พอเมกาขี้นภาษีนิติบุคคล&คนรวยไม่ได้ เริ่มจากขึ้นภาษีนิติบุคคลก่อน
แล้วค่อยมาคนรวย(ที่ขายของมีรายรับโดยตรงไม่ผ่านนิติบุคคล)
เล่าย้อนก่อน
ช่วงที่พิมพ์เงินแจกในเวลาโควิด ทำให้เงินเข้ามาในระบบเยอะ
ในเวลานั้นปริมาณเงินในระบบ เมื่อเทียบกับทรัพยากรมันก็เฟ้อทันที
จึงมีกลุ่มคนบางกลุ่มหนีไปลงทุนในจตุคาม
บางส่วนก็เอากลับไปวนในตลาดหุ้น มีได้มีเสียกันไป
แน่นอนย่อมมีคนเก็บออมด้วยเช่นกัน แล้วมันยังไง
ถ้าเงินที่ได้มาฟรี ไปละลายทิ้งกับของที่ไม่ได้มีมูลค่าอะไรก็คือจบ
ถือว่าเป็นการทำลายเงินที่พิมพ์มาทิ้งออกจากระบบ
แถมได้ทำลายเงินที่ไม่ได้เสกขึ้นในระบบจริงของคนโลภด้วย
แต่ถามว่าแล้วเงินหายไปจากระบบไหม? ก็ไม่ แค่ย้ายกระเป๋า
ฉะนั้นเงินจากคนหนึ่ง ก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
เงินก็แค่ย้ายกระเป๋า ต่อให้โดนดูดออกในภายหลัง
ก็จะมีเงินเฟ้อจากการหมุนเวียนของเงินเข้ามาเติมอีก
ฉะนั้นการจะดูดเงินในมือประชาชนปริมาณมากๆ อย่างง่ายๆ
ถ้าจะไปบอกว่าเอาเงินคืนมา ไม่มีใครยอมหรอก
จึงต้องใช้การบังคับให้ต้องจ่ายด้วยการทำให้ของแพง
และประชาชนต้องกินต้องใช้ ทำให้เลี่ยงไม่ได้
ต่อมาเมื่อดูดเงินในมือคนทั่วไป ไปอยู่กับองค์กร หรือคนรวย
ปริมาณเงินก็แค่ย้ายกระเป๋า ตามที่บอกข้างต้น
จึงจำเป็นต้องหาทางดูดออกอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการขึ้นภาษีนิติบุคคล
แล้วตามด้วยคนรวยภายหลัง
เพื่อเป็นการนำเงินไปใช้หนี้ที่ก่อขึ้นจากการพิมพ์เงินแจกช่วงโควิด
ใช้หนี้พันธบัตร นำไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มมูลค่าชดเชยหนี้สิน
เมื่อนำไปใช้หนี้แล้ว ปริมาณนี้ที่รัฐแบกเอาไว้ก็จะลดลง
และไปลดปริมาณเงินสดที่มีอยู่ในระบบอีกด้วย
แน่นอนเราต้องเพิ่มค่าแรงเพื่อจูงใจให้คนออกมาทำงาน
ไม่นอนรอสวัสดิการอย่างเดียว เพราะจะดันให้ราคาของแพง
เพื่อดูดเงินในมือออก ฉะนั้นถ้าคนไม่ทำงาน เขาจะอดตาย
เพราะเงินเลี้ยงดูอย่างเดียวจะไม่พอ
ฉะนั้นในช่วงเวลาที่แก้ปัญหานี้ ถึงแม้ว่าคนจะทำงาน
แต่ก็จะมีเงินแค่พอให้ไม่อดตายเท่านั้น
เมื่อกำลังซื้อประชาชนไม่เพิ่มขึ้น เอกชนก็จะไม่ลงทุน
ฉะนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่รัฐบาล ที่จะใช้ภาษีสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
แน่นอนว่าเราไปเก็บภาษีบุคคลธรรมดาที่เป็นชนชั้นล่างไม่ได้
ไม่อย่างนั้นรายได้จะหาย เพราะเราต้องการให้เขาอยู่ดีกินดี
และปั้มลูก เพื่อเพิ่มปริมาณประชากร
ก็จะวนกลับไปที่ทำไมต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ก็เพื่อรองรับ
ประชากรที่จะเพิ่มขึ้นต่อในอนาคต และเพื่อกลายมาเป็นผู้บริโภค
เพื่อดัน GDP ต่อไป เมื่อรัฐลงทุนก็จะไปเสริม GDP
และเมื่อมีประชากรเยอะ เอกชนก็จะลงทุนเสริม GDP อีกต่อ
ทำให้ผลิตในประเทศ คุ้มค่ากว่าการนำเข้า ถ้าผลิตแล้วเหลือ
ก็สามารถส่งออกได้ ถ้าส่งออก>นำเข้า ก็จะทำให้ GDP โตอีก
ถึงเวลานั้นค่อยลดภาษีคนรวย และนิติบุคคลลง
แน่นอนว่าถ้าขยายประชากรไปเรื่อยๆ ทรัพยากรจะไม่เพียงพอ
ซึ่งปริมาณเงินก็จะกลับมาบวมอีกครั้ง เงินเฟ้อจะกลับมาอีกรอบ
จึงต้องเตรียมขยายไปนอกโลก แต่คราวนี้อย่างที่เคยบอก
ส่วนใหญ่บริษัทที่ทำโครงการเหล่านี้ จะเป็นบริษัทผลิตอาวุธ
ฉะนั้นการทำให้มีละครสงคราม ก็จะทำให้ขายอาวุธ
เพื่อมาเป็นทุน ให้บริษัทผลิตอาวุธ วิจัยไปนอกโลกได้
แถมยังได้ใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นราคาสินค้าในการดูดเงินด้วย
และพอไปนอกโลกได้ ก็แบ่งปริมาณเงิน หนี้ ออกไปนอกโลกด้วย
ทำให้มีวิธีขยายเศรษฐกิจไปได้เรื่อยๆ
จนกว่าจะถึงขีดจำกัดทรัพยากรในอวกาศ
------------------------------------------------------------------
แต่พอสภาสหรัฐไปขัดขืนการขึ้นภาษีนิติบุคคล
แผนเลยจบเห่ทันที พังเรียบร้อย เลยขายหุ้นทิ้ง
พออาทิตย์นี้หุ้นลง เลยทยอยซื้อกลับนิดหน่อย
หัวข้อคำถามคิดไม่ออก
แล้วค่อยมาคนรวย(ที่ขายของมีรายรับโดยตรงไม่ผ่านนิติบุคคล)
เล่าย้อนก่อน
ช่วงที่พิมพ์เงินแจกในเวลาโควิด ทำให้เงินเข้ามาในระบบเยอะ
ในเวลานั้นปริมาณเงินในระบบ เมื่อเทียบกับทรัพยากรมันก็เฟ้อทันที
จึงมีกลุ่มคนบางกลุ่มหนีไปลงทุนในจตุคาม
บางส่วนก็เอากลับไปวนในตลาดหุ้น มีได้มีเสียกันไป
แน่นอนย่อมมีคนเก็บออมด้วยเช่นกัน แล้วมันยังไง
ถ้าเงินที่ได้มาฟรี ไปละลายทิ้งกับของที่ไม่ได้มีมูลค่าอะไรก็คือจบ
ถือว่าเป็นการทำลายเงินที่พิมพ์มาทิ้งออกจากระบบ
แถมได้ทำลายเงินที่ไม่ได้เสกขึ้นในระบบจริงของคนโลภด้วย
แต่ถามว่าแล้วเงินหายไปจากระบบไหม? ก็ไม่ แค่ย้ายกระเป๋า
ฉะนั้นเงินจากคนหนึ่ง ก็ไปอยู่กับอีกคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
เงินก็แค่ย้ายกระเป๋า ต่อให้โดนดูดออกในภายหลัง
ก็จะมีเงินเฟ้อจากการหมุนเวียนของเงินเข้ามาเติมอีก
ฉะนั้นการจะดูดเงินในมือประชาชนปริมาณมากๆ อย่างง่ายๆ
ถ้าจะไปบอกว่าเอาเงินคืนมา ไม่มีใครยอมหรอก
จึงต้องใช้การบังคับให้ต้องจ่ายด้วยการทำให้ของแพง
และประชาชนต้องกินต้องใช้ ทำให้เลี่ยงไม่ได้
ต่อมาเมื่อดูดเงินในมือคนทั่วไป ไปอยู่กับองค์กร หรือคนรวย
ปริมาณเงินก็แค่ย้ายกระเป๋า ตามที่บอกข้างต้น
จึงจำเป็นต้องหาทางดูดออกอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการขึ้นภาษีนิติบุคคล
แล้วตามด้วยคนรวยภายหลัง
เพื่อเป็นการนำเงินไปใช้หนี้ที่ก่อขึ้นจากการพิมพ์เงินแจกช่วงโควิด
ใช้หนี้พันธบัตร นำไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มมูลค่าชดเชยหนี้สิน
เมื่อนำไปใช้หนี้แล้ว ปริมาณนี้ที่รัฐแบกเอาไว้ก็จะลดลง
และไปลดปริมาณเงินสดที่มีอยู่ในระบบอีกด้วย
แน่นอนเราต้องเพิ่มค่าแรงเพื่อจูงใจให้คนออกมาทำงาน
ไม่นอนรอสวัสดิการอย่างเดียว เพราะจะดันให้ราคาของแพง
เพื่อดูดเงินในมือออก ฉะนั้นถ้าคนไม่ทำงาน เขาจะอดตาย
เพราะเงินเลี้ยงดูอย่างเดียวจะไม่พอ
ฉะนั้นในช่วงเวลาที่แก้ปัญหานี้ ถึงแม้ว่าคนจะทำงาน
แต่ก็จะมีเงินแค่พอให้ไม่อดตายเท่านั้น
เมื่อกำลังซื้อประชาชนไม่เพิ่มขึ้น เอกชนก็จะไม่ลงทุน
ฉะนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่รัฐบาล ที่จะใช้ภาษีสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
แน่นอนว่าเราไปเก็บภาษีบุคคลธรรมดาที่เป็นชนชั้นล่างไม่ได้
ไม่อย่างนั้นรายได้จะหาย เพราะเราต้องการให้เขาอยู่ดีกินดี
และปั้มลูก เพื่อเพิ่มปริมาณประชากร
ก็จะวนกลับไปที่ทำไมต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ก็เพื่อรองรับ
ประชากรที่จะเพิ่มขึ้นต่อในอนาคต และเพื่อกลายมาเป็นผู้บริโภค
เพื่อดัน GDP ต่อไป เมื่อรัฐลงทุนก็จะไปเสริม GDP
และเมื่อมีประชากรเยอะ เอกชนก็จะลงทุนเสริม GDP อีกต่อ
ทำให้ผลิตในประเทศ คุ้มค่ากว่าการนำเข้า ถ้าผลิตแล้วเหลือ
ก็สามารถส่งออกได้ ถ้าส่งออก>นำเข้า ก็จะทำให้ GDP โตอีก
ถึงเวลานั้นค่อยลดภาษีคนรวย และนิติบุคคลลง
แน่นอนว่าถ้าขยายประชากรไปเรื่อยๆ ทรัพยากรจะไม่เพียงพอ
ซึ่งปริมาณเงินก็จะกลับมาบวมอีกครั้ง เงินเฟ้อจะกลับมาอีกรอบ
จึงต้องเตรียมขยายไปนอกโลก แต่คราวนี้อย่างที่เคยบอก
ส่วนใหญ่บริษัทที่ทำโครงการเหล่านี้ จะเป็นบริษัทผลิตอาวุธ
ฉะนั้นการทำให้มีละครสงคราม ก็จะทำให้ขายอาวุธ
เพื่อมาเป็นทุน ให้บริษัทผลิตอาวุธ วิจัยไปนอกโลกได้
แถมยังได้ใช้เป็นข้ออ้างในการขึ้นราคาสินค้าในการดูดเงินด้วย
และพอไปนอกโลกได้ ก็แบ่งปริมาณเงิน หนี้ ออกไปนอกโลกด้วย
ทำให้มีวิธีขยายเศรษฐกิจไปได้เรื่อยๆ
จนกว่าจะถึงขีดจำกัดทรัพยากรในอวกาศ
------------------------------------------------------------------
แต่พอสภาสหรัฐไปขัดขืนการขึ้นภาษีนิติบุคคล
แผนเลยจบเห่ทันที พังเรียบร้อย เลยขายหุ้นทิ้ง
พออาทิตย์นี้หุ้นลง เลยทยอยซื้อกลับนิดหน่อย