แต่ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการเรียน  เพื่อนและครูรักใคร่เราทุกคน ไม่มีใครรังเกียจที่เราต่ำต้อย เพื่อนและครูมักให้เสื้อผ้า ของใช้ ให้เราอยู่บ่อยๆ  ด้วยเหตุผลคือสงสาร  

ย้อนกลับมาในวันที่เรารู้ความจริงว่าแม่หลอกใช้เราขายยาเสพย์ติด โดยที่เราไม่เคยรู้เลย  เราเลือกที่จะขอร้องแม่  ว่าอย่าทำอีกเรากลัว  เราสูญเสียคนที่เรารักไป2 คนแล้ว เราไม่อยากเสียแม่ไปอีก  ไม่ว่าจะเรา  หรือแม่ต้องติดคุกเพราะขายยา  เราย่อมไม่มีความสุขทั้งคู่  

ตามคาดค่ะ แม่ด่าเรา ตีเรา ขังเราไว้ในห้อง ไม่ให้ทานข้าว  ทานน้ำ ถึง3 วัน   เราทนให้เวลาผ่านไปไวที่สุดด้วยการนอนหลับ เพื่อจะได้ไม่หิว  เราฉี่ใส่ช่องว่างตรงพื่นบ้าน เพราะใต้ถุนบ้านคือ น้ำครำที่สกปรกอยู่แล้ว   เราจึงไม่เดือดร้อนอะไรมากในการโดนขังครั้งนั้น

เราทนจนสุดท้ายแม่มาเปิดประตู และบอกเราว่า  ถ้าเราไม่ทำกูก็ไม่มีเงินส่งไปเรียน  ทุกสิ่งที่ต้องใช้จ่าย ทั้งค่ากินโรงเรียน ค่าข้าว ค่าน้ำ  ค่าไฟ  ทุกอย่างต้องใช้เงิน ถ้าไม่ทำ  ไม่ต้องเรียน

ตอนนั้นเราสอบเข้าม.1 โรงเรียนประจำจังหวัดได้ลำดับที่10 จากเด็ก 1500คน  แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้เรียนที่นั่น เพราะไม่มีเงิน สมัยนั้นยังไม่ฟรีค่าเทอมเหมือนตอนนี้ค่ะ แรกเข้าก็7,000 ในสมัยนั้น  เราหยุดเรียนไป1 ปี เราทำงานบ้าน และรับจ้างป้าข้างบ้านเลี้ยงลูก วันละ50 บาท เพื่อนำเงินมาหยอดกระปุก เป็นค่าเทอมในปีหน้า  เราตั้งใจว่าอย่างไรเราก็จะเรียนให้ได้  เพราะครูตอนประถมสอนเสมอว่า การเรียนจะดึงเราออกจากสังคมแบบนี้  ถ้ามีความรู้  เราจะเลือกงานได้

แม่ยังใช้ชีวิตแบบเดิม แต่ต่างแค่ไม่ต้องให้เราขายขนมปังสอดไส้ยาเสพติดอีกแล้ว  แม่จะกลับมาขายเองที่บ้าน  

บ่อยครั้งที่ตำรวจมาถามหาแม่เรา  แต่เมีเพียงเราอยู่ในบ้าน ด้วยความดูเซื่องๆซึมๆมั้ง  ตำรวจทุกท่านก็จะบอกเออๆ  ไม่อยู่ไม่เป็นไร  แล้วก็กลับไป

วันนึงแม่พาเพื่อนมาทานเหล้าในบ้าน 3-4คน

และเรานอนอยู่ในห้อง เพราะทุกครั้งที่แม่กลับดึก ส่วนมากเราจะนอนแล้ว  แต่วันนี้มันผิดปรกติตรงที่  เราตื่นมากลางดึก  มันมีผู้ชายมานอนอยู่ข้างๆเรา  พอเราตื่นเค้าก็ปลุกปล้ำข่มขืน  และครั้งนี้คือการทำสำเร็จ  เราเสียใจ ร้องไห้คนช่วยก็ไม่ได้ เค้าอุดปาก    บีบคอ ทำร้ายจนร่างกายระบมทั่วตัว ด้วยอายุ13 ปี  เราถูกเพื่อนแม่ข่มขืน  และมารู้ทีหลังว่า  เค้าคือเจ้าของบ่อน  ที่แม่ทำงาน และให้เงินแม่30,000 แลกกับการให้เราเป็นเมียน้อย ด้วยอายุเท่านั้น  ถ้าเรายอมเค้าจะส่งเสียเราเรียน และหาที่อยู่ที่ปลอดภัยให้ใหม่ เราร้องไห้ ขอโอกาสเค้าเพื่อเรียนก่อน3 ปี เพราะเรากลัวและหวาดระแวงทุกสิ่งรอบตัวมากในตอนนั้น

(เราป่วยอยู่  ขออณุญาติพักแปปนะคะ  เรื่องมันยาว )
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ลูกเลือกที่จะหยุดเรียน  เพื่อหาเงินมารักษาเรา ในวันที่เราป่วย การเรียน มศว  คือการเรียนที่ลูกไฝ่ฝัน  แต่ลูกเลือกทิ้งความฝันเพื่อดูแลเราแทน    ถ้าวันนี้ไม่มีลูก เราก็ไม่มีทางรู้เลยค่ะ ว่าเราจะป่วยแบบนี้ด้วยการอยู่ตัวคนเดียวได้อย่างไร  

ความสุขในชีวิตอาจมาช้า แต่การยิ้มทั้งน้ำตาก็มีความสุขกว่านั่งร้องไห้ใช่ไหมคะ

ถ้าวันนั้นเราคิดสั้น  เราคงไม่มีโอกาสเห็นการเติบโตของลูกได้เลย  วันนี้ที่เราป่วยอาจอยู่กับลูกไม่นาน  แต่มันคือความสุขที่แท้จริง  เวลาลูกเช็ดตัวมันรู้สึก เป็นมือน้อยที่อบอุ่น  จริงๆค่ะ

สุดท้ายนี้ หากท่านไดมีงานที่ทำที่บ้านได้  รบกวนช่วยแนะนำทีนะคะ ^^  อยากให้ลูกสาวเห็นว่าแม่เก่งค่ะ  ที่ยังทำงานได้ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่