กัณฑ์ กาลิงครัฐ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ แคว้นกาลิงคะเกิดภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนักเพาะปลูกพืชผลได้ยาก
ราคาสินค้าจึงแพงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้คนยากคนจนอดอยากขาดแคลนอาหาร ส่วนผู้พอมีอันจะกินก็เดือดร้อน
กันมากขึ้นๆ จนเริ่มลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ราษฎรจำนวนมากมิอาจนิ่งนอนใจได้เลยพากันมายังท้องพระโรง ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชาวบ้านนั่ง
คุกเข่ายกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะทูลต่อพระราชาว่า “เรียนองค์ราชา พวกเราเคยได้ยินมาว่าที่แคว้นสีพีมีช้าง
เผือกคู่บุญพระเวสสันดรที่มีชื่อว่าปัจจัยนาค ซึ่งว่ากันว่าเป็นช้างวิเศษ ถ้าอยู่ในเมืองใดเมืองนั้นก็จะมีน้ำกิน
น้ำใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์”
“แล้วช้างวิเศษเช่นนั้นเขาจะยอมให้เมืองของเราหรือ” องค์เหนือหัวถามอย่างแคลงใจ
“กระผมได้ยินมาว่าพระเวสสันดรเป็นผู้ชอบบริจาคทานเป็นนิจ ผู้ใดขอสิ่งใดท่านก็จะมอบให้โดยไม่ขัด
แม้แต่น้อย”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็จะส่งคณะราชทูตไปยังสีวิรัฐเพื่อขอช้างปัจจัยนาคจากพระเวสสันดร ประชาชนของเรา
จะได้กลับมาอยู่ดีกินดีดังเดิม”
ครั้นคณะทูตไปถึงเมืองเชตุดรก็พบราชบุตรประทับบนหลังช้างพอดีหัวหน้าทูตเลยทูลว่า “บัดนี้ที่กาลิงครัฐ
เกิดภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพง ประชาชนอดอยากมากมาย พวกกระผมได้ยินมาว่าช้างของท่านเป็นช้างวิเศษ
สามารถบันดาลฝนให้ตกลงมาได้ เลยมาทูลขอช้างนี้ไปอยู่ที่เมืองของพวกเราเพื่อขจัดทุกข์เข็ญให้แก่ชาวบ้าน”
“ถ้าเช่นนั้นก็จงนำช้างนี้ไปไว้ที่นั่นแล้วเลี้ยงดูให้ดีเถิด”
“เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว” ทุกคนในกลุ่มต่างยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม
“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เราอยากจะไปดูความเป็นอยู่ของชาวกาลิงคะด้วย หากขัดสนมากหนักหนาเรา
จะได้ประทานของกินของใช้เพิ่มเติมด้วย เราขอตามพวกท่านไปด้วยได้หรือไม่”
“ได้เลยพระเจ้าค่ะ”
ถัดมาพระเวสสันดรค่อยกลับมายังพระราชวังเพื่อทูลต่อพระบิดาว่า “ท่านพ่อ ตอนลูกออกไปข้างนอก
ได้เจอกับราชทูตจากกาลิงครัฐ พวกเขาบอกว่าที่นั่นเกิดภัยแล้งอาหารขาดแคลนเลยอยากจะขอพาช้างปัจจัยนาค
ไปอยู่ที่นั่น เพราะเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล”
“ช้างลักษณะงามเช่นนี้หาได้ยากยิ่งถ้าให้ไปคงน่าเสียดาย พ่อไม่ได้หวงช้างหรอกนะแต่ไม่รู้ว่าช้างของเรา
จะทำให้ฝนตกจริงหรือเปล่า หรือนี่จะเป็นอุบายหลอกเอาช้างเผือกไปจากเมืองเรา”
“ถ้าท่านพ่อวิตกเช่นนั้นลูกก็จะตามคณะทูตนั้นไปดูให้เห็นกับตาของตัวเอง หากเดือดร้อนจริงค่อยประทาน
ช้างให้”
“เราเกรงว่าพอถึงกาลิงครัฐพวกนั้นจะปล้นช้างไปแล้วขับไสเธอกลับมาน่ะสิ แค่เอาอาหารแห้งให้พวกเขา
นำกลับไปก็น่าจะพอแล้วหนิ”
“คงมิเป็นเช่นนั้นหรอกท่านพ่อ ลูกเคยได้ยินว่าผู้คนที่นั่นเป็นมิตรอัธยาศัยดี ปกติที่นั่นมีการจัดประเพณี
สงกรานต์ทุกปี ผู้คนแห่แหนกันไปเล่นน้ำดูการประกวดนางสงกรานต์กันมากมาย หากฝนตกทันน้ำมากพอลูกจะได้
อยู่ที่นั่นต่อ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเป็นตัวแทนของพ่อนำข้าวสารอาหารแห้งไปแจกประชาชนที่นั่นเถิด เพื่อเป็นการผูกมิตร
เอาไว้ หากเราส่งสาวงามไปประกวดนางสงกรานต์พวกเขาจะได้อำนวยความสะดวกให้”
วันต่อมาราชบุตรจึงขี่ช้างปัจจัยนาคนำขบวนเกวียนซึ่งบรรจุอาหารแห้งตามคณะทูตไป เมื่อถึงหน้าประตูเมือง
พระนครของแคว้นกาลิงคะก็มีข้าหลวงมาต้อนรับ
“ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนพระองค์ขอต้อนรับราชบุตรแห่งสีวิรัฐเข้าสู่พระนครของเรา พระราชาทรงมีบัญชาว่าเมื่อท่านมาถึง
ให้เชิญไปประทับยังพระราชวัง ท่านได้จัดเตรียมที่พักสำหรับพระองค์และเหล่าบริวารไว้เรียบร้อยแล้ว” เขากล่าว
เสร็จค่อยหลีกทางให้
ทว่าพอพระเวสสันดรขี่ช้างไปถึงประตูใหญ่ทหารสองนายก็เข้ามายืนขวางไว้
“พระองค์ได้โปรดลงจากหลังช้างเถิด”
“ทำไมเล่า เราจะขี่เข้าเมืองมิได้หรือ” ชายหนุ่มถามอย่างฉงน
ผู้แทนพระองค์ชี้แจงว่า “แคว้นของเรามีธรรมเนียมว่าคนจากภายนอกต้องไม่ขี่ช้างเข้าเมืองเพื่อแสดงความเป็นมิตร
เพราะที่แคว้นของเราส่วนมากจะขี่ช้างเมื่อทำสงครามกับแคว้นอื่น ข้าพเจ้าจะให้ควานช้างพาไปดูแลที่คอกช้างเป็น
อย่างดี ท่านมิต้องกังวลเลย”
เขาได้ยินดังนั้นก็ยอมลงจากหลังช้างและให้ชายแปลกหน้าขึ้นขี่พาช้างของตนไปอีกทางแต่โดยดี
“เมื่อท่านเข้าประตูเมืองแล้วขอเชิญขึ้นราชรถที่เราจัดให้เถิด”
ถัดไปพระองค์ค่อยนั่งรถเทียมม้าเดินทางต่อไปยังพระราชวัง ภายในห้องเสวยได้มีการจัดเตรียมอาหารคาวหวาน
อย่างดีวางเรียงอยู่บนโต๊ะมากมาย กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันมาล้อมวงนั่งรับประทานอาหารอย่าง
เป็นปกติ ทำให้พระเวสสันดรอดนึกฉงนมิได้ว่า ‘เชื้อพระวงศ์ในวังที่นี่กินดีอยู่ดีกว่าเราเสียอีก ไหนว่าข้าวยากหมาก
แพงประชาชนอดอยาก’
พระราชาเห็นแขกไม่ทานอาหารต่อจึงได้ถามว่า “อาหารแคว้นเราไม่ถูกปากท่านรึ”
“มิใช่เช่นนั้นหรอก แต่กระผมเห็นว่าถ้าชาวบ้านเดือดร้อนอดอยาก พวกเราก็น่าจะทานกันให้น้อยลงแล้วเอาไป
แบ่งพวกชาวบ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“เธออย่าได้คิดมากไปเลย เราได้แบ่งส่วนที่จะแจกจ่ายให้ชาวบ้านไปแล้ว มันคนละส่วนกันน่ะ”
ราชบุตรได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้านิ่วด้วยความรู้สึกผิดหวัง
วันถัดมา พระองค์ได้ออกจากพระนครไปเยี่ยมเยียนราษฎรที่เขตชนบทของเมืองหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกของแคว้น
เมื่อทอดพระเนตรไปแล้วก็เห็นแต่ผืนดินแห้งแตกระแหงเนื่องจากดินขาดความชุ่มชื้น ทรงดำเนินต่อไปอีกไม่นาน
ก่อนจะพบคลองส่งน้ำที่แห้งผาก
ผู้ใหญ่บ้านผู้ดูแลที่นี่รายงานว่า “ปกติแล้วที่เมืองของเราจะมีน้ำไหลมาตามคลองส่งน้ำนี้ไปยังไร่นาต่างๆ
ไม่เคยขาด แต่ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นอะไรจึงได้ขาดน้ำเช่นนี้” เขากล่าวด้วยสีหน้าอันหดหู่
ต่อมาพระเวสสันดรจึงเสด็จกลับมายังพระนครเพื่อดูราคาสินค้าในตลาด แล้วพบว่าสินค้าจำพวกพืชผักผลไม้รวมถึง
เนื้อสัตว์มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะร้านค้าของพวกเศรษฐีจะมีราคาสูงเป็นเท่าตัว
ครั้นถึงเวลาพลบค่ำพระราชาก็เลี้ยงอาหารมือใหญ่ให้แก่พระเวสสันดรเช่นเคย ทว่าพอพระองค์เข้ามานั่งร่วมโต๊ะมองดู
อาหารเหล่านั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกหดหู่จนเสวยไม่ลง จากนั้นราชบุตรค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะลุก
เดินออกไป ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน
ราชบุตรเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนและอดอยากจริงอย่างที่คณะทูตเคยบอก เช้าวันต่อมาจึงสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลาย
นำขบวนเกวียนไปจัดตั้งโรงทานขึ้นที่เขตชนบทนั้น เพื่อทำอาหารจ่ายแจกคนยากจนผู้หิวโหย
วันถัด ๆ มาพระเวสสันดรก็เสด็จไปยังเมืองรอบนอกอื่นๆ อีกหลายที่และประทานอาหารเช่นกัน จนวันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง
เข้ามาถามว่า “พระเวสสันดรไหนว่าท่านพาช้างปัจจัยนาคมาด้วยมิใช่หรือ”
“เรานำช้างมาด้วยแต่ให้ควานช้างของพระนครรับตัวไปดูแลที่คอกช้างแล้ว เราจึงมิได้ขี่ช้างไปมาให้ผู้ใดเห็น”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเมืองของพวกเราจึงยังคงแห้งแล้ง ช้างของท่านเป็นช้างวิเศษอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงหรือ”
“เราก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก เราก็ได้ยินครั้งแรกจากทูตที่ส่งไปหาเราที่เมืองเชตุดรนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้ยิน
มาก่อนเลยว่าช้างของเราเป็นช้างวิเศษ”
พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็จากไปด้วยสีหน้าอันหดหู่และสิ้นหวัง
ชายหนุ่มเลยได้รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้การขาดแคลนน้ำยังมิได้บรรเทาลงเลยแม้แต่น้อย การแจกอาหารให้เป็น
เพียงการชะลอเวลาอดตายเท่านั้น เขาเลยครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน และอดสงสัยมิได้กับ
การกินอยู่สุขสบายเกินควรอันดูไม่ชอบมาพากลของเหล่าชนชั้นสูง
เช้าวันต่อมาราชบุตรจึงเขียนราชสาสน์มอบให้กับทหารองครักษ์นายหนึ่งพร้อมด้วยแผนที่ “เรามีสาสน์สำคัญเร่งด่วน
ที่จะให้กับคนผู้หนึ่ง เจ้าจงนำไปให้เขาตามที่อยู่ในแผนที่นี้และห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด” แล้วยื่นม้วนกระดาษให้
“พระเจ้าค่ะ” เขาค้อมศีรษะก่อนจะรับมันมาจากนั้นค่อยไปยังคอกม้าเพื่อขี่ออกนอกเมืองไป
ระหว่างที่รอบุคคลผู้นั้นมาพระเวสสันดรก็เสด็จออกจากพระราชวังไปยังตลาด แล้วนั่งกับพื้นตะโกนเสียงดัง
ท่ามกลางหมู่ชนมากมายว่า “เราพระเวสสันดรราชบุตรแห่งสีพีนครจะทานอาหารเพียงหนึ่งมื้อต่อวันเพื่อประท้วง
จนกว่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และเศรษฐีทั้งหลาย จะยอมแบ่งอาหารของตนที่กินเหลือทิ้งขว้างมาช่วยเหลือ
ชาวบ้าน ประชาชนชาวกาลิงคะอดมื้อกินมื้อ บางคนก็นอนรอความตายอยู่ข้างถนน ผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
ได้โปรดแบ่งอาหารของพวกท่านมาให้ชาวบ้านผู้หิวโหยไม่มีจะกินด้วยเถิด”
ยิ่งนานวันเข้าชาวบ้านก็ยิ่งทยอยกันมาเข้าร่วมนั่งประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการใดๆ
เช้าวันหนึ่งเจ้าเมืองจึงบอกให้ข้าหลวงเดินทางไปหากลุ่มผู้ประท้วง เพื่อประกาศราชโองการต่อหน้าพวกเขา
“บัดนี้พระราชาทรงมีรับสั่งให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ในวัง ขุนนาง และเศรษฐีทั้งหลาย ลดการทานและทิ้งอาหาร
ที่เหลือกินลงเพื่อนำมาแบ่งให้แก่ชาวบ้านผู้อดอยาก โดยผู้ที่อาศัยอยู่ในวังรวมถึงเชื้อพระวงศ์จะทานอาหาร
ให้น้อยลงเพียงพอให้อิ่มท้อง สองมื้อต่อวันคือมื้อเช้าและกลางวันเท่านั้น และขอให้พระเวสสันดรกลับมา
ประทับที่พระราชวังดังเดิม
ประชาชนทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินต่างก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจเป็นอันมาก
ตามติดชีวิตพระเวสสันดร (มหาเวสสันดรฉบับแฟนฟิค) กัณฑ์ กาลิงครัฐ
กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ แคว้นกาลิงคะเกิดภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนักเพาะปลูกพืชผลได้ยาก
ราคาสินค้าจึงแพงขึ้นๆ เรื่อยๆ ทำให้คนยากคนจนอดอยากขาดแคลนอาหาร ส่วนผู้พอมีอันจะกินก็เดือดร้อน
กันมากขึ้นๆ จนเริ่มลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
ราษฎรจำนวนมากมิอาจนิ่งนอนใจได้เลยพากันมายังท้องพระโรง ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชาวบ้านนั่ง
คุกเข่ายกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะทูลต่อพระราชาว่า “เรียนองค์ราชา พวกเราเคยได้ยินมาว่าที่แคว้นสีพีมีช้าง
เผือกคู่บุญพระเวสสันดรที่มีชื่อว่าปัจจัยนาค ซึ่งว่ากันว่าเป็นช้างวิเศษ ถ้าอยู่ในเมืองใดเมืองนั้นก็จะมีน้ำกิน
น้ำใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์”
“แล้วช้างวิเศษเช่นนั้นเขาจะยอมให้เมืองของเราหรือ” องค์เหนือหัวถามอย่างแคลงใจ
“กระผมได้ยินมาว่าพระเวสสันดรเป็นผู้ชอบบริจาคทานเป็นนิจ ผู้ใดขอสิ่งใดท่านก็จะมอบให้โดยไม่ขัด
แม้แต่น้อย”
“ถ้าเช่นนั้นเราก็จะส่งคณะราชทูตไปยังสีวิรัฐเพื่อขอช้างปัจจัยนาคจากพระเวสสันดร ประชาชนของเรา
จะได้กลับมาอยู่ดีกินดีดังเดิม”
ครั้นคณะทูตไปถึงเมืองเชตุดรก็พบราชบุตรประทับบนหลังช้างพอดีหัวหน้าทูตเลยทูลว่า “บัดนี้ที่กาลิงครัฐ
เกิดภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพง ประชาชนอดอยากมากมาย พวกกระผมได้ยินมาว่าช้างของท่านเป็นช้างวิเศษ
สามารถบันดาลฝนให้ตกลงมาได้ เลยมาทูลขอช้างนี้ไปอยู่ที่เมืองของพวกเราเพื่อขจัดทุกข์เข็ญให้แก่ชาวบ้าน”
“ถ้าเช่นนั้นก็จงนำช้างนี้ไปไว้ที่นั่นแล้วเลี้ยงดูให้ดีเถิด”
“เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว” ทุกคนในกลุ่มต่างยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม
“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง เราอยากจะไปดูความเป็นอยู่ของชาวกาลิงคะด้วย หากขัดสนมากหนักหนาเรา
จะได้ประทานของกินของใช้เพิ่มเติมด้วย เราขอตามพวกท่านไปด้วยได้หรือไม่”
“ได้เลยพระเจ้าค่ะ”
ถัดมาพระเวสสันดรค่อยกลับมายังพระราชวังเพื่อทูลต่อพระบิดาว่า “ท่านพ่อ ตอนลูกออกไปข้างนอก
ได้เจอกับราชทูตจากกาลิงครัฐ พวกเขาบอกว่าที่นั่นเกิดภัยแล้งอาหารขาดแคลนเลยอยากจะขอพาช้างปัจจัยนาค
ไปอยู่ที่นั่น เพราะเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล”
“ช้างลักษณะงามเช่นนี้หาได้ยากยิ่งถ้าให้ไปคงน่าเสียดาย พ่อไม่ได้หวงช้างหรอกนะแต่ไม่รู้ว่าช้างของเรา
จะทำให้ฝนตกจริงหรือเปล่า หรือนี่จะเป็นอุบายหลอกเอาช้างเผือกไปจากเมืองเรา”
“ถ้าท่านพ่อวิตกเช่นนั้นลูกก็จะตามคณะทูตนั้นไปดูให้เห็นกับตาของตัวเอง หากเดือดร้อนจริงค่อยประทาน
ช้างให้”
“เราเกรงว่าพอถึงกาลิงครัฐพวกนั้นจะปล้นช้างไปแล้วขับไสเธอกลับมาน่ะสิ แค่เอาอาหารแห้งให้พวกเขา
นำกลับไปก็น่าจะพอแล้วหนิ”
“คงมิเป็นเช่นนั้นหรอกท่านพ่อ ลูกเคยได้ยินว่าผู้คนที่นั่นเป็นมิตรอัธยาศัยดี ปกติที่นั่นมีการจัดประเพณี
สงกรานต์ทุกปี ผู้คนแห่แหนกันไปเล่นน้ำดูการประกวดนางสงกรานต์กันมากมาย หากฝนตกทันน้ำมากพอลูกจะได้
อยู่ที่นั่นต่อ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเป็นตัวแทนของพ่อนำข้าวสารอาหารแห้งไปแจกประชาชนที่นั่นเถิด เพื่อเป็นการผูกมิตร
เอาไว้ หากเราส่งสาวงามไปประกวดนางสงกรานต์พวกเขาจะได้อำนวยความสะดวกให้”
วันต่อมาราชบุตรจึงขี่ช้างปัจจัยนาคนำขบวนเกวียนซึ่งบรรจุอาหารแห้งตามคณะทูตไป เมื่อถึงหน้าประตูเมือง
พระนครของแคว้นกาลิงคะก็มีข้าหลวงมาต้อนรับ
“ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนพระองค์ขอต้อนรับราชบุตรแห่งสีวิรัฐเข้าสู่พระนครของเรา พระราชาทรงมีบัญชาว่าเมื่อท่านมาถึง
ให้เชิญไปประทับยังพระราชวัง ท่านได้จัดเตรียมที่พักสำหรับพระองค์และเหล่าบริวารไว้เรียบร้อยแล้ว” เขากล่าว
เสร็จค่อยหลีกทางให้
ทว่าพอพระเวสสันดรขี่ช้างไปถึงประตูใหญ่ทหารสองนายก็เข้ามายืนขวางไว้
“พระองค์ได้โปรดลงจากหลังช้างเถิด”
“ทำไมเล่า เราจะขี่เข้าเมืองมิได้หรือ” ชายหนุ่มถามอย่างฉงน
ผู้แทนพระองค์ชี้แจงว่า “แคว้นของเรามีธรรมเนียมว่าคนจากภายนอกต้องไม่ขี่ช้างเข้าเมืองเพื่อแสดงความเป็นมิตร
เพราะที่แคว้นของเราส่วนมากจะขี่ช้างเมื่อทำสงครามกับแคว้นอื่น ข้าพเจ้าจะให้ควานช้างพาไปดูแลที่คอกช้างเป็น
อย่างดี ท่านมิต้องกังวลเลย”
เขาได้ยินดังนั้นก็ยอมลงจากหลังช้างและให้ชายแปลกหน้าขึ้นขี่พาช้างของตนไปอีกทางแต่โดยดี
“เมื่อท่านเข้าประตูเมืองแล้วขอเชิญขึ้นราชรถที่เราจัดให้เถิด”
ถัดไปพระองค์ค่อยนั่งรถเทียมม้าเดินทางต่อไปยังพระราชวัง ภายในห้องเสวยได้มีการจัดเตรียมอาหารคาวหวาน
อย่างดีวางเรียงอยู่บนโต๊ะมากมาย กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันมาล้อมวงนั่งรับประทานอาหารอย่าง
เป็นปกติ ทำให้พระเวสสันดรอดนึกฉงนมิได้ว่า ‘เชื้อพระวงศ์ในวังที่นี่กินดีอยู่ดีกว่าเราเสียอีก ไหนว่าข้าวยากหมาก
แพงประชาชนอดอยาก’
พระราชาเห็นแขกไม่ทานอาหารต่อจึงได้ถามว่า “อาหารแคว้นเราไม่ถูกปากท่านรึ”
“มิใช่เช่นนั้นหรอก แต่กระผมเห็นว่าถ้าชาวบ้านเดือดร้อนอดอยาก พวกเราก็น่าจะทานกันให้น้อยลงแล้วเอาไป
แบ่งพวกชาวบ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“เธออย่าได้คิดมากไปเลย เราได้แบ่งส่วนที่จะแจกจ่ายให้ชาวบ้านไปแล้ว มันคนละส่วนกันน่ะ”
ราชบุตรได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้านิ่วด้วยความรู้สึกผิดหวัง
วันถัดมา พระองค์ได้ออกจากพระนครไปเยี่ยมเยียนราษฎรที่เขตชนบทของเมืองหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกของแคว้น
เมื่อทอดพระเนตรไปแล้วก็เห็นแต่ผืนดินแห้งแตกระแหงเนื่องจากดินขาดความชุ่มชื้น ทรงดำเนินต่อไปอีกไม่นาน
ก่อนจะพบคลองส่งน้ำที่แห้งผาก
ผู้ใหญ่บ้านผู้ดูแลที่นี่รายงานว่า “ปกติแล้วที่เมืองของเราจะมีน้ำไหลมาตามคลองส่งน้ำนี้ไปยังไร่นาต่างๆ
ไม่เคยขาด แต่ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นอะไรจึงได้ขาดน้ำเช่นนี้” เขากล่าวด้วยสีหน้าอันหดหู่
ต่อมาพระเวสสันดรจึงเสด็จกลับมายังพระนครเพื่อดูราคาสินค้าในตลาด แล้วพบว่าสินค้าจำพวกพืชผักผลไม้รวมถึง
เนื้อสัตว์มีราคาสูงมาก โดยเฉพาะร้านค้าของพวกเศรษฐีจะมีราคาสูงเป็นเท่าตัว
ครั้นถึงเวลาพลบค่ำพระราชาก็เลี้ยงอาหารมือใหญ่ให้แก่พระเวสสันดรเช่นเคย ทว่าพอพระองค์เข้ามานั่งร่วมโต๊ะมองดู
อาหารเหล่านั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกหดหู่จนเสวยไม่ลง จากนั้นราชบุตรค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะลุก
เดินออกไป ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน
ราชบุตรเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนและอดอยากจริงอย่างที่คณะทูตเคยบอก เช้าวันต่อมาจึงสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลาย
นำขบวนเกวียนไปจัดตั้งโรงทานขึ้นที่เขตชนบทนั้น เพื่อทำอาหารจ่ายแจกคนยากจนผู้หิวโหย
วันถัด ๆ มาพระเวสสันดรก็เสด็จไปยังเมืองรอบนอกอื่นๆ อีกหลายที่และประทานอาหารเช่นกัน จนวันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง
เข้ามาถามว่า “พระเวสสันดรไหนว่าท่านพาช้างปัจจัยนาคมาด้วยมิใช่หรือ”
“เรานำช้างมาด้วยแต่ให้ควานช้างของพระนครรับตัวไปดูแลที่คอกช้างแล้ว เราจึงมิได้ขี่ช้างไปมาให้ผู้ใดเห็น”
“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเมืองของพวกเราจึงยังคงแห้งแล้ง ช้างของท่านเป็นช้างวิเศษอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงหรือ”
“เราก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก เราก็ได้ยินครั้งแรกจากทูตที่ส่งไปหาเราที่เมืองเชตุดรนั่นแหละ ก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้ยิน
มาก่อนเลยว่าช้างของเราเป็นช้างวิเศษ”
พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็จากไปด้วยสีหน้าอันหดหู่และสิ้นหวัง
ชายหนุ่มเลยได้รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้การขาดแคลนน้ำยังมิได้บรรเทาลงเลยแม้แต่น้อย การแจกอาหารให้เป็น
เพียงการชะลอเวลาอดตายเท่านั้น เขาเลยครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน และอดสงสัยมิได้กับ
การกินอยู่สุขสบายเกินควรอันดูไม่ชอบมาพากลของเหล่าชนชั้นสูง
เช้าวันต่อมาราชบุตรจึงเขียนราชสาสน์มอบให้กับทหารองครักษ์นายหนึ่งพร้อมด้วยแผนที่ “เรามีสาสน์สำคัญเร่งด่วน
ที่จะให้กับคนผู้หนึ่ง เจ้าจงนำไปให้เขาตามที่อยู่ในแผนที่นี้และห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด” แล้วยื่นม้วนกระดาษให้
“พระเจ้าค่ะ” เขาค้อมศีรษะก่อนจะรับมันมาจากนั้นค่อยไปยังคอกม้าเพื่อขี่ออกนอกเมืองไป
ระหว่างที่รอบุคคลผู้นั้นมาพระเวสสันดรก็เสด็จออกจากพระราชวังไปยังตลาด แล้วนั่งกับพื้นตะโกนเสียงดัง
ท่ามกลางหมู่ชนมากมายว่า “เราพระเวสสันดรราชบุตรแห่งสีพีนครจะทานอาหารเพียงหนึ่งมื้อต่อวันเพื่อประท้วง
จนกว่าเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง และเศรษฐีทั้งหลาย จะยอมแบ่งอาหารของตนที่กินเหลือทิ้งขว้างมาช่วยเหลือ
ชาวบ้าน ประชาชนชาวกาลิงคะอดมื้อกินมื้อ บางคนก็นอนรอความตายอยู่ข้างถนน ผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
ได้โปรดแบ่งอาหารของพวกท่านมาให้ชาวบ้านผู้หิวโหยไม่มีจะกินด้วยเถิด”
ยิ่งนานวันเข้าชาวบ้านก็ยิ่งทยอยกันมาเข้าร่วมนั่งประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการใดๆ
เช้าวันหนึ่งเจ้าเมืองจึงบอกให้ข้าหลวงเดินทางไปหากลุ่มผู้ประท้วง เพื่อประกาศราชโองการต่อหน้าพวกเขา
“บัดนี้พระราชาทรงมีรับสั่งให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ในวัง ขุนนาง และเศรษฐีทั้งหลาย ลดการทานและทิ้งอาหาร
ที่เหลือกินลงเพื่อนำมาแบ่งให้แก่ชาวบ้านผู้อดอยาก โดยผู้ที่อาศัยอยู่ในวังรวมถึงเชื้อพระวงศ์จะทานอาหาร
ให้น้อยลงเพียงพอให้อิ่มท้อง สองมื้อต่อวันคือมื้อเช้าและกลางวันเท่านั้น และขอให้พระเวสสันดรกลับมา
ประทับที่พระราชวังดังเดิม
ประชาชนทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินต่างก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจเป็นอันมาก