หลวงปู่มั่น (ภูริทัตโต) ท่านเคยพูดว่าธรรมของพระพุทธเจ้านี้ถึงแม้จะเป็นธรรมอันวิเศษก็ตาม แต่ถ้าเข้าไปอยู่ในใจของปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหานี้ ท่านบอกว่ามันจะกลายเป็นธรรมะปลอมไป ไม่ใช่เป็นธรรมะจริง เพราะกิเลสมันจะเอาธรรมะนี้มาแปลงความหมายไปหมด แล้วถ้าเอาไปสอนคนอื่นก็จะทำให้ได้ธรรมะปลอมกัน งั้นการจะศึกษาจากครูบาอาจารย์นี้เราต้องมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ท่านเป็นพระที่รู้จริงเห็นจริง เป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ได้บรรลุธรรมอย่างน้อยขั้นใดขั้นหนึ่งใน ๔ ขั้น คือตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
เพราะการได้เป็นพระอริยะนี่แสดงว่าได้เข้าถึงธรรมแท้แล้ว ได้เข้าถึงอริยสัจ ๔ ด้วยการปฏิบัติคือเห็นมันเกิดขึ้นในใจแบบสดๆร้อนๆเลย ไม่ใช่เป็นการนั่งจินตนาการเหมือนตอนนี้ ญาติโยมนั่งจินตนาการแล้วว่า เอ้อ ความทุกข์ใจของเราเกิดจากความอยาก แต่ตอนนี้ใจมันไม่ทุกข์ มันก็เลยไม่เห็นว่าตัวความอยากเป็นตัวทำให้ใจทุกข์ ไว้เวลาที่โดนใครเขาตบหน้าแล้วร้องห่มร้องไห้ดู แล้วดูสิว่าทำไมต้องร้องห่มร้องไห้ด้วย ถ้ามีปัญญามันก็จะรู้ว่าการที่ถูกเขาตบหน้า ก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์ที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา
คนอื่นนี้เราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ รูปเสียงกลิ่นรสที่มาสัมผัสกับเรานี่ เราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ เป็นอนัตตา เราจะให้เขาไม่ตบหน้าเราไม่ได้ งั้นเวลาเขาจะตบหน้าเราก็ตบ ตบก็ตบไป ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ตบแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว มาเจ็บใจ เพราะอะไร เพราะแค้น เพราะโกรธ เพราะอยากไม่ให้เขาตบหน้าเรา ใช่ไหม อยากให้เขาชมเรา อยากให้เขาดีกับเรา พอเขาตบหน้าเราหรือด่าเราเท่านั้นก็เสียใจเป็นทุกข์ขึ้นมา นี่ถ้ามีธรรม ถ้ามีสติปัญญาจะเห็นอริยสัจปรากฏขึ้นมาในแบบสดๆร้อนๆ ว่าโอ๊ยตอนนี้เราทุกข์ใจเสียใจ เพราะความอยากของเรา อยากให้เขาดีกับเรา ไม่ทำร้ายเรา
เพราะเราไม่มีปัญญามองไม่เห็นว่าเขาเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง อนัตตาว่าเราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ ไปให้เขาดีกับเราไม่ได้ บางทีเขาอาจจะดีกับเรา แต่บางทีเขาก็อาจจะไม่ดีกับเราก็ได้ งั้นเวลาใครดีกับเรา อย่าไปหลงระเริงคิดว่าเขาจะดีกับเราไปตลอดนะ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ใช่ไหม อนิจจัง เขาดีกับเราวันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะร้ายกับเราก็ได้ งั้นถ้าผู้ที่มีปัญญานี้จะระมัดระวัง ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรกับใครนี้จะคอยเตือนใจว่า ไม่แน่นะ วันนี้เป็นอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ จะสอนใจไม่ให้ไปหวังอะไรจากคนนั้นเลย เขาจะดีก็ได้ เขาจะร้ายก็ได้ เพราะเราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้
อันนี้แหละเรียกว่าเป็นปัญญาแท้ เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ พอเวลาเขาร้ายเขาตบหน้าเรา เราก็เฉยเสีย เจ็บกายอย่างเดียวพอ อย่าไปเจ็บ ๒ เด้ง เจ็บกายแล้วยังต้องเจ็บใจอีกทำไม ใจนี้เราสามารถป้องกันไม่ให้มันเจ็บได้ ถ้าเรามีปัญญา พระอริยบุคคลนี่ท่านจะเห็นอริยสัจตลอดเวลา เวลาที่กิเลสโผล่ขึ้นมาปั๊บ ท่านรู้แล้วอ้อมาแล้ว อยากแล้ว อยากได้นู่น อยากได้นี่ อยากให้คนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ พอรู้ปั๊บก็หยุดมันทันทีด้วยการใช้ไตรลักษณ์ ว่าสิ่งที่อยากได้เป็นอนัตตาไป
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งปวง ไม่ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือเป็นสิ่งของนี้ เป็นอนัตตาหมด เป็นธรรมชาติ คำว่าอนัตตาก็คือเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวตนในสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นเองเขาก็ควบคุมบังคับของตัวเขาเองไม่ได้ บางทีเขาก็ไม่อยากจะโกรธ แต่เขาก็แสดงอาการโกรธออกมา เวลาเขาอยากจะดี บางทีเขาก็แสดงอาการดีออกมาไม่ได้ เพราะเขาควบคุมตัวเขาเองไม่ได้ แล้วเราจะไปควบคุมให้เขาดีกับเราได้อย่างไร อันนี้คือปัญญา ปัญญานี้ถ้าเห็นอะไรปั๊บนี้ มันจะเหมือนกับเครื่องสแกนน่ะ มันจะสแกนหา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทันที
ตอนนี้มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเปล่า ไฟแดงโผล่ขึ้นมาทุกทีเลยเวลาสแกน สแกนคนก็ไฟแดงโผล่ขึ้นมา สแกนข้าวของเงินทองก็ไฟแดงก็โผล่ขึ้นมา แสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้น เหมือนตอนนี้เขามีสแกนอุณหภูมิ ใช่ไหม จะเข้าสถานที่นี้ เขามีเครื่องวัดอุณหภูมิ พอมันเกินปั๊บนี่ มันก็จะโผล่ไฟแดงขึ้นมาทันที อ้อ นี่อุณหภูมิสูงมีไข้แล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน คนที่มีสติปัญญาจริงๆ สติปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัตินี้ มันจะทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง ยกเว้นเวลาหลับเท่านั้น พอมันตื่นขึ้นมาปั๊บ มันสัมผัสรับรู้กับอะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรืออารมณ์ภายในใจของตนเอง มันจะคอยสแกนอยู่ตลอดเวลา
โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔
- 003
https://www.naewna.com/likesara/657326
'ปัญญาแท้เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ' : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
เพราะการได้เป็นพระอริยะนี่แสดงว่าได้เข้าถึงธรรมแท้แล้ว ได้เข้าถึงอริยสัจ ๔ ด้วยการปฏิบัติคือเห็นมันเกิดขึ้นในใจแบบสดๆร้อนๆเลย ไม่ใช่เป็นการนั่งจินตนาการเหมือนตอนนี้ ญาติโยมนั่งจินตนาการแล้วว่า เอ้อ ความทุกข์ใจของเราเกิดจากความอยาก แต่ตอนนี้ใจมันไม่ทุกข์ มันก็เลยไม่เห็นว่าตัวความอยากเป็นตัวทำให้ใจทุกข์ ไว้เวลาที่โดนใครเขาตบหน้าแล้วร้องห่มร้องไห้ดู แล้วดูสิว่าทำไมต้องร้องห่มร้องไห้ด้วย ถ้ามีปัญญามันก็จะรู้ว่าการที่ถูกเขาตบหน้า ก็เป็นเรื่องของเหตุการณ์ที่เราควบคุมบังคับไม่ได้ เป็นอนัตตา
คนอื่นนี้เราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ รูปเสียงกลิ่นรสที่มาสัมผัสกับเรานี่ เราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ เป็นอนัตตา เราจะให้เขาไม่ตบหน้าเราไม่ได้ งั้นเวลาเขาจะตบหน้าเราก็ตบ ตบก็ตบไป ทำไมต้องร้องไห้ด้วย ตบแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว มาเจ็บใจ เพราะอะไร เพราะแค้น เพราะโกรธ เพราะอยากไม่ให้เขาตบหน้าเรา ใช่ไหม อยากให้เขาชมเรา อยากให้เขาดีกับเรา พอเขาตบหน้าเราหรือด่าเราเท่านั้นก็เสียใจเป็นทุกข์ขึ้นมา นี่ถ้ามีธรรม ถ้ามีสติปัญญาจะเห็นอริยสัจปรากฏขึ้นมาในแบบสดๆร้อนๆ ว่าโอ๊ยตอนนี้เราทุกข์ใจเสียใจ เพราะความอยากของเรา อยากให้เขาดีกับเรา ไม่ทำร้ายเรา
เพราะเราไม่มีปัญญามองไม่เห็นว่าเขาเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง อนัตตาว่าเราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้ ไปให้เขาดีกับเราไม่ได้ บางทีเขาอาจจะดีกับเรา แต่บางทีเขาก็อาจจะไม่ดีกับเราก็ได้ งั้นเวลาใครดีกับเรา อย่าไปหลงระเริงคิดว่าเขาจะดีกับเราไปตลอดนะ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ใช่ไหม อนิจจัง เขาดีกับเราวันนี้ พรุ่งนี้เขาอาจจะร้ายกับเราก็ได้ งั้นถ้าผู้ที่มีปัญญานี้จะระมัดระวัง ไม่ว่าจะสัมผัสอะไรกับใครนี้จะคอยเตือนใจว่า ไม่แน่นะ วันนี้เป็นอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ จะสอนใจไม่ให้ไปหวังอะไรจากคนนั้นเลย เขาจะดีก็ได้ เขาจะร้ายก็ได้ เพราะเราไปควบคุมบังคับเขาไม่ได้
อันนี้แหละเรียกว่าเป็นปัญญาแท้ เป็นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติ พอเวลาเขาร้ายเขาตบหน้าเรา เราก็เฉยเสีย เจ็บกายอย่างเดียวพอ อย่าไปเจ็บ ๒ เด้ง เจ็บกายแล้วยังต้องเจ็บใจอีกทำไม ใจนี้เราสามารถป้องกันไม่ให้มันเจ็บได้ ถ้าเรามีปัญญา พระอริยบุคคลนี่ท่านจะเห็นอริยสัจตลอดเวลา เวลาที่กิเลสโผล่ขึ้นมาปั๊บ ท่านรู้แล้วอ้อมาแล้ว อยากแล้ว อยากได้นู่น อยากได้นี่ อยากให้คนนั้นคนนี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นอย่างนี้ พอรู้ปั๊บก็หยุดมันทันทีด้วยการใช้ไตรลักษณ์ ว่าสิ่งที่อยากได้เป็นอนัตตาไป
สัพเพ ธัมมา อนัตตา สรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งปวง ไม่ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือเป็นสิ่งของนี้ เป็นอนัตตาหมด เป็นธรรมชาติ คำว่าอนัตตาก็คือเป็นธรรมชาติ ไม่มีตัวตนในสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นเองเขาก็ควบคุมบังคับของตัวเขาเองไม่ได้ บางทีเขาก็ไม่อยากจะโกรธ แต่เขาก็แสดงอาการโกรธออกมา เวลาเขาอยากจะดี บางทีเขาก็แสดงอาการดีออกมาไม่ได้ เพราะเขาควบคุมตัวเขาเองไม่ได้ แล้วเราจะไปควบคุมให้เขาดีกับเราได้อย่างไร อันนี้คือปัญญา ปัญญานี้ถ้าเห็นอะไรปั๊บนี้ มันจะเหมือนกับเครื่องสแกนน่ะ มันจะสแกนหา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทันที
ตอนนี้มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเปล่า ไฟแดงโผล่ขึ้นมาทุกทีเลยเวลาสแกน สแกนคนก็ไฟแดงโผล่ขึ้นมา สแกนข้าวของเงินทองก็ไฟแดงก็โผล่ขึ้นมา แสดงว่าเป็นไตรลักษณ์ทั้งนั้น เหมือนตอนนี้เขามีสแกนอุณหภูมิ ใช่ไหม จะเข้าสถานที่นี้ เขามีเครื่องวัดอุณหภูมิ พอมันเกินปั๊บนี่ มันก็จะโผล่ไฟแดงขึ้นมาทันที อ้อ นี่อุณหภูมิสูงมีไข้แล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน คนที่มีสติปัญญาจริงๆ สติปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัตินี้ มันจะทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง ยกเว้นเวลาหลับเท่านั้น พอมันตื่นขึ้นมาปั๊บ มันสัมผัสรับรู้กับอะไร ไม่ว่าจะเป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ หรืออารมณ์ภายในใจของตนเอง มันจะคอยสแกนอยู่ตลอดเวลา
โอวาทธรรม พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔
- 003
https://www.naewna.com/likesara/657326