จากชีวิตทำงานโรงงานมา 10 ปี สุดลงตัว หันมาเดินเส้นทางธุรกิจโลจิสติกส์ได้ 3 ปี กลายเป็นคนหมดตัวและตกงาน

ผมเข้ามาทำงานโรงงานตั้งแต่อายุ 18 หลังเรียนจบ ม.6 เริ่มทำงานเป็นพนักงานรายวัน
ปรับขึ้นเป็นรายเดือน และ หัวหน้าแผนก
10 ปีของการทำงานเจอมาหมดทุกรูปแบบของสังคมโรงงาน
พอขึ้นมาเป็น หัวหน้า งานก็สบายขึ้นอยู่ตัวลงตัวสุดๆ
เข้างาน 6 โมงเช้า บ่าย 3 โมงกลับบ้าน
วันนึงทำงานไม่เกิน 2 ชั่วโมงที่เหลือนั่งเล่นโทรศัพท์
เงินเดือน 16,000 ไม่รวมโอที
แต่ผมไม่เคยทำโอที ก็พออยู่ได้แล้ว
รถยนต์ที่ผ่อนมาตั้งแต่เป็นพนักงานรายวันก็หมดงวดแล้ว
(ตอนเป็นรายวันได้เงินเยอะกว่าแต่งานหนัก)

ผมไม่มีภาระหนี้สินที่ต้องผ่อนอะไรเลยครับ
บ้านที่อยู่ก็เป็นบ้านของลุงผม ท่านเสียไม่มีลูก
เลยยกบ้านให้ผมกับเงินติดบัญชีอีก 4 แสนบาท
ผมใช้ชีวิตที่ลงตัวมากๆ เลิกงานมาก็สังสรรค์กับเพื่อนๆ หยุดงาน เสาร์-อาทิตย์ ก็กินเที่ยวแคมป์ปิ้งเกือบทุกอาทิตย์
ตื่นเช้ามาทำงานก็ไม่มีวันไหนที่เจองานเครียดๆเลย

จนกระทั่งความว่างของการทำงานมันครอบงำผมครับ
นั่งเล่นโทรศัพท์ไปก็คิดไปเห็นคนอื่นๆเขาจับทางธุรกิจแบบนั้นแบบนี้ จนรวย เราพอจะมีเงินทุน
ก็คิดอยากทำอะไรบ้าง
เลยหันมาศึกษาธุรกิจแฟรนไชส์ขนส่งของค่ายหนึ่ง
อยู่พักใหญ่ๆ ผมพอจะมีเพื่อนสนิทที่เป็นพนักงาน ของขนส่งนั้น แนะนำทางให้
ก็เลยตัดสินใจเช้าตึก 1 คูหา ตกแต่งทำหน้าร้านจัดวางระบบใช้เงินไปประมาณ 3 แสน
จ้างหลานมาคอยดูแลร้าน
หลังเลิกงานผมก็มาช่วย
ทำไปได้ 3 เดือนแรกลูกค้ายังไม่ค่อยมี
แต่เพื่อนที่เป็นพนักงานก็คอยดึงลูกค้ามาให้

จนผมมารู้จักกับพนักงานที่มารับของที่ร้าน
ก็ได้พูดคุยกันทุกวัน เขาบอกผมว่า
คนที่วิ่งประจำสายนี้เพิ่งลาออกไป
ให้ผมออกรถกระบะตู้ทึบมาวิ่งเองเลย
รายได้ของรถร่วมก็อยู่ ประมาณ 3-5 หมื่นบาทต่อเดือนน้ำมันก็ใช้ของบริษัท
แถมเรายังอาจจะได้ลูกค้ามาส่งกับร้านเราเพิ่มด้วยเพราะเราออกหน้างานเองทุกวัน
แต่ต้องอย่าให้บริษัทรู้ว่าเราทำ
ร้านแฟรนไชส์อยู่

ผมเลยมานั่งคิดตัดสินใจอยู่ 1 เดือนได้ไม่ปรึกษาใครตัดสินใจไปสมัครงานที่บริษัทขนส่งเลย
สรุปอีกสองวันรับผมเข้าทำงานได้วิ่งส่งพัสดุแถวบ้าน
และได้รับของจากร้านตัวเองเข้าคลังอีก
แต่สิ่งที่ผมต้องทำคือ ออกรถกระบะคันใหม่
รถยนต์ที่ผมมีอยู่มันเป็นรถกระบะสี่ประตู
ไม่สามารถเอามาวิ่งร่วมกับบริษัทได้
ผมเลยเอาเงิน 1 แสนบาทที่เหลืออยู่
ไปดาวน์รถกระบะตอนเดียวและติดตั้งตู้ทึบเรียบร้อย
พอได้มาวิ่งงานบอกเลยครับ 1 เดือนแรกเหนื่อยมากครับ
กว่าจะรู้บ้านเลขที่ครบใช้เวลาพอสมควร
งานไม่ได้ชิวเหมือนทำงานโรงงาน
ผมต้องตื่นเช้า
กลับดึกทุกวันเพื่อบริหารงานขนส่งและบริหารร้านตัวเอง เหนื่อยมากๆ ไม่มีเวลาใช้ชีวิตแบบ
เมื่อก่อนเลย

แต่ 1 ปีแรกผลตอบแทนดีมากๆครับ
รายได้เฉลี่ยจาก 2 ทางเดือนนึงไม่ต่ำกว่า
8 หมื่นบาท
แต่ช่วงปีแรกผิดที่ตัวผมเองใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย
เหมือนว่าเราไม่มีเวลาให้ตัวเอง
เลยใช้เงินสนองความเหนื่อยซื้อของที่อยากได้ราคาแพงๆ กินข้าวมื้อนึง 4-5 พัน
คิดว่าเงินเข้ามาอยู่ตลอดเลยไม่สำรองทุนคืนไว้
้เข้าสู่ปีที่ 2 ผมตั้งใจเลยว่าจะสำรองเงินทุนคืนภายในปีนี้
แต่มันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดครับ
บริษัทปรับรายได้ของร้านแฟรนไชส์ลดลง 40%
แถมยังดึงลูกค้าให้พนักงานไปรับสินค้าเอง
ถึงหน้าบ้านโดยไม่ผ่านร้านแฟรนไชส์อีก

ผ่านมาอีกไม่นานก็มาปรับลดรายได้พนักงานบริษัทลงอีก 30% สรุปเฉลี่ยแล้วรายได้ผมหายไปเกือบครึ่ง
ผมเลยตัดสินใจขายรถกระบะสี่ประตูคู่ใจ
ที่ตรากตรำผ่อนกว่าจะหมดขายได้ราคา
2 แสนกว่าๆ
เพราะรถเป็นรถเลิกผลิตในไทยเลยขายได้ราคาถูก
เอาเงินส่วนนี้ไปเปิดแฟรนไชส์ของอีกค่ายนึงครับ
ไม่ยอมแพ้จริงๆ ตอนนั้นไม่รู้คิดอะไรอยู่
ผ่านมาได้ 7-8 เดือนครับสู้ไม่ไหวลูกค้าหายหมด
เข้าเนื้อทุกเดือน
อาจเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจโควิคด้วย
สุดท้ายต้องยอมแพ้ครับปิดกิจการ
ยอมรับทำใจครับสูญเงินเก็บไปกับรถสุดที่รักอีกคัน
แต่ผมยังเหลือรถกระบะตู้ทึบอยู่ก็วิ่งงานกับขนส่งเดิมต่อมาเรื่อยๆ พอเหลือกินเหลือใช้ครับรายได้ก็
3-4 หมื่นบาทต่อเดือนหักผ่อนรถแล้วก็เหลือสบายๆ
คิดว่าที่ผ่านมาแล้วก็ช่างมันไปสู้ต่อไป
แต่มันไม่จบแค่นี้สิครับ

ปลายปี 2564 บริษัทปรับเปลี่ยนเรทราคาค่าจ้างราคารถร่วมลงอีก เหลือประมาณ 2 หมื่นต่อเดือน
ผมเริ่มท้อแล้ว คือเงินเดือน 2 หมื่นผมทำอยู่โรงงานก็ได้แล้วไม่ต้องเหนื่อยด้วย
แถมรถก็ไม่ต้องผ่อน

เวลาขับไปส่งพัสดุให้ลูกค้าตามโรงงานก็รู้สึกอิจฉา
ที่เขามีงานประจำดีๆทำ ทั้งๆที่เราเคยอยู่จุดนั้นก็สบายดีอยู่แล้ว

ยังครับมันยังไม่จบแค่นี้

ต้นเดือนกุมภาพันธ์เพื่อนผมชวนไปวิ่งงานบริษัทเดียวกับมันรายได้มากกว่าเดิม
3 หมื่นบาทอัพ
ผมเลยลองไปสมัครทางบริษัทแจ้งมาว่าอีก 5 วันเข้ามาวิ่งงานได้เลย HR การันตีว่าได้งานแน่นอน
ผมเลยตัดสินใจลาออกจากบริษัทเก่าวันนั้นเลย
ขอพักสมองสัก 5 วัน ปรากฏว่าพอถึงวันเริ่มงาน
เพื่อนมันบอกว่าบริษัทมันเทลูกน้องทิ้งกระทันหัน
ตัวเพื่อนผมออกมาวิ่งฟู้ดเฉยรถก็จอดไม่มีงานวิ่ง
ผมเครียดหนักเลยทีนี้ใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆศึกษา
หางานขนส่งวิ่งบริษัทใหม่สรุปงานแย่ทุบริษัท
คนถอดตู้ทิ้งบางคนปล่อยรถยึดขายดาวน์
เพราะพิษราคาน้ำมัน
กลายเป็นว่าที่บริษัทขนส่งเก่าผมปรับราคาลง
ไม่ไช่แค่บริษัทผมบริษัทเดียวแต่เป็นทุกที่
สรุปผมว่างงานมา 3 เดือนแล้ว
ไปหาสมัครงานมา 5 ขนส่งแล้วยังไม่มีที่ไหนรับเลย
3 เดือนที่ผมขาดรายได้รถต้องส่งงวดทุกเดือน
ผมต้องเอาสร้อยทอง 2 บาทที่ซื้อไส่มา
ตั้งแต่ทำงานรายวัน ออกมาขาย ใช้กินใช้จ่ายค่างวดรถ

ทุกวันนี้ได้แต่นอนคิดทุกคืนว่าไม่น่าเลย
แต่คิดอีกมุมว่าคนที่เจอหนักกว่าเราก็มีเยอะ
สู้ต่อไปครับทุกคน
(บทเรียนราคาแพงของผม)
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
มันไม่มีอะไรที่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกครับ ไม่ได้พูดให้กำลังใจนะ แต่คุณได้มาจริงๆ มันเรียกว่าประสบกาณ์ชีวิตครับ

คุณรู้แล้วว่าสิ่งที่คุณเจอ คุณพลาดอะไรไปบ้าง นั่นแหล่ะครับบทเรียน

ถ้าความเห็นผม ผมว่าคุณขาดการวางแผน และในการวางแผน มันมีสิ่งที่เรียกว่า Worst Case Analysis
นั่นคือการประเมินสถานการณ์ในทางที่เลวร้ายที่สุด เราต้องมองภาพสถาณการณ์แล้วตั้งคำถามกับตัวเองให้ได้ว่า ถ้าที่คิดไว้ มันไม่เป็นไปตามคาด มันแย่กว่าที่วางแผนไว้ เรามีแผนสำรองหรือวิธีแก้ไขอย่างไร เพื่อเตรียมรับมือ

ผมก็เคยคิดจะทำธุรกิจโลจิสติกส์แบบคุณนี่แหล่ะครับ ตอนนั้นผมมีเงินเย็นในมือ 4 ล้าน ผมนั่งกางกระดาษเขียนแผน เขียนเงินลงทุน กำไรที่คาดหวังว่าจะได้ ปัญหาที่น่าจะเจอ และสุดท้ายคือ สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่ผมอาจจะเจอ  สุดท้ายผมไม่ไปต่อ เพราะสถานการ์เลวร้ายที่วิเคราะห์ไว้มันจะส่งผลต่อชีวิตผมเหมือนกับสิ่งที่คุณเจอเลย คือ มันจะทำให้ผมสูญเสียเงินเก็บไปมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้  เลยหยุดโครงการไว้

แต่ในเมื่อคุณพลาดไปแล้ว สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้คือบทเรียน คุณเก่งแล้วครับ ที่เผชิญกับมันได้ จากนี้ต้องปล่อยวาง หาทางแก้ปัญหา และสุดท้ายถ้ามันทำอะไรไม่ได้ ต้องจมให้ลง รถส่งไม่ไหว ขายก็ต้องขาย งานไม่มีทำ ก็ต้องไปหางานทำเลี้ยงชีวิตไปก่อน อนาคตยังมี อายุไม่ได้มาก ยังสร้างตัวใหม่ได้ คุณต้องรู้จัก cut loss ถ้ารถไม่ไหว เรายังมีบ้านอยู่ เอาบ้านไว้ ขายรถยนต์ ซื้อมอร์ไซค์ไว้ใช้งาน

ขอให้ตั้งต้นชีวิตใหม่ได้ไวๆ และโตขึ้นพร้อมประสบการณ์ที่คุณผ่านความผิดพลาดมาเอาไว้เป็นบทเรียน คุณจะแกร่งขึ้น วันนึงคุณจะภูมิใจครับที่คุณผ่านมันมาได้ เป็นกำลังใจให้
ความคิดเห็นที่ 11
การที่คุณบอกเล่าผ่านประสบการณ์  นั่นคือ ความกล้าหาญ

กล้ายอมรับความประมาท
กล้ายอมรับความผิดพลาด
กล้ายอมรับคำวิจารณ์จากผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม ขอให้ทำใจว่าไม่ใช่ทุกคอมเมนท์จะแสดงความเห็นใจครับ  นานาจิตตัง

ขอให้บทเรียนนี้ทะยานส่ง จขกท. ไปข้างหน้าครับ
ความคิดเห็นที่ 75
คิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์กับหลายท่านที่กำลังเดินอยู่บนเส้นทางนี้ อย่างน้อยแค่เป็นกำลังใจเล็กๆได้บ้างก็ยังดีครับ ผมเป็นคนตจว.ฐานะครอบครัว
ในวัยเด็กจัดว่าจนได้ครับสิ่งที่คิดได้ในวัยเด็กตอนนั้นต้องตั้งใจเรียนจึงจะถีบตัวเองออกจากฐานะยากจนได้จบระดับ ปวส.ช่างในระดับเกียรตินิยมและใช้ทุน กยศ.
และการทำงานรส่งตัวเองเรียน เนื่องจากพ่อแม่แยกทางกันช่วงมัธยมปลาย
    ***ก่อนเรียนจบบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่(T)ได้มีโครงการคัดเลือกนักเรียนเข้าทำงานกับบริษัทโดยมีการส่งจดหมายเชิญไปยังสถาบันอาชีวะทั่วประเทศให้
ส่งตัวแทนเข้าสอบแข่งขันและฝึกงานจริงผมโชคดีได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงานกับบริษัทในวันแรกหลังเรียนจบทันที (2004) ระหว่างทำงานก็เรียนต่อระดับปริญญา
ไปด้วยได้ทำงานที่ท้าทายในฝ่ายวิศกรรม ได้ร่วมทำงาน Project ใหญ่ๆทั้งในและต่างประเทศ หลายๆประเทศฐานะทางการเงินและสังคม ดีขึ้นเป็นลำดับมีรายรับบางเดือน
ทะลุหลักแสนบาทและโบนัสหลายเดือนต่อปีพร้อมสวัสดิการที่ดีเยี่ยมมีเงินเก็บหลักล้านบาท ซื้อบ้านเดี่ยว 2 ชั้น รถยนต์ 2 คันไม่ให้แฟนทำงาน เลี้ยงลูกเล็กอยู่บ้าน
   ***ตัดสินใจลาออกจากงานปี 2013 ด้วยนิสัยมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ชอบกฎเกณฑ์ และไม่ชอบตาม นิสัยกล้าได้กล้าเสีย ดาบสองคม จริงๆผมคิดเรื่องนี้ตั้งแต่
เข้าทำงานเมื่อ 9 ปีที่แล้วระหว่างนั้นสายตาก็มองหาโอกาศตลอดเวลาจนได้มาเจอธุรกิจเครือข่ายยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เหมือนมาเปิดโลกให้ผมรู้จักกับหนังสือ
พ่อรวยสอนลูก (Poor dad Rich dad)ผมตื่นเต้นมากๆมาถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเลิกอ่านกันนะครับ 555+ เพราะมันจบไม่สวย...
   ***ยื่นหนังสือลาออก ไม่ฟังใคร ก้าวแรกสู้สนามจริง!!! ลุยๆๆๆ แต่ทุกธุรกิจมีต้นทุน 2 ปีรู้เรื่อง เงินทอง เพื่อนฝูง เหมือนนุ่นที่โดนลมแล้วปลิวหายไปโดยง่าย
ผมไม่ได้บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับแต่มันไม่ใช่สำหรับทุกคนแต่ผมก็ได้แนวคิดดีๆจากธุรกิจนี้มาก็มากเช่นกัน เลิก!!!ยังพอมีเงินเหลือ ลืมบอกไปตอนลาออกผมยัง
แบกค่าใช้ประจำ 50,000 บาท/เดือน(จุดอ่อนที่ 1)
   ***หอบเงินที่เหลือลุยทำมังคุดส่งออกกับพี่สาวที่จันทบุรีเปิดจุดรับซื้อเป็นเรื่องเป็นราว คนงาน รถ อุปกรณ์ จิปาถะ ซื้อดะ ช่วงแรกๆกำไรแสนหาได้ในคืนเดียว แต่ธุรกิจนี้
มีแต่เสือเขี้ยวดาบ สายป่านไม่ถึง เล่ห์เหลี่ยมไม่เพรียวพราว คู่ธุรกิจไม่เวิร์ค ประสบการณ์น้อยแต่ใจใหญ่ อยากใหญ่เลยไม่อยากเล็ก เวลาโดนก็แสบถึงกระดูกก " เล็กไม่เป็น
ก็ใหญ่ไม่ได้" (จุดอ่อน 2) โดนโกง รอบนี้ของจริงแทบหมดตัว ไปต่อไม่ไหว เหลือเงินไม่ถึงแสนกลับบ้าน T-T นอนกอดกันร้องไห้กับแฟนและลูกน้อย...ส่งลูกทั้ง
น้ำตาไปฝากพ่อตาแม่ยายช่วยเลี้ยง ชั่วโมงนี้เจ็บปวดที่สุดในชีวิต...ไม่มีเงินส่งให้พ่อแม่ซักบาทเดียว
   *** ขาย ๆๆๆ ยังไม่หมดลมสู้ต่อ ขายรถ ขายกองทุน ทองคำ เอาทุนไปลุยใหม่ โชคดีมีตลาดเปิดใหม่ใกล้บ้านหอบเงินมาจองแผงขายอาหารทะเลแห้งตลาดเปิดใหม่พ่อค้า
เพียบ! แต่คนไม่เดิน ยังไม่รู้จัก ยอดขายไม่ถึงพันบาทต่อวัน กำไรไม่ถึง 300 แรกๆ คู่แข่งเพียบ ไม่นานทะยอยเลิก เรากัดฟัน สู้ต่อ ไม่ยอมแพ้หลังพิงฝาแล้ว (จุดแข็ง 1) แต่
ก็ไม่พอค่าใช้จ่าย...
   ***ลงทุนเพิ่ม ซื้อเฟรนด์ไชส์ลูกชิ้นย่างเจ้าดังมาขายในปั๊มสีน้ำเงินใกล้บ้านแฟนขาย สาวขี้อายต้องจำทนผมขายอาหารทะเลแห้งเ แรกๆดี นานวันเงียบค่าเช่าแพงเกินไป
หอบซุ้มมาแปลงเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ปลาท่องโก๋หน้าตลาด ขายดี ต้นทุนต่ำ แต่ตื่นตีสาม นอนเกือบเที่ยงคืนทุกวัน กรอบทั้งผัวเมีย ฝืนทำ ตลาดปรับพื่นที่ โดนไล่หนี ไม่มีที่ขาย
เลิก!!! หันไปจับตลาดนัด ขนอาหารทะเลแห้งไปตั้งแผงขายวันไหนฝนนรกชัดๆ ตั้งแต่เที่ยงยันสองทุ่มกว่าเก็บร้าน แฟนเก็บร้านที่แผงเสร็จเอาสบู่มานั่งขาย
ต่อที่ตลาดนัด จากสาว Office จบปริญญาหน้าใส น่ารัก ผิวขาวเป็นหยวกกล้วย ช่วงแรกขายดี หลังๆลูกค้าไม่เชื่อเพราะแม่ค้าดำ 555+ สงสารแฟนมากคิดในใจกูจะรวยให้ได้!!
และจะไม่ยอมให้ใครมองแฟนกูด้วยสายตาแบบนี้อีก ขอโทษ...
   ***เริ่มกู้เงินในระบบ หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ กดบัตรมากินใช้ หมุนในธุรกิจ แต่ไม่ช่วยอะไรกลับพูกพูนหนาจนยกไม่ไหว ธุรกิจก็พลอยแย่
ไม่มีเงินเติม อะไรได้เงินทำหมด เพื่อนแฟนทำร้านอาหารหลังเลิกงานที่ร้านก็ไปช่วยเขาเสริฟอาหาร ล้างถ้วยจาน ทำข้าวกล่องหอบใส่มอไซด์ไปนั่งขายที่ป้ายรถเมย์ตอนเช้ามืดก่อน
กลับมาเปิดร้านอาหารทะเลแห้ง ก็ยังไม่พอ บ้าน รถ กำลังจะโดนยึด!!! แฟนแอบร้องไห้ประจำ ผมหัวหน้าครอบครัว ร้องไห้ในใจ จนไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาข้างนอก เป็นความผิดกูเอง
ที่วันนั้นไม่ฟังใคร!!   T-T...
   ***มืดมน หมดหนทาง ไม่มีที่พึ่ง แต่ไม่เคยคิดเอ่ยปากยืมเงินใคร หรือกู้นอกระบบ (จุดแข็ง 2)แบ่งเวลาพากันหันหน้าเข้าวัดไปเรียนหลักสูตรครูสมาธิกับหลวงพ่อ วิริยังค์ สิรันธโร
อยู่เกือบ 2 ปี สู้ไป เข้าวัดไป (ผมรู้สึกว่า นี่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตจากการได้รับธรรมมะ เราเริ่มยิ้มได้ ยอมรับความจริง และปรับตัว)
   *** หันหน้าเข้าหาเจ้าหนี้ ไม่มี ไม่หนี จ่ายเท่าที่ทำได้ ขอปรับโครงสร้างหนี้ เบาลงแต่ไม่พอตอนนั้นหนี้แตะล้านไปแล้ว
   *** ฟ้าเริ่มเปิดทางพี่ๆที่ทำงานเก่ารู้ข่าว ยื่นมือมาจะช่วยเหลือชวนกลับมาทำงานที่เดิมในตำแหน่งเดิม ชวนไปกินเลี้ยงแผนกร่วมกับพี่น้องเตรียมกลับเข้าทำงานแต่เหมือนมีการ
เมืองในขั้นตอนสุดท้ายระหว่างคนญี่ปุ่นกับคนไทย ผมไม่โทษใครและขอบคุณที่เขายังนึกถึงเรา จึงไปเริ่มงานใหม่กับบริษัทชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่งในอมตะนครชลบุรี 25 ตุลา 2559
และเติบโตแบบก้าวกระโดดในหน้าที่การงานขึ้นเป็นระดับผู้บริหารในระยะเวลา 2 ปีครึ่งในระหว่างทำงานก็ยังมีการโทรติดตามทวงหนี้เข้ามาเป็นระยะๆ
   *** ฟ้าเปิดทางอีกครั้งมีผู้ใหญ่ใจดียื่นมือมาช่วยโดยให้เงินก้อนใหญ่ไปเคลียร์หนี้สินทั้งหมดมาไว้ที่เดียวโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันใดๆ อาศัยความเชื่อใจเท่านั้น นี่เป็นจุดเปลี่ยน
ครั้งสำคัญ เริ่มมีเงินเหลือเก็บทุกเดือนและผมถือสัจจะมาที่ 1 ผมส่งตรงทุกงวดและใช้คืนหมดก่อนกำหนดพร้อมดอกเบี้ยครบทุกบาททุกสตางค์ เงินที่เหลือเริ่มนำกลับมาพัฒนาร้าน
อาหารทะเลแห้งได้อีกครั้ง พร้อมปรับปรุงกลยุทธ์ต่างๆจนเริ่มยืนได้อย่างมั่นคงและเติบโตขึ้นทุกปี *** ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายแต่ยืดหยุ่นวิธีการ (จุดแข็งที่ 3)
  *** ลาออกครั้งสุดท้าย 25 สิงหา 2563 ท่ามกลางโควิดระบาดหนักพร้อมค่าชดเชย การลาออกครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนสิ้นเชิงมีแผนชัดเจน เตรียมทุกอย่างรองรับ
ถึงวันนี้ผมไม่ได้เป็นหนี้ใครแม้แต่บาทเดียว ซื้อทองทุกบาทที่แฟนขายไปวันที่เราลำบากคืนให้เขาและให้มากกว่าเดิม เรียนรู้สร้างรายได้จากหลายทาง ธุรกิจ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน ครบ
ทุกระยะ สั้น กลาง ยาว
     สุดท้ายผมอยากเป็นกำลังใจทุกท่านที่กำลังเดินทาง วิกฤติสำหรับบางคนมันเป็นพรจากสวรรค์ใช้เพื่อคัดเลือกคนที่คู่ควรกับรางวัล คำชม คำคม ความสุข เปลี่ยนเราไม่ได้จริง
การได้ผ่านความทุกข์แบบแสนสาหัสด้วยตัวเองต่างหากที่เปลี่ยนเราได้แบบถาวร แต่ก็ขออวยพรทุกท่านอย่าต้องทุกข์ขนาดผมก็ได้ครับ ยินดีที่ได้แบ่งปัน และขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านจนจบ
"วิกฤติที่เกินทน จะหลอมคนให้ทนทาน..."
"ฝันให้ไกล ไปให้ถึง แม้ไม่ถึงก็อยู่ได้อยู่ท่ามกลางดวงดาว"
ความคิดเห็นที่ 28
ขอบคุณที่มาแชร์แบ่งปัน
ชื่นชมที่คุณกล้าลงมือทำ และทำได้ดีรอบคอบมาก (แต่การเปลี่ยนนโยบายขององค์กร มันโหดเกินรับมือ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อย่าทำร้ายหัวใจตัวเอง ด้วยการนับสิ่งที่เสียไป ... จงฟูหัวใจตัวเอง ด้วยการนับสิ่งที่ยังมี !!
คุณยังมีแรง มีประสบการณ์  มีความกล้า มีความขยันมุ่งมั่น  มีบ้าน  และมีหัวใจที่เหนือกว่านักวิจารณ์หลายๆคน
ความคิดเห็นที่ 5
พลาดตรงปีแรกแค่นั้นเอง ถ้าปีแรก ไม่ฟุ่มเฟือย เก็บทุนไว้4แสน แม้ปีที่2รายได้จะลดลง แต่ทุน4แสนยังอยู่ และรถผ่อนหมดแล้ว ถึงจะได้เดือนละ 2-4หมื่น ก็ยังชิลที่ไม่เข้าเนื้อ  พลาดครั้งที่2คือขายรถไปเปิดอีกบริษัท ทั้งๆที่รู้ปัญหาของขนส่งแล้วว่า บริษัทแม่ดึงลูกค้าจากหน้าบ้าน เสียดายแทน
เป็นกำลังใจให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่