ซบเซาหนักมาก! ตลาดท่าเสด็จ นทท.หาย ผู้ค้ารายได้หด ดีมีอานิสงส์เก่าลูกค้าซื้อซ้ำ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7092233
หนองคาย ตลาดท่าเสด็จเงียบเหงา ซบเซาตั้งแต่ก่อนโควิด แม้สถานการณ์โควิดดีขึ้น บรรยากาศตลาดเงียบเหงา หยุดยาว 3 วัน ยังไม่คืบ ไม่ส่งผล นักท่องเที่ยวหดหาย ยังดีได้อานิสงส์ลูกค้าเก่าซื้อซ้ำ
3 มิ.ย. 65 – ช่วงวันหยุดยาว 3 วัน บรรยากาศวันแรก ที่ตลาดสินค้าอินโดจีน หรือตลาดท่าเสด็จ เขตเทศบาลเมืองหนองคาย ในอดีตเคยเป็นตลาดที่รุ่งเรือง มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย เป็นสีสันให้ลูกค้าจากจังหวัดต่างๆ มาเยี่ยมชม
เมื่อมาเที่ยวที่ หนองคาย ต้องไม่พลาดเข้ามาเลือกซื้อสินค้าเป็นของขวัญของฝาก จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ประกอบกับเป็นตลาดที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพสวยงานริมฝั่งโขงได้อีกด้วย
ปัจจุบันปรากฏว่า ช่วงระยะหลังมานี้ ตลาดท่าเสด็จซบเซาลงมาก นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิดจะแพร่ระบาด ยิ่งมาช่วงโควิดยิ่งกระทบหนักกว่าเดิม แม้ตอนนี้สถานการณ์โรคโควิดจะดีขึ้นแล้วก็ยังคงเงียบเหงาอยู่
ผู้ประกอบการในตลาดท่าเสด็จ รายหนึ่ง บอกว่า หากเทียบกับเมื่อก่อนช่วงหยุดยาว หรือหน้าเทศกาลต่างๆ ทางร้านจะเตรียมสินค้าเป็นปริมาณมากรอรับลูกค้า และลูกค้าก็จะเนืองแน่นเต็มไปหมดบรรยากาศคึกคัก แทบจะให้บริการลูกค้าไม่ทัน
แต่เดี๋ยวนี้บรรยากาศแบบเดิมไม่มีให้เห็นอีกแล้ว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวบ้างแต่น้อย ไม่กล้าลงของเยอะ ขายเท่าที่ร้านมีไปก่อน ซึ่งก็ยังต้องเปิดร้านทุกวัน เพื่อหวังว่าจะมีลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ ทางร้านก็ต้องประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดเหมือนกัน
ผู้ค้าแผงสลาก! กังวลสลากดิจิทัลฉุดยอดขาย ลั่นต่อไปต้องเลิกอาชีพ
https://www.one31.net/news/detail/55538
ผู้ค้าแผงหวยเชียงใหม่ กังวลสลากดิจิทัลฉุดยอดขาย ลั่นยินดีคนไทยได้ซื้อหวยถูก แต่ขอพื้นที่ได้ทำอาชีพบ้าง เพราะจะให้ขาย 80 บาท คงเป็นไปไม่ได้ เพราะรับมาแพง...
หลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเปิดขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเป็นวันแรกเมื่อวานนี้ (2 มิ.ย.) และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยในวันแรกมียอดขายกว่า 2.4 ล้านใบ จากจำนวนสลากทั้งหมด 5,279,500 ฉบับ
ล่าสุดในวันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวสำรวจย่านขายลอตเตอรี่หลายแห่งในตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา แผงค้าส่วนใหญ่ยังไม่มาเปิดขายเนื่องจากลอตเตอรี่งวดใหม่วันที่ 16 มิ.ย.ยังมาไม่ถึงมือ
ส่วนที่เริ่มเปิดขายก็ดูไม่คึกคัก มีลูกค้าบางตา ขณะที่แม่ค้าหวยส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความกังวลว่ายอดขายจะหดหายไปมากกว่านี้จากการเข้ามาของสลากดิจิทัล แม่ค้าหวยที่ตลาดสิริวัฒนา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้หลายเดือนที่ผ่านมายอดขายลดลงมาก และเชื่อว่าการเข้ามาของสลากดิจิทัลที่เปิดขายในราคา 80 บาท จะทำให้ยอดขายหายไปมากกว่านี้ในงวดต่อ ๆ ไป แต่ก็ยินดีกับคนไทยที่ได้ซื้อหวยถูก หากจะให้แม่ค้าขายในราคา 80 บาท ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เพราะที่รับมาขายในแต่ละงวด ราคาต่อใบก็สูงกว่านี้หลายบาท
เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีโควตาของตัวเอง ต้องไปรับมาอีกที และเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ขอให้เหลือโควตาสำหรับผู้ค้าในส่วนของร้านค้า แผงขาย และ ผู้ค้ารายย่อย และผู้ค้าเร่ ขอพื้นที่ได้ทำอาชีพเลี้ยงครอบครัว ขณะที่แม่ค้าอีกคนหนึ่ง มองว่า แม้จะมีสลากดิจิทัล แต่เชื่อว่าร้านขายหวยแบบออนไซต์ยังพออยู่ได้ เพราะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและคนที่ไม่ถนัดในการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ยังต้องการเลือกซื้อลอตเตอรี่ด้วยตัวเองและได้ลอตเตอรี่กลับบ้านทันที แต่ในอนาคตหากสลากดิจิทัลเข้ามาแทนที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงต้องเลิกอาชีพ.
‘แพทย์ชนบท’ งงหนัก วัคซีนยังทะลักไป รพ.สต. คงต้องซื้อตู้เย็นเพิ่ม แนะเจรจา บ.ชะลอส่งของ
https://www.matichon.co.th/social/news_3381292
‘แพทย์ชนบท’ งงหนัก วัคซีนโควิดยังทะลักไป รพ.สต. เหน็บต้องซื้อตู้เย็นเพิ่ม แนะเจรจา บ.ชะลอส่งของ
จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก
ชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่เอกสารการจัดสรรวัคซีนชนิดซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ลงไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นจำนวนมาก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแผนการระบายวัคซีนไปทิ้งให้หมดอายุหรือไม่ จากนั้น นพ.สุเทพ เพชรมาก หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้การยืนยันว่า การส่งวัคซีนโควิด-19 ไปไว้ที่ รพ.สต.เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการวัคซีนได้ใกล้บ้านที่สุด ทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลสามารถพาผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงไปฉีดวัคซีนกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน
ชมรมแพทย์ชนบท ระบุถึงเรื่องนี้อีกครั้ง โดยว่า
วัคซีนยังมีเต็มตู้ วันนี้คุณซื้อตู้เย็นเพิ่มแล้วยัง?
หลังจากหนังสือแจ้งส่งวัคซีน 16.8 ล้านโดส ให้ทุก รพ.สต. ตอนนี้เสียงสะท้อนคือ “วัคซีนล็อตเก่ายังเต็มตู้เย็น รอ expire อยู่อีกมาก ใช้ไม่ทันแน่ๆ แล้วของใหม่ส่งมาทำไม ให้มาวางรอวันหมดอายุหรือ ตู้เย็นก็ไม่พอเก็บ ต้องหาซื้อเพิ่มเพื่อมาเก็บวัคซีนหรือเนี่ย ไร้สาระนะ”
แน่นอนว่าวัคซีนเหล่านี้จะมาสต๊อกที่คลังโรงพยาบาลก่อน และส่วนใหญ่จะเก็บที่คลังโรงพยาบาลแล้วให้ รพ.สต.ทยอยเบิกไปทีละน้อย ใช้ไปแล้วก็ค่อยมาเบิก ทั้งนี้ เพราะคลังวัคซีนต้องมีระบบห่วงโซ่ความเย็นที่สมบูรณ์ สำคัญคือ ตู้เย็นเก็บวัคซีนต้องมีระบบไฟสำรองเลี้ยงกรณีไฟดับ ซึ่ง รพ.สต.หลายแห่งไม่มีระบบไฟสำรอง จึงเสี่ยงต่อการรักษาคุณภาพวัคซีน
ถ้าการส่งวัคซีนลงมาล็อตนี้เพื่อเคลียร์ตู้เย็นของ สธ.ให้ว่าง รอเติมล็อตใหม่ที่กำลังจะส่งมา แบบนี้ก็ไม่ควรนะ ส่งมาเพื่อรอให้หมดอายุทำไม เปลืองค่าส่ง ค่าซื้อตู้เย็นเพื่อเก็บอีกต่างหาก สิ่งที่คนมีอำนาจควรทำคือเจรจากับบริษัทวัคซีนให้ชะลอการส่ง หรือเจรจายกเลิกออเดอร์
วัคซีนล้นแขน แบบนี้ไม่ไหวนะท่าน
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0jo5r7stLKBDRADkLNX69VCpgKxfG87bLcvBr9PLw4nYwLmyPcDKrUqH5u167Pu3rl&id=142436575783508
เปิดหลักฐาน! กองทัพบกจ้างสวทช.ตรวจGT200 ทำตั้งแต่ช่วง ก.ย.64 รวมยอด 757เครื่อง7.57 ล.
https://www.isranews.org/article/isranews/109310-inves011999-126.html
"...เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 กองทัพบก โดย กรมสรรพาวุธทหารบก ได้ลงนามว่าจ้าง สวทช. เข้ามาการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ราคาที่ตกลงซื้อ/จ้าง 3,200,000 บาท ในตารางแสดงวงเงินงบประมาณ แบบ บก.06 ระบุชื่อโครงการเป็นทางการว่า จ้างรายการจ้างการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) จำนวน 320 เครื่อง วงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 3,200,000 บาท กำหนดราคากลาง เป็นเงิน 3,200,000 บาท เท่ากับราคางบประมาณ ราคาเครื่องละ 10,000 บาท ระบุแหล่งที่มา สืบราคาจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สวทช...."
--------------------------------------------------------------------------
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที
เมื่อในการอภิปรายระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ช่วงค่ำวันที่ 2 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา นาย
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตการใช้งบประมาณกระทรวงกลาโหมที่ไม่ปรากฏในเอกสารงบประมาณ ระบุว่า ในปลายเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา กองทัพบกทำสัญญาจ้าง มูลค่ารวม 7,570,000 บาท ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไปตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 จำนวน 757 เครื่อง ตกเครื่องละ 10,000 บาท
พร้อมเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจง ว่า
"การเอาเงินภาษี 7,570,000 บาท ไปจ้างตรวจสอบกล่องพลาสติกเปล่าสีดำ ในราคาชิ้นละ 1 หมื่นบาท ทั้งหมด 757 ชิ้นเพื่ออะไร เพราะทั้งโลกรู้กันว่าข้างในไม่มีอะไร กระทรวงกลาโหมใช้งบได้ไร้สติสตางค์ขนาดนี้เลยหรือ ค่าแงะกล่องพลาสติกขันนอตตัวเล็กๆ 14 ตัว 1 หมื่นบาท"
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขยายผลการตรวจสอบว่า กองทัพบก ได้ทำสัญญาจ้าง สวทช. ตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ในราคาเครื่องละ 10,000 บาท มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 แล้ว จำนวน 320 เครื่อง วงเงิน 3,200,000 บาท เฉลี่ยราคาเครื่องละ 1 หมื่นบาท
โดยจากการสืบค้นฐานข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานภาครัฐ พบว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 กองทัพบก โดย กรมสรรพาวุธทหารบก ได้ลงนามว่าจ้าง สวทช. เข้ามาการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ราคาที่ตกลงซื้อ/จ้าง 3,200,000 บาท
ในตารางแสดงวงเงินงบประมาณ แบบ บก.06 ระบุชื่อโครงการเป็นทางการว่า จ้างรายการจ้างการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) จำนวน 320 เครื่อง วงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 3,200,000 บาท กำหนดราคากลาง เป็นเงิน 3,200,000 บาท เท่ากับราคางบประมาณ ราคาเครื่องละ 10,000 บาท
ระบุแหล่งที่มา สืบราคาจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สวทช. (ดูเอกสารประกอบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ดูภาพได้ในข่าวต้นทางครับ https://www.isranews.org/article/isranews/109310-inves011999-126.html
ต่อมาเป็นการว่าจ้างครั้งที่สอง จำนวน 437 เครื่อง วงเงิน 4,370,000 บาท ประกาศผลเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2565
รวมยอดว่าจ้าง 2 ครั้ง จำนวน 757 เครื่อง วงเงิน 7.57 ล้านบาท
ส่วนวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการดำเนินการโครงการฯนี้ คือ อะไร?
รวมไปถึงคำถามของ นาย
จิรัฏฐ์ ที่ระบุว่า
"ทั้งโลกรู้กันว่าข้างในไม่มีอะไร กระทรวงกลาโหมใช้งบได้ไร้สติสตางค์ขนาดนี้เลยหรือ ค่าแงะกล่องพลาสติกขันนอตตัวเล็กๆ 14 ตัว 1 หมื่นบาท"
คงต้องรอฟังคำชี้แจงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นทางการอีกครั้ง
JJNY : 5in1 ซบเซาหนักมาก!ตลาดท่าเสด็จ│กังวลสลากดิจิทัล│‘แพทย์ชนบท’งงหนัก│เปิดหลักฐาน!ทบ.จ้างสวทช.│สรุปสงครามยูเครน100วัน
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7092233
3 มิ.ย. 65 – ช่วงวันหยุดยาว 3 วัน บรรยากาศวันแรก ที่ตลาดสินค้าอินโดจีน หรือตลาดท่าเสด็จ เขตเทศบาลเมืองหนองคาย ในอดีตเคยเป็นตลาดที่รุ่งเรือง มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย เป็นสีสันให้ลูกค้าจากจังหวัดต่างๆ มาเยี่ยมชม
เมื่อมาเที่ยวที่ หนองคาย ต้องไม่พลาดเข้ามาเลือกซื้อสินค้าเป็นของขวัญของฝาก จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ประกอบกับเป็นตลาดที่อยู่ริมแม่น้ำโขง ทำให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพสวยงานริมฝั่งโขงได้อีกด้วย
ปัจจุบันปรากฏว่า ช่วงระยะหลังมานี้ ตลาดท่าเสด็จซบเซาลงมาก นักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวจับจ่ายใช้สอยน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ก่อนสถานการณ์โควิดจะแพร่ระบาด ยิ่งมาช่วงโควิดยิ่งกระทบหนักกว่าเดิม แม้ตอนนี้สถานการณ์โรคโควิดจะดีขึ้นแล้วก็ยังคงเงียบเหงาอยู่
ผู้ประกอบการในตลาดท่าเสด็จ รายหนึ่ง บอกว่า หากเทียบกับเมื่อก่อนช่วงหยุดยาว หรือหน้าเทศกาลต่างๆ ทางร้านจะเตรียมสินค้าเป็นปริมาณมากรอรับลูกค้า และลูกค้าก็จะเนืองแน่นเต็มไปหมดบรรยากาศคึกคัก แทบจะให้บริการลูกค้าไม่ทัน
แต่เดี๋ยวนี้บรรยากาศแบบเดิมไม่มีให้เห็นอีกแล้ว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวบ้างแต่น้อย ไม่กล้าลงของเยอะ ขายเท่าที่ร้านมีไปก่อน ซึ่งก็ยังต้องเปิดร้านทุกวัน เพื่อหวังว่าจะมีลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำ ทางร้านก็ต้องประคับประคองตัวเองให้อยู่รอดเหมือนกัน
ผู้ค้าแผงสลาก! กังวลสลากดิจิทัลฉุดยอดขาย ลั่นต่อไปต้องเลิกอาชีพ
https://www.one31.net/news/detail/55538
ผู้ค้าแผงหวยเชียงใหม่ กังวลสลากดิจิทัลฉุดยอดขาย ลั่นยินดีคนไทยได้ซื้อหวยถูก แต่ขอพื้นที่ได้ทำอาชีพบ้าง เพราะจะให้ขาย 80 บาท คงเป็นไปไม่ได้ เพราะรับมาแพง...
หลังจากที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเปิดขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังเป็นวันแรกเมื่อวานนี้ (2 มิ.ย.) และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยในวันแรกมียอดขายกว่า 2.4 ล้านใบ จากจำนวนสลากทั้งหมด 5,279,500 ฉบับ
ล่าสุดในวันนี้ (3 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวสำรวจย่านขายลอตเตอรี่หลายแห่งในตัวเมืองเชียงใหม่ พบว่าบรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงา แผงค้าส่วนใหญ่ยังไม่มาเปิดขายเนื่องจากลอตเตอรี่งวดใหม่วันที่ 16 มิ.ย.ยังมาไม่ถึงมือ
ส่วนที่เริ่มเปิดขายก็ดูไม่คึกคัก มีลูกค้าบางตา ขณะที่แม่ค้าหวยส่วนใหญ่ยอมรับว่ามีความกังวลว่ายอดขายจะหดหายไปมากกว่านี้จากการเข้ามาของสลากดิจิทัล แม่ค้าหวยที่ตลาดสิริวัฒนา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาทำให้หลายเดือนที่ผ่านมายอดขายลดลงมาก และเชื่อว่าการเข้ามาของสลากดิจิทัลที่เปิดขายในราคา 80 บาท จะทำให้ยอดขายหายไปมากกว่านี้ในงวดต่อ ๆ ไป แต่ก็ยินดีกับคนไทยที่ได้ซื้อหวยถูก หากจะให้แม่ค้าขายในราคา 80 บาท ยอมรับว่าเป็นไปได้ยาก เพราะที่รับมาขายในแต่ละงวด ราคาต่อใบก็สูงกว่านี้หลายบาท
เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีโควตาของตัวเอง ต้องไปรับมาอีกที และเมื่อปฏิเสธไม่ได้ก็ขอให้เหลือโควตาสำหรับผู้ค้าในส่วนของร้านค้า แผงขาย และ ผู้ค้ารายย่อย และผู้ค้าเร่ ขอพื้นที่ได้ทำอาชีพเลี้ยงครอบครัว ขณะที่แม่ค้าอีกคนหนึ่ง มองว่า แม้จะมีสลากดิจิทัล แต่เชื่อว่าร้านขายหวยแบบออนไซต์ยังพออยู่ได้ เพราะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่ง
โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุและคนที่ไม่ถนัดในการใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ยังต้องการเลือกซื้อลอตเตอรี่ด้วยตัวเองและได้ลอตเตอรี่กลับบ้านทันที แต่ในอนาคตหากสลากดิจิทัลเข้ามาแทนที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คงต้องเลิกอาชีพ.
‘แพทย์ชนบท’ งงหนัก วัคซีนยังทะลักไป รพ.สต. คงต้องซื้อตู้เย็นเพิ่ม แนะเจรจา บ.ชะลอส่งของ
https://www.matichon.co.th/social/news_3381292
‘แพทย์ชนบท’ งงหนัก วัคซีนโควิดยังทะลักไป รพ.สต. เหน็บต้องซื้อตู้เย็นเพิ่ม แนะเจรจา บ.ชะลอส่งของ
จากกรณีที่เพจเฟซบุ๊ก ชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่เอกสารการจัดสรรวัคซีนชนิดซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ลงไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นจำนวนมาก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแผนการระบายวัคซีนไปทิ้งให้หมดอายุหรือไม่ จากนั้น นพ.สุเทพ เพชรมาก หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้การยืนยันว่า การส่งวัคซีนโควิด-19 ไปไว้ที่ รพ.สต.เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการวัคซีนได้ใกล้บ้านที่สุด ทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลสามารถพาผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงไปฉีดวัคซีนกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ชมรมแพทย์ชนบท ระบุถึงเรื่องนี้อีกครั้ง โดยว่า
วัคซีนยังมีเต็มตู้ วันนี้คุณซื้อตู้เย็นเพิ่มแล้วยัง?
หลังจากหนังสือแจ้งส่งวัคซีน 16.8 ล้านโดส ให้ทุก รพ.สต. ตอนนี้เสียงสะท้อนคือ “วัคซีนล็อตเก่ายังเต็มตู้เย็น รอ expire อยู่อีกมาก ใช้ไม่ทันแน่ๆ แล้วของใหม่ส่งมาทำไม ให้มาวางรอวันหมดอายุหรือ ตู้เย็นก็ไม่พอเก็บ ต้องหาซื้อเพิ่มเพื่อมาเก็บวัคซีนหรือเนี่ย ไร้สาระนะ”
แน่นอนว่าวัคซีนเหล่านี้จะมาสต๊อกที่คลังโรงพยาบาลก่อน และส่วนใหญ่จะเก็บที่คลังโรงพยาบาลแล้วให้ รพ.สต.ทยอยเบิกไปทีละน้อย ใช้ไปแล้วก็ค่อยมาเบิก ทั้งนี้ เพราะคลังวัคซีนต้องมีระบบห่วงโซ่ความเย็นที่สมบูรณ์ สำคัญคือ ตู้เย็นเก็บวัคซีนต้องมีระบบไฟสำรองเลี้ยงกรณีไฟดับ ซึ่ง รพ.สต.หลายแห่งไม่มีระบบไฟสำรอง จึงเสี่ยงต่อการรักษาคุณภาพวัคซีน
ถ้าการส่งวัคซีนลงมาล็อตนี้เพื่อเคลียร์ตู้เย็นของ สธ.ให้ว่าง รอเติมล็อตใหม่ที่กำลังจะส่งมา แบบนี้ก็ไม่ควรนะ ส่งมาเพื่อรอให้หมดอายุทำไม เปลืองค่าส่ง ค่าซื้อตู้เย็นเพื่อเก็บอีกต่างหาก สิ่งที่คนมีอำนาจควรทำคือเจรจากับบริษัทวัคซีนให้ชะลอการส่ง หรือเจรจายกเลิกออเดอร์
วัคซีนล้นแขน แบบนี้ไม่ไหวนะท่าน
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0jo5r7stLKBDRADkLNX69VCpgKxfG87bLcvBr9PLw4nYwLmyPcDKrUqH5u167Pu3rl&id=142436575783508
เปิดหลักฐาน! กองทัพบกจ้างสวทช.ตรวจGT200 ทำตั้งแต่ช่วง ก.ย.64 รวมยอด 757เครื่อง7.57 ล.
https://www.isranews.org/article/isranews/109310-inves011999-126.html
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที
เมื่อในการอภิปรายระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ช่วงค่ำวันที่ 2 มิ.ย.2565 ที่ผ่านมา นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตการใช้งบประมาณกระทรวงกลาโหมที่ไม่ปรากฏในเอกสารงบประมาณ ระบุว่า ในปลายเดือนมีนาคม 2565 ที่ผ่านมา กองทัพบกทำสัญญาจ้าง มูลค่ารวม 7,570,000 บาท ให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ไปตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 จำนวน 757 เครื่อง ตกเครื่องละ 10,000 บาท
พร้อมเรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมชี้แจง ว่า "การเอาเงินภาษี 7,570,000 บาท ไปจ้างตรวจสอบกล่องพลาสติกเปล่าสีดำ ในราคาชิ้นละ 1 หมื่นบาท ทั้งหมด 757 ชิ้นเพื่ออะไร เพราะทั้งโลกรู้กันว่าข้างในไม่มีอะไร กระทรวงกลาโหมใช้งบได้ไร้สติสตางค์ขนาดนี้เลยหรือ ค่าแงะกล่องพลาสติกขันนอตตัวเล็กๆ 14 ตัว 1 หมื่นบาท"
ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขยายผลการตรวจสอบว่า กองทัพบก ได้ทำสัญญาจ้าง สวทช. ตรวจสอบเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ในราคาเครื่องละ 10,000 บาท มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 แล้ว จำนวน 320 เครื่อง วงเงิน 3,200,000 บาท เฉลี่ยราคาเครื่องละ 1 หมื่นบาท
โดยจากการสืบค้นฐานข้อมูลจัดซื้อจัดจ้างหน่วยงานภาครัฐ พบว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 กองทัพบก โดย กรมสรรพาวุธทหารบก ได้ลงนามว่าจ้าง สวทช. เข้ามาการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) ด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง ราคาที่ตกลงซื้อ/จ้าง 3,200,000 บาท
ในตารางแสดงวงเงินงบประมาณ แบบ บก.06 ระบุชื่อโครงการเป็นทางการว่า จ้างรายการจ้างการตรวจสอบเครื่องตรวจจับสารเสพติด อาวุธ และวัตถุระเบิด (GT200) จำนวน 320 เครื่อง วงเงินงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร 3,200,000 บาท กำหนดราคากลาง เป็นเงิน 3,200,000 บาท เท่ากับราคางบประมาณ ราคาเครื่องละ 10,000 บาท
ระบุแหล่งที่มา สืบราคาจากศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ สวทช. (ดูเอกสารประกอบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่อมาเป็นการว่าจ้างครั้งที่สอง จำนวน 437 เครื่อง วงเงิน 4,370,000 บาท ประกาศผลเมื่อวันที่ 12 พ.ค.2565
รวมยอดว่าจ้าง 2 ครั้ง จำนวน 757 เครื่อง วงเงิน 7.57 ล้านบาท
ส่วนวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการดำเนินการโครงการฯนี้ คือ อะไร?
รวมไปถึงคำถามของ นายจิรัฏฐ์ ที่ระบุว่า "ทั้งโลกรู้กันว่าข้างในไม่มีอะไร กระทรวงกลาโหมใช้งบได้ไร้สติสตางค์ขนาดนี้เลยหรือ ค่าแงะกล่องพลาสติกขันนอตตัวเล็กๆ 14 ตัว 1 หมื่นบาท"
คงต้องรอฟังคำชี้แจงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นทางการอีกครั้ง