แชร์ประสบการณ์หางานสาย Tech ในออสเตรเลีย สิ่งที่ควร & ไม่ควรทำถ้าอยากได้งาน (ตอนที่ 1)

สารบัญ
ตอนที่ 1: เริ่มหางานที่ออสเตรเลียระหว่างเรียน อ่านได้ที่ (กระทู้นี้)
ตอนที่ 2: สัมภาษณ์หลากหลายบริษัท กว่าจะได้งานแรก อ่านได้ที่ https://ppantip.com/topic/41446036
ตอนที่ 3 (ตอนจบ): บริษัทด้าน Data Consultant ทำอะไรบ้าง และการย้ายงานในออสเตรเลีย อ่านได้ที่ https://ppantip.com/topic/41465428
----------

ตั้งแต่ปีที่แล้วมา รู้สึกว่าเทรนด์ในเรื่องของการไปเรียนต่อ และการทำงานต่างประเทศกำลังมาแรง ช่วงปีนี้มีโอกาสได้สอนคอร์สด้าน Data ให้กับคนไทย ก็มีนักเรียนถามมาเยอะว่าสนใจอยากทำงานต่างประเทศ ต้องทำยังไงบ้าง และกรุ๊ป Facebook เกี่ยวกับการย้ายประเทศ การทำงานในต่างประเทศก็คึกคักมาก

เลยถือโอกาสนี้มาเขียนแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง รวมถึงสิ่งที่เคยทำแล้วเวิร์ก กับไม่เวิร์ก จะขอเล่าตั้งแต่งานแรกที่ได้เลย จนมาถึงงานปัจจุบัน

อีกสาเหตุหนึ่งที่มาเขียนลง Pantip เพราะว่าเคยสิงอยู่ใน Pantip ห้องไกลบ้าน สักพักใหญ่ ๆ เลย ทั้งก่อนมาออสเตรเลีย และหลังจากมาออสเตรเลีย ก็เลยอยากเอามาแชร์กันว่าผ่านไป 5 ปีแล้ว เป็นยังไงบ้าง หรืออาจจะมีสิ่งที่เป็นประโยชน์กับท่านอื่น ๆ ด้วย

ผม เพิร์ธ ตอนนี้เพิ่งย้ายงานจากการเป็น Senior Consultant ด้าน Data ที่เมลเบิร์น มาทำงานในทีม Data ที่บริษัทแห่งหนึ่งในซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ตอนที่เขียนนี้ยังไม่ได้เริ่มงานเลยยังเปิดเผยชื่อบริษัทไม่ได้ครับ แต่เดี๋ยวคงประกาศใน LinkedIn ครับ

ว่าแล้วก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า ขอแบ่งเป็นตอน ๆ จะได้อ่านกันง่าย ๆ ครับ และจะมีสรุปสิ่งที่เรียนรู้ให้ท้ายแต่ละตอนด้วยคร้าบ

ตอนที่ 1 สัมภาษณ์งานที่แรก หลังจากเรียนจบ

เมื่อปี 2016 ผมมาที่ออสเตรเลียเพื่อเรียนต่อปริญญาโท Master of Data Science ที่ Monash University ที่เมลเบิร์น ตอนนั้นจำได้ว่าใช้เงินเก็บที่มีจนหมดเกลี้ยง และยังต้องขอที่บ้านช่วยเหลือด้วยนิดหน่อย เพราะไม่พอจ่ายค่าเทอม T_T


รูป: แอบแว้บไปมหาลัยก่อนเปิดเทอม วันแรกว้าวมาก แต่พอเห็นวิวเดิมหลายปีก็เริ่มไม่ว้าวแล้ว 555+

โปรแกรมปริญญาโทอันนี้จะเรียนทั้งหมด 2 ปี ปีละ 2 เทอม ซึ่งพอมาถึงเทอมสุดท้ายในปีสุดท้าย ทุกคนก็จะเริ่มต้องคิดแล้วว่าจะหางานที่ออสเตรเลียยังไงดี ยกเว้นคนที่กะว่าเรียนจบกลับประเทศแน่นอน ซึ่งส่วนตัวคิดว่าจ่ายค่าเทอมไปขนาดนี้แล้ว (ค่าเรียน 2 ล้านนิด ๆ + ค่ากินอยู่ 2 ปี อีกเกือบล้าน T_T) ไม่กลับง่าย ๆ หรอกกกกกก

—---------

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ขายของให้ออสเตรเลียสักหน่อย สาเหตุหนึ่งที่เลือกมาเรียนต่อประเทศนี้ เพราะที่นี่มี Visa 485: Temporary Graduate Visa ที่จะได้รับหลังจากเรียนปริญญามากกว่า 2 ปี ทำให้เราสามารถทำงานเต็มเวลา (Full-time) ได้อย่างถูกกฏหมายอีก 2 ปี

แต่ได้ข่าวว่าตอนนี้รัฐบาลปรับเป็นให้ 3 ปีแล้ว (ช่วงหลังโควิด แต่เค้าอาจจะปรับกลับก็ได้นะ รีบเรียนหน่อย) แปลว่าเรียนจบแล้วมีเวลาให้หางานเยอะมาก มีโอกาสคืนทุน!

—---------

พอเริ่มคิดเรื่องหางาน ก็เริ่มไปออกล่างานตาม Job fair ต่าง ๆ ที่มหาลัยจัด (แอบแว้บไปงานที่มหาลัยอื่นจัดด้วยนะ เป็นงานที่รวมบริษัทมาหาคนฝึกงาน - Internship) และร่อนใบสมัครไปจากเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ที่ฮิต ๆ ในออสเตรเลีย นั่นคือ Seek กับ LinkedIn

ตอนนั้นลอง Apply งานไปน่าจะ 30-50 ที่ได้ แต่ไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์เลย ขนาด Internship ยังไม่ได้...

ถึงจะเครียดที่ไม่ได้งานสักที ตอนนั้นก็รู้สึกว่าสู้ไหว เพราะรู้ว่าอยู่ออสเตรเลียแบบถูกกฏหมายไปได้อีกสักพักใหญ่ ด้วย Temporary Graduate Visa ที่อยู่ได้อีก 2 ปี ไม่โดนไล่กลับแน่นอน

เรื่องค่าใช้จ่ายชีวิตประจำวันก็ไม่ได้เป็นห่วงมาก ช่วงปิดเทอทำงานมาเยอะ และเทอมสุดท้ายก็โชคดีได้งานเป็นผู้ช่วยสอน (Teacher Assistant) มีเงินเก็บอยู่ประมาณนึง ถ้าไม่มีงานจริง ๆ ก็อยู่อย่างจน ๆ ไปได้อีกสักพักใหญ่

—---------

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

สำหรับคนที่อยากลองอะไรใหม่ ๆ นอกจากงานบริการ ร้านอาหาร ร้านนวด ฯลฯ แล้ว อยากแนะนำให้ลองหางานผู้ช่วยสอน (TA) หรือช่วยงาน Lab / โปรเจค Research ที่มหาลัย อย่างของที่คณะ IT ของ Monash จะเรียกการไปช่วยงานในโปรเจค Research ว่า Summer Internship กับ Winter Internship มีหลายโปรเจคให้เราเข้าไปทำได้ทุกช่วงปิดเทอม

นักศึกษามหาวิทยาลัยอื่นก็สมัครได้ด้วย แถมเงินดีด้วย มีเพื่อนที่โชคดีมาก ๆ ได้เข้าไปทำโปรเจคที่ได้มีชื่อใน Research Paper อีก (การมีชื่อใน Paper เปิดโอกาสในชีวิตเยอะมาก) คุ้มเกิน

ส่วนคนที่สนใจงาน TA เคยเขียนเล่าแบบละเอียดไว้ในนี้ครับ: University Life in Australia — ชีวิตติวเตอร์ที่มหาลัยต้องทำอะไรบ้าง


รูป: อันนี้ตอนไปแข่ง Hackarthon ถึงจะไม่ชนะ ไม่ได้เงินรางวัล แต่ได้ประสบการณ์อยู่นะ

—---------

สรุปว่าเรื่องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในออสเตรเลียไม่น่าเป็นห่วง แต่ที่เป็นห่วงจริง ๆ ในตอนนั้น คือ…

เรื่องของวีซ่านักเรียน ที่อาจจะทำให้บริษัทไม่รับเข้าทำงาน

เรามาเป็นวีซ่านักเรียน (Student) และพอเรียนจบก็เป็น Temporary Graduate Visa ซึ่งอยู่ได้อีกแค่ 2 ปี บริษัทอาจจะอยากรับคนที่มีวีซ่า Permanent Resident (เป็นวีซ่าที่อยู่ออสเตรเลียได้ตลอดชีพ) หรือคนที่เป็นพลเมืองออสเตรเลียแล้วมากกว่า เพราะไม่ต้องกังวลว่าคนที่เค้าจ้างมาจะโดนส่งกลับประเทศมั้ย

ตอนนั้นเลยอยากได้วีซ่า Permanent Resident มาก แต่การขอ Permanent Resident ที่ออสเตรเลียก็มีเงื่อนไขว่าเราต้องได้รับการรับรองที่ชื่อ Skill Assessment จากองค์กรที่เป็นตัวแทนของสายงานต่าง ๆ ก่อน อย่างสาย IT ก็มีองค์กรชื่อ ACS (Australian Computer Society)

ทีนี้การจะขอ Skill Assessment จาก ACS มีเงื่อนไขว่า “ต้องเรียน และทำงานตรงกับสายที่เราขอ Skill Assessment”

ด้วยความที่ผมทำงานแบบไม่ตรงสายกับที่จบปริญญาตรีมา (เรียนจบวิศวะยานยนต์ แต่มาทำงาน IT เพลินเลย) ก็เลยขอ PR ไม่ได้ ซึ่งช่วงปีนั้นคู่แข่งยังไม่เยอะ ได้ PR ง่ายกว่าตอนนี้มาก ถ้ายื่นได้ก็คงได้เป็น PR ไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว

แต่ในเมื่อเราทำอะไรไม่ได้กับวีซ่าของเราแล้ว ก็ต้องลองสมัครลุยไปด้วยวีซ่าที่มีนั่นแหละ ซึ่งเป็นเรื่องดีที่มีบริษัทหลายที่เปิดรับคนจาก Graduate Visa เหมือนกัน แต่กว่าจะหาได้ก็ใช้เวลาเยอะมาก

ที่แรกที่ไปสัมภาษณ์ มาจากเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกัน เป็นคนจีนที่ได้ Permanent Resident ที่ออสเตรเลียเรียบร้อยแล้ว เจอกันโดยบังเอิญมาก เพราะก่อนหน้านี้เรียนด้วยกัน ทำโปรเจคด้วยกันมาเยอะ แต่พอเทอมสุดท้าย ต่างคนก็ทำโปรเจคของตัวเอง ไม่ได้เจอหน้ากัน

วันนั้นเห็นเพื่อนกำลังนั่งปั่นโปรเจคอยู่กลางมหาลัย เลยเดินไปทักตามปกติของคนที่ไม่เจอกันนาน คุยไปคุยมาก็เข้าเรื่องงาน เราก็บ่นว่าหางานไปเยอะมากแต่ไม่ได้สัมภาษณ์สักที เธอบอกว่าตอนนี้เธอได้งานแล้วที่ธนาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ให้เราลองส่ง Resume ไปให้เธอ เดี๋ยวเธอเอาไปส่ง HR (คนที่ดูแลเรื่องการจ้างพนักงาน) ให้

แล้ว HR ก็เมลมาแจ้งเราว่ามีการบ้านให้ทำ เป็นการให้สร้าง Web Application ที่ใช้งาน Data เกี่ยวกับการเงินตัวหนึ่ง ด้วยเทคโนโลยีที่เค้าบอก (จริง ๆ เค้าบอกให้ใช้อะไรก็ได้ แต่ก็บอกมาด้วยว่าทีมเค้าใช้อันนี้นะ ก็เหมือนบังคับกลาย ๆ ว่าให้ใช้อะไร)

ตอนนั้นอาจจะเป็นโชคดี ที่ก่อนจะมาเรียนต่อ ผมได้ทำงานเขียนโปรแกรมสำหรับ Web Application มาก่อน ก็เลยพอมีจุดเริ่มต้นว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง ไม่อย่างนั้นก็อาจจะใช้เวลาเยอะมาก เพราะโจทย์ไม่ได้ตรงกับที่เรียน Master of Data Science มาเลย อันนี้เหมือนงาน Software Engineer ที่ใช้ Data นิดหน่อย

ด้วยความที่เราไม่ได้ทำมาเกือบ 2 ปีแล้ว และต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เราไม่เคยใช้ ก็คลำ ๆ ไปอยู่พักนึง แต่สุดท้ายก็เสร็จออกมาเป็น Web Application สำหรับข้อมูลการเงิน

ซึ่งตอนเตรียมตัวพรีเซ้นท์ เตรียมไปเยอะมาก พยายามใช้ Git, จัดการโปรเจคด้วย Kanban Board เพื่อให้โปรเจคดูว้าวขึ้นกว่า Web Application อย่างเดียว เตรียมสไลด์ไปเกือบ 50 หน้า

ทำสไลด์ไม่พอ ยังชวนเพื่อนที่เรียนปริญญาโทด้วยกัน มาฟังเราซ้อมพรีเซ้นท์ด้วย เพื่อนคนนี้เป็นอีกคนที่ธนาคารแห่งเดียวกันนี้รับเข้าไปทำงานในทีมเดียวกัน (คนละคนกับคนที่ทำให้เราเข้ามาสัมภาษณ์) พอเธอฟังเราพรีเซ้นท์จบก็บอกว่าเราทำออกมาดีมาก ได้งานแน่ ๆ เราก็มีความมั่นใจขึ้นมาเยอะเลย

—---------

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

มารู้ทีหลังว่า รอบทำโจทย์แบบนี้เป็นการสัมภาษณ์รอบที่ 3 ซึ่งรอบก่อนหน้านี้จะเป็นการคุยกับ HR และคุยกับคนในบริษัทก่อน แต่เราโดดมารอบนี้เลยเพราะเพื่อนแนะนำเราให้ HR โดยตรง จึงสรุปได้ว่าพลังการ Referral ยิ่งใหญ่มาก ๆ ที่ออสเตรเลีย

—---------

และแล้วก็มาถึงวันสัมภาษณ์ เราเตรียมคอมพิวเตอร์ไปที่ออฟฟิสเค้า พอมาถึงก็ค้นพบว่าออฟฟิสนี้ใกล้รถไฟ เดินนิดเดียวถึง แถมอยู่ใจกลางร้านอาหารเยอะ อุดมสมบูรณ์ น่าทำงานมาก

พอไปถึงก็เข้าห้องประชุมใหญ่ นั่งได้เกือบ 10 คน เอ๊ะ ไม่ได้สัมภาษณ์ตัวต่อตัวเหรอ ตอนอยู่ไทยถ้าไม่ใช่สัมภาษณ์แบบ 1-1 ก็เคยเจอสูงสุด 3 คน

แล้วก็มีคนเดินเข้ามาในห้อง 5 คน…

พอเค้าแนะนำตัว ก็เจอว่าคนที่เข้ามา มีทั้งหัวหน้าทีม, Business Analyst, Software Engineer ฯลฯ หลากหลายมาก ตอนอีเมลมาเค้าไม่ได้ระบุไว้ด้วยว่าคนสัมภาษณ์เป็นใครบ้าง

เราก็แบบ เอาวะ มาถึงขนาดนี้แล้ว แค่ผิดจากที่คิดไว้เรื่องเดียว ไม่เป็นไร

แต่ถ้ามันเป็นเรื่องเดียวก็ดีสิ...

ก่อนจะมาสัมภาษณ์ เราวางแผนในหัวไว้ว่าจะพรีเซ้นท์ตัวการบ้านที่ทำมาก่อน ด้วยสไลด์ที่ซ้อมพูดมาอย่างดี เสร็จแล้วเค้าจะถามอะไรก็ว่าไป

เซอร์ไพรซ์ต่อมา คือ พอเริ่มสัมภาษณ์ ยังไม่ทันได้พรีเซ้นท์ เค้าเริ่มจากยิงคำถามเรื่องโปรเจคจบที่เราทำ ทำเรื่องอะไร ใช้วิธีไหน ฯลฯ ซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงที่ยังไม่ได้สรุปหัวข้อโปรเจคกับอาจารย์ที่มหาลัย เลยยังไม่รู้รายละเอียดเลย ก็ตอบแบบเละเทะ

และหลังจากนั้น คนที่เป็น Software Engineer ก็มาถามเราเรื่องการทำงานของภาษาโปรแกรมมิ่ง ซึ่งเป็นภาษาใหม่ที่เราก็เพิ่งเคยใช้ในการบ้านที่เค้าให้ทำนี่แหละ ก็ตอบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง เละเทะอีกเหมือนกัน

สุดท้ายเหลือเวลาประมาณ 5 นาทีให้พรีเซ้นท์โปรเจคการบ้าน เลยกลายเป็นว่าสไลด์ 50 หน้าที่เตรียมมา ได้โชว์จริง ๆ ประมาณ 3 สไลด์ถ้วน

แล้วการสัมภาษณ์ก็จบลงอย่างน่าเจ็บปวด แต่ก็ยังกลับบ้านมาลุ้นว่าจะผ่านมั้ย

สักพักเค้าก็เมลตอบกลับมาว่า... ไม่ผ่าน

แล้วมันจะผ่านได้ยังไง สัมภาษณ์เละเทะขนาดนั้น เป็นการสัมภาษณ์ที่รู้สึกแย่พอสมควร เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปตามที่เราคิดเลย แล้วตัวการบ้านที่ตั้งใจมาก ก็ได้พรีเซ้นท์นิดเดียว

ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ได้ประสบการณ์ ไว้เก็บไปสัมภาษณ์ต่อที่บริษัทต่อไป ซึ่งจะมาเล่าให้ฟังต่อในตอนหน้าครับ

ตอน 2 จะเป็นเรื่องของการไปสัมภาษณ์งานจากแหล่งอื่น ๆ กับรอบสัมภาษณ์ต่าง ๆ กว่าจะได้งานแรกมา ตื่นเต้นพอกัน (ความรู้สึกตัวเองตอนนั้น 555+)

==================

โพสด้านล่างนี้ ผมจะสรุปสิ่งที่ควรทำ & ไม่ควรทำให้นะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่