JJNY : พท.ตั้งโต๊ะถล่ม 8 ปีประยุทธ์│พิษศก.!สาว พาลูกจะโดดสะพาน│ปุ๋ยบางสูตรทะลุ2,000│ตั้งธงคว่ำร่างงบ จวกจัดงบไร้ความหวัง

เพื่อไทยตั้งโต๊ะถล่ม 8 ปีประยุทธ์ เศรษฐกิจไทยเสื่อมถอย-เสียโอกาส วอนอย่าดันทุรังอยู่ต่อ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3362798
 
 
“เพื่อไทย” ชี้ 8 ปี “ประยุทธ์” มีแต่ความเสื่อมถอย ทำไทยเสียโอกาส-ก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงโลก ซัด อย่าดังทุลังอยู่ต่อ-เลิกกระเ-ือกกระสนอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด
 
เมื่อเวลา 10.15 น. วันที่ 24 พฤษภาคม คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนายพิช้ย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจ น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กรรมการบริหารพรรคพท. และนายพชร นริพทะพันธุ์ กรรมการบริหารพรรค ร่วมแถลงข่าวหัวข้อ  “8 ปี แห่งความเสื่อมถอย เพื่อไทย เพื่ออนาคตที่สดใสของประเทศไทย” โดยนายพิชัย กล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ชนะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แบบแลนด์สไลด์หรือแบบถล่มทลาย ผลจากการเลือกตั้งชัดเจนว่าชาว กทม.ไม่เลือกบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ แสดงให้เห็นว่าประชาชนเบื่อหน่ายกับคำแก้ตัวแบบซ้ำๆ ของพล.อ.ประยุทธ์ที่อ้างว่าที่ต้องทำรัฐประหารเพราะต้องแก้ไขความวุ่นวายและเพื่อให้เกิดความสงบ ทั้งที่คนที่สร้างความวุ่นวายคือคนที่ได้ดิบได้ดีและอยู่รอบตัวพล.อ.ประยุทธ์ทั้งนั้น รวมถึงบางคนที่ถูกประชาชนลงโทษให้สอบตกจากผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ด้วย
 
นายพิชัย กล่าวต่อว่า การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยต่ำเตี้ยมาตลอด 8 ปี ทำให้รายได้ประชาชนหดหาย หนี้สินล้นทะลัก คนจนมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีจนต้องแจกบัตรคนจนมากขึ้นถึง 20 ล้านใบ ความสามารถแข่งขันของประเทศลดลง ถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้ากันแล้ว เช่น ลาว กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางราง หลังจากรถไฟความเร็วสูง จีน-ลาวเสร็จ ศูนย์กลางผลิตรถยนต์สมัยใหม่ย้ายไปอินโดนีเซีย ศูนย์กลางผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปอยู่ที่เวียดนาม และไทยกลายเป็นเมืองขึ้นทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะไม่มีการพัฒนาธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่หรือยูนิคอร์น ความเหลื่อมล้ำของไทยเพิ่มมากขึ้นจนติดอับโลก รัฐบาลยังปล่อยให้เจ้าสัวผูกขาดควบรวมกิจการ ทั้งการควบรวมแมคโคร-โลตัส และการควบรวมทรู-ดีแทค รวมถึงการให้คนบางกลุ่มมีอืทธิพลทางธุรกิจพลังงาน ปัญหาทั้งหมดเกิดจากความต้องการรักษาอำนาจของผู้นำ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของประเทศ นี่เป็นสาเหตุที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าผู้นำต้องไม่อยู่เกิน 8 ปี ดังนั้นพล.อ.ประยุทธ์อย่าดันทุรังอีกเลย ประชาชนได้แสดงความต้องการชัดเจนแล้วว่าอยากเปลี่ยนผู้นำ
 
ด้าน น.ส.จิราพร กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการทำรัฐประหาร มักจะอ้างความสุขของประชาชน แต่กลับทำลายนโยบายดีๆ ที่เป็นประโยชน์ หากจำกันได้เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ทำรัฐประหารเข้ามา พยายามล้มโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่นโยบายดังกล่าวได้รับรางวัลจากสหประชาชาติ จึงทำให้พล.อ.ประยุทธ์ไม่สามารถเลิกได้ แถมกลับไปเอาหน้าเอาเครดิตที่สหประชาชาติ นอกจากยังมีนโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนเมื่อกว่า 10 ปีก่อน  เป็นการปูพื้นฐานความรู้ทางคอมพิวเตอร์ และการเข้าถึงเศรษฐกิจดิจิตอล แต่ก็ถูกยกเลิก โครงการรถไฟความเร็วสูงซึ่งเห็นได้ชัดว่าลาวได้ประโยชน์อย่างมากจากโครงการนี้ พล.อ.ประยุทธ์อยู่มา 8 ปี แต่ระบบคมนาคมขนส่งของไทยโดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ใช้งบประมาณเฉลี่ยสูงกว่าสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างมาก หนี้สาธารณะเพิ่มสูงกว่า 10 ล้านล้านบาท แต่ประเทศไม่ได้พัฒนาเลย
 
น.ส.จิราพร กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่หาเสียงไว้ ทั้งค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท เงินเดือนอาชีวะ 18,000 บาท ปริญญาตรีเดือนละ 20,000 บาท ข้าวหอมมะลิตันละ 18,000 บาท ข้าวเจ้าตันละ 12,000 บาท มารดาประชารัฐกลับไม่ทำเลย ล่าสุดการที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดหารประชุมเอเปคในปลายปีนี้ส่อเค้าจะล้มเหลว เพราะการประชุมรัฐมนตรีการค้าจาก 21 เขตเศรษฐกิจมีความขัดแย้งสูง กลายเป็นสนามประลองกำลังของมหาอำนาจ ไม่สามารถออกแถลงการณ์ร่วมได้ ประเทศไทยต้องออกแถลงการณ์เองแก้เก้อ บ่งชี้ถึงศักยภาพที่อ่อนด้อยในการบริหารจัดการการประชุมนานาชาติของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งต่างจากรัฐบาลในอดีตอย่างสิ้นเชิง ทางที่ดีที่สุด พล.อ.ประยุทธ์เลิกพยายามกระเ-ือกกระสนที่จะอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด เพื่อได้นั่งเป็นประธานเอเปค หวังจะกอบกู้ภาพลักษณ์ตัวเองคืน ถ้ารู้ตัวว่ามือไม่ถึงก็ควรจะสละอำนาจ ให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนได้เข้ามาบริหารประเทศแทน
 
ขณะที่ นายพชร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลวในการพัฒนาดิจิตอลและด้านพลังงาน ซึ่งเป็นสองแนวทางหลักในการพัฒนาประเทศ ทำให้ไทยเสียโอกาสอย่างมาก พล.อ.ประยุทธ์ปล่อยให้มีการควบรวมของผู้ประกอบการรายใหญ่ เช่น ทรูและดีแทคที่จะสร้างปัญหาให้กับประชาชนในอนาคต และยังปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวของประชาชนรั่วไหล อีกทั้งยังปล่อยให้มี Digital Harassment มี SMS และโทรศัพท์หลอกลวง ทำให้ประชาชนโดนหลอกเสียเงินจำนวนมาก ด้านพลังงาน การจัดการข้อพิพาทในพื้นที่ที่มีก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้มีปัญหาในการนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมา อาจจะเป็นปัญหาเหมือนกรณีเหมืองทองคิงส์เกตได้ ปัญหาทางด้านดิจิตอลและด้านพลังงานยังมีอีกมาก มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา และอาจจะยากเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าใจ ทำให้ไทยก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก คนรุ่นใหม่เสียโอกาสอย่างมาก
 

 
พิษเศรษฐกิจ! สาวโดนโกงคิดสั้น พาลูก 3 คน จะโดดสะพานภูมิพล แท็กซี่เอะใจ แจ้งจนท.ช่วยทัน
https://ch3plus.com/news/crime/morning/292393

วานนี้ (22 พ.ค. 65) สภ.พระประแดง อำเภอพระประแดง ได้รับแจ้งมีผู้หญิงและเด็กหญิง 3 คน ได้นั่งรถแท็กซี่ขึ้นมาจากถนนพระราม 3 เพื่อจะให้รถแท็กซี่จอดกลางสะพานภูมิพล แต่แท็กซี่ไม่จอดเนื่องจากบอกว่าไม่สามารถจอดได้ ต้องไปจอดด้านล่าง แท็กซี่จึงลงไปจอดบนถนนสุขสวัสดิ์แล้วจอดให้ ทั้งแม่และเด็กได้เดินลงจากรถ และกำลังพากันดินขึ้นสะพานภูมิพล จากถนนสุขสวัสดิ์มุ่งหน้าไปลงทางถนนพระราม 3
 
จากนั้นได้ประสานตำรวจสายตรวจ เจ้าหน้าที่สายตรวจกรมทางหลวงชนบท และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๋ง เข้าตรวจสอบและไปพบหญิงสาวพร้อมเด็กผู้หญิงรวม 4 คน บริเวณบนสะพานขึ้นจากสุขสวัสดิ์ไปประมาณ 300 เมตร ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและสายตรวจสะพานจึงได้ควบคุมตัวไว้ได้ทัน หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมกล้องวงจรปิดของสะพานภูมิพลได้คอยตรวจดูว่า และแจ้งพิกัดให้เลยได้ทำการคุมตัวไว้ได้เร็ว
 
ทราบชื่อทั้ง 4 คน คือ นางสาวชุติญา อายุ 31 ปี (แม่) // เด็กหญิงฝาแฝดอายุ 3 ปี และ เด็กหญิงอายุ 2 ปี (น้องคนเล็ก) เจ้าหน้าที่ใช้เวลาพูดคุยเพื่อก่อนประมาณ 30 นาที จากนั้นจึงนำตัวแม่ลูกทั้ง 4 คนไปที่ สภ.พระประแดง เพื่อไปพักผ่อนและสอบถามสาเหตุ
 
เรื่องราวความเป็นมาที่จะมากระโดดสะพานภูมิพล เบื้องต้นทราบว่าทั้ง 4 แม่ลูก เช่าห้องพักอาศัยอยู่แถวซอยวัดด่านสำโรง ในพื้นที่ อ.เมืองสมุทรปราการ สุดท้ายทางเจ้าที่ตำรวจจึงได้ประสานไปยังบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อดำเนินการต่อ เนื่องจากหากปล่อยตัวกลับไปเกรงว่าจะก่อเหตุอีก
 
ทางด้าน นางสาว ชุติญา ก่อนมีครอบครัวมีอาชีพเป็นสาวพริตตี้ รับงานแสดงสินค้า จนมาได้พบเจอกับแฟนหนุ่มหรือสามี จนมีลูกแฝดสาว 2 คน และลูกสาวคนเล็กอีก 1 คน จึงเลิกทำงานเป็นพริตตี้ และได้ไปอยู่กับสามีทำงานด้วยกัน
 
จากนั้นมีปัญหาในครอบครัวได้แยกย้ายได้เลิกกับสามีมาได้ 2 ปี ลูกสาวทั้ง 3 คน ได้มาอยู่ด้วยกัน จากนั้นตนจึงทำอาชีพขายหมาล่า ก็พอเลี้ยงลูกพออยู่พอกิน จนมามีโควิดระบาดทำให้รายได้ลดลง  จากนั้นตนจึงพยายามจะหารายได้เสริมหรือรายได้เพิ่ม จึงมีคนชักชวนเข้าร่วมกลุ่ม หรือเล่นซื้อขายสินค้าหรู
 
ล่าสุด ได้สั่งซื้อรองเท้าหลุยส์วิตตอง 2019 ราคา 57,000 บาท ดาว 4,000 บาท ส่ง 11 งวด งวดละ 4,900 บาท ของมาส่งได้ประมาณ 10 วัน แต่ตนยังไม่ได้เปิดดู จนมาวันนี้ ตนต้องการใช้เงินเลยจะเอาเงินมาเอาลูกไปเข้าเรียน แต่เงินไม่มี ตนเลยจะเอารองเท้าไปขาย เพื่อจะพาลูกทั้ง 3 คน ไปเข้าเรียน
 
พอเปิดกล่องออกมาดูสินค้ามีรอยตำหนิ ตนเลยแจ้งไปยังเจ้าของสินค้า แต่เจ้าของสินค้าบอกส่งสินค้ากลับมา พอส่งไปเจ้าของสินค้าบอกว่าสินค้าใช้แล้ว ตนพยามบอกว่าพึ่งเปิดกล่องเอง เลยมีการโต้เถียงกัน และทางเจ้าของสินค้าเอาเรื่องราวไปลงในไลส์กลุ่ม ทำให้สมาชิกมารุมต่อว่า และทางเจ้าของสินค้าได้ส่งข้อความมาว่า แจ้งความตำรวจแล้วแล้ว เรียกเงินเพิ่มเป็นแสน จนเครียด
 
รายได้เข้าครอบครัวไม่พอกับรายจ่าย เรื่องที่มีปัญหาคือสินค้า และเรื่องห้องที่เช่าอยู่ เลยทำให้เครียดมาก จึงตัดสินใจพาลูกมากระโดดสะพานภูมิพล เพื่อจบปัญหาทุกอย่าง
 
นาย วิชา อ่วมทัพ มูนิธิปอเต็กตึ๊งที่ได้รับแจ้งเหตุ เล่าว่า ได้รับแจ้งเหตุจากทางกู้ชีพว่า มีคนกำลังจะขึ้นไปกระโดดสะพานภูมิพลทางขึ้นสุขสวัสดิ์ จึงได้รีบเข้าไปที่เกิดเหตุก็พบเป็นผู้หญิง 1 ราย และเด็กอีก 3 ราย เคราะห์ยังดีที่มีพลเมืองดีสามารถหยุดไว้ได้
 
จากการสอบถามพลเมืองดีคนดังกล่าว เล่าว่า เป็นคนที่มาส่งทั้งสี่คนบริเวณตีนสะพานภูมิพล ซึ่งก่อนหน้านั้น ทั้งสี่คนนี้ขอลงบริเวณกลางสะพาน แต่เค้าไม่ยอม จึงได้มาส่งตีนสะพาน และสังเกตว่า ทั้งสี่คนกำลังเดินขึ้นไป จึงได้หยุดรถ แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมูลนิธิ ให้เข้ามาช่วยดู
 
รับชมผ่านยูทูปได้ที่ : https://youtu.be/R1EXoEg4-s8

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

  
ปุ๋ยทยอยปรับราคาขึ้นอีก บางสูตรทะลุ 2,000 บาท
https://www.one31.net/news/detail/55293
 
เกษตรกรเดือดร้อน ปุ๋ยทยอยปรับราคาขึ้นอีก บางสูตรทะลุ 2,000 บาท ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ…
 
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจร้านจำหน่ายปุ๋ยเคมีในพื้นที่ต่างอำเภอ โดยที่ร้านจรัสศิลป์ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง นายณรงค์ชัย ชูเพ็ง เจ้าของร้าน บอกว่า ราคาปุ๋ยยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งขณะนี้ราคาบางสูตรอยู่ที่ 1,800, 1,950 บาท และบางสูตรทะลุไปที่ราคากระสอบละ 2,000 บาท เช่น แม่ปุ๋ยสูตร 18-46-0 ปุ๋ยยูเรียสูตร 40-0-0 เป็นต้น ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ จึงทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ในส่วนของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ถ้าราคาปาล์มน้ำมันยังอยู่ในขนาดนี้เกษตรกรอาจจะไม่เดือดร้อนมากนัก อาจจะยังพอมีเงินที่จะสามารถซื้อปุ๋ยไปใส่บำรุงต้นได้ แต่ก็บ่นกันทั้งหมด
 
แต่ในขณะที่เกษตรกรชาวสวนยางพารานั้น ไม่สามารถจะสู้ราคา เพราะราคายางพาราไม่ได้สูงมากนัก แต่ราคาปุ๋ยก็แพงมากเช่นเดียวกัน ทำให้พบว่าเกษตรกรรายย่อยที่มีสวนปาล์มน้ำมันเพียงไม่กี่ไร่ หรือชาวสวนยางจำนวนมาก ไม่มีเงินซื้อปุ๋ยใส่ นอกจากนั้น ปุ๋ยอินทรีย์เคมีก็มีการปรับราคาขึ้นเช่นกันจากเดิมกระสอบละ 700 บาท เป็นกระสอบ 930 บาท และแนวโน้มก็มีการปรับราคาสูงขึ้นตามปุ๋ยเคมีทั่วไปเช่นกัน แต่ลักษณะการปรับจะปรับขึ้นช้าๆ กว่าปุ๋ยเคมีที่ปรับราคาก้าวกระโดดแรง จึงทำให้เกษตรกรเดือดร้อนมาก
 
ทางร้านพยายามหาทางช่วยเหลือเกษตรกรทั้งการ แนะนำวิธีผสมปุ๋ยใช้เองเพื่อลดต้นทุน โดยวิธีการที่ตนเองแนะนำแล้วเกษตรกรได้ผลบางรายที่จะต้องใช้ปุ๋ยจำนวนมากตั้งแต่ 150 กระสอบขึ้นไป สามารถลดต้นทุนได้นับแสนบาท โดยแนะนำให้ใช้ปุ๋ยสูตรที่มีธาตุอาหารสูง ซึ่งราคากระสอบ 1,800 บาทขึ้นไป ผสมกับสารปรับสภาพดินที่มีราคากระสอบละ 400 บาท จะทำให้เกิดคุณภาพดีกับดิน จะได้ดินที่สมบูรณ์กลับมา ได้ค่า PH ของดินสูงขึ้นด้วย จึงทำให้การใช้ปุ๋ยของพืชมีประสิทธิภาพมากขึ้น .
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่