ตามติดชีวิตพระเวสสันดร (มหาเวสสันดรฉบับแฟนฟิค) กัณฑ์ กาลิงครัฐ

กระทู้สนทนา
กัณฑ์ กาลิงครัฐ
            กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้  แคว้นกาลิงคะเกิดภัยแล้งขาดแคลนน้ำอย่างหนักเพาะปลูกพืชผลได้ยาก  
ราคาสินค้าจึงแพงขึ้นๆ เรื่อยๆ  ทำให้คนยากคนจนอดอยากขาดแคลนอาหาร  ส่วนผู้พอมีอันจะกินก็เดือดร้อน
กันมากขึ้นๆ จนเริ่มลุกลามไปทั่วทุกหย่อมหญ้า  
          ราษฎรจำนวนมากมิอาจนิ่งนอนใจได้เลยพากันมายังท้องพระโรง  ชายผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มชาวบ้านนั่ง
คุกเข่ายกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะทูลต่อพระราชาว่า  “เรียนองค์ราชา  พวกเราเคยได้ยินมาว่าที่แคว้นสีพีมีช้าง
เผือกคู่บุญพระเวสสันดรที่มีชื่อว่าปัจจัยนาค  ซึ่งว่ากันว่าเป็นช้างวิเศษ  ถ้าอยู่ในเมืองใดเมืองนั้นก็จะมีน้ำกิน
น้ำใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์”
            “แล้วช้างวิเศษเช่นนั้นเขาจะยอมให้เมืองของเราหรือ”  องค์เหนือหัวถามอย่างแคลงใจ
            “กระผมได้ยินมาว่าพระเวสสันดรเป็นผู้ชอบบริจาคทานเป็นนิจ  ผู้ใดขอสิ่งใดท่านก็จะมอบให้โดยไม่ขัด
แม้แต่น้อย”
            “ถ้าเช่นนั้นเราก็จะส่งคณะราชทูตไปยังสีวิรัฐเพื่อขอช้างปัจจัยนาคจากพระเวสสันดร  ประชาชนของเรา
จะได้กลับมาอยู่ดีกินดีดังเดิม”
 
            ครั้นคณะทูตไปถึงเมืองเชตุดรก็พบราชบุตรประทับบนหลังช้างพอดีหัวหน้าทูตเลยทูลว่า  “บัดนี้ที่กาลิงครัฐ
เกิดภัยแล้ง  ข้าวยากหมากแพง  ประชาชนอดอยากมากมาย  พวกกระผมได้ยินมาว่าช้างของท่านเป็นช้างวิเศษ
สามารถบันดาลฝนให้ตกลงมาได้  เลยมาทูลขอช้างนี้ไปอยู่ที่เมืองของพวกเราเพื่อขจัดทุกข์เข็ญให้แก่ชาวบ้าน”
            “ถ้าเช่นนั้นก็จงนำช้างนี้ไปไว้ที่นั่นแล้วเลี้ยงดูให้ดีเถิด”
            “เป็นพระกรุณายิ่งแล้ว”  ทุกคนในกลุ่มต่างยกมือไหว้ด้วยความอ่อนน้อม
            “อ้อ  อีกอย่างหนึ่ง  เราอยากจะไปดูความเป็นอยู่ของชาวกาลิงคะด้วย  หากขัดสนมากหนักหนาเรา
จะได้ประทานของกินของใช้เพิ่มเติมด้วย  เราขอตามพวกท่านไปด้วยได้หรือไม่”
            “ได้เลยพระเจ้าค่ะ”
            ถัดมาพระเวสสันดรค่อยกลับมายังพระราชวังเพื่อทูลต่อพระบิดาว่า  “ท่านพ่อ  ตอนลูกออกไปข้างนอก
ได้เจอกับราชทูตจากกาลิงครัฐ  พวกเขาบอกว่าที่นั่นเกิดภัยแล้งอาหารขาดแคลนเลยอยากจะขอพาช้างปัจจัยนาค
ไปอยู่ที่นั่น  เพราะเชื่อว่าจะทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล”
            “ช้างลักษณะงามเช่นนี้หาได้ยากยิ่งถ้าให้ไปคงน่าเสียดาย  พ่อไม่ได้หวงช้างหรอกนะแต่ไม่รู้ว่าช้างของเรา
จะทำให้ฝนตกจริงหรือเปล่า  หรือนี่จะเป็นอุบายหลอกเอาช้างเผือกไปจากเมืองเรา”
            “ถ้าท่านพ่อวิตกเช่นนั้นลูกก็จะตามคณะทูตนั้นไปดูให้เห็นกับตาของตัวเอง  หากเดือดร้อนจริงค่อยประทาน
ช้างให้”
            “เราเกรงว่าพอถึงกาลิงครัฐพวกนั้นจะปล้นช้างไปแล้วขับไสเธอกลับมาน่ะสิ  แค่เอาอาหารแห้งให้พวกเขา
นำกลับไปก็น่าจะพอแล้วหนิ”
            “คงมิเป็นเช่นนั้นหรอกท่านพ่อ  ลูกเคยได้ยินว่าผู้คนที่นั่นเป็นมิตรอัธยาศัยดี  ปกติที่นั่นมีการจัดประเพณี
สงกรานต์ทุกปี  ผู้คนแห่แหนกันไปเล่นน้ำดูการประกวดนางสงกรานต์กันมากมาย  หากฝนตกทันน้ำมากพอลูกจะได้
อยู่ที่นั่นต่อ”
            “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเป็นตัวแทนของพ่อนำข้าวสารอาหารแห้งไปแจกประชาชนที่นั่นเถิด  เพื่อเป็นการผูกมิตร
เอาไว้  หากเราส่งสาวงามไปประกวดนางสงกรานต์พวกเขาจะได้อำนวยความสะดวกให้”
 
            วันต่อมาราชบุตรจึงขี่ช้างปัจจัยนาคนำขบวนเกวียนซึ่งบรรจุอาหารแห้งตามคณะทูตไป  เมื่อถึงหน้าประตูเมือง
พระนครของแคว้นกาลิงคะก็มีข้าหลวงมาต้อนรับ
             “ข้าพเจ้าเป็นผู้แทนพระองค์ขอต้อนรับราชบุตรแห่งสีวิรัฐเข้าสู่พระนครของเรา  พระราชาทรงมีบัญชาว่าเมื่อท่านมาถึง
ให้เชิญไปประทับยังพระราชวัง  ท่านได้จัดเตรียมที่พักสำหรับพระองค์และเหล่าบริวารไว้เรียบร้อยแล้ว”  เขากล่าว
เสร็จค่อยหลีกทางให้
              ทว่าพอพระเวสสันดรขี่ช้างไปถึงประตูใหญ่ทหารสองนายก็เข้ามายืนขวางไว้
              “พระองค์ได้โปรดลงจากหลังช้างเถิด”
               “ทำไมเล่า  เราจะขี่เข้าเมืองมิได้หรือ”  ชายหนุ่มถามอย่างฉงน
               ผู้แทนพระองค์ชี้แจงว่า  “แคว้นของเรามีธรรมเนียมว่าคนจากภายนอกต้องไม่ขี่ช้างเข้าเมืองเพื่อแสดงความเป็นมิตร  
เพราะที่แคว้นของเราส่วนมากจะขี่ช้างเมื่อทำสงครามกับแคว้นอื่น  ข้าพเจ้าจะให้ควานช้างพาไปดูแลที่คอกช้างเป็น
อย่างดี  ท่านมิต้องกังวลเลย”
เขาได้ยินดังนั้นก็ยอมลงจากหลังช้างและให้ชายแปลกหน้าขึ้นขี่พาช้างของตนไปอีกทางแต่โดยดี
               “เมื่อท่านเข้าประตูเมืองแล้วขอเชิญขึ้นราชรถที่เราจัดให้เถิด”
               ถัดไปพระองค์ค่อยนั่งรถเทียมม้าเดินทางต่อไปยังพระราชวัง  ภายในห้องเสวยได้มีการจัดเตรียมอาหารคาวหวาน
อย่างดีวางเรียงอยู่บนโต๊ะมากมาย  กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันมาล้อมวงนั่งรับประทานอาหารอย่าง
เป็นปกติ  ทำให้พระเวสสันดรอดนึกฉงนมิได้ว่า ‘เชื้อพระวงศ์ในวังที่นี่กินดีอยู่ดีกว่าเราเสียอีก  ไหนว่าข้าวยากหมาก
แพงประชาชนอดอยาก’
            พระราชาเห็นแขกไม่ทานอาหารต่อจึงได้ถามว่า  “อาหารแคว้นเราไม่ถูกปากท่านรึ”
“มิใช่เช่นนั้นหรอก  แต่กระผมเห็นว่าถ้าชาวบ้านเดือดร้อนอดอยาก  พวกเราก็น่าจะทานกันให้น้อยลงแล้วเอาไป
แบ่งพวกชาวบ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“เธออย่าได้คิดมากไปเลย  เราได้แบ่งส่วนที่จะแจกจ่ายให้ชาวบ้านไปแล้ว  มันคนละส่วนกันน่ะ”
ราชบุตรได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้านิ่วด้วยความรู้สึกผิดหวัง
 
          วันถัดมา  พระองค์ได้ออกจากพระนครไปเยี่ยมเยียนราษฎรที่เขตชนบทของเมืองหนึ่งซึ่งอยู่รอบนอกของแคว้น  
เมื่อทอดพระเนตรไปแล้วก็เห็นแต่ผืนดินแห้งแตกระแหงเนื่องจากดินขาดความชุ่มชื้น  ทรงดำเนินต่อไปอีกไม่นาน
ก่อนจะพบคลองส่งน้ำที่แห้งผาก
            ผู้ใหญ่บ้านผู้ดูแลที่นี่รายงานว่า  “ปกติแล้วที่เมืองของเราจะมีน้ำไหลมาตามคลองส่งน้ำนี้ไปยังไร่นาต่างๆ 
ไม่เคยขาด  แต่ไม่รู้ว่าปีนี้เป็นอะไรจึงได้ขาดน้ำเช่นนี้”  เขากล่าวด้วยสีหน้าอันหดหู่ 
ต่อมาพระเวสสันดรจึงเสด็จกลับมายังพระนครเพื่อดูราคาสินค้าในตลาด  แล้วพบว่าสินค้าจำพวกพืชผักผลไม้รวมถึง
เนื้อสัตว์มีราคาสูงมาก  โดยเฉพาะร้านค้าของพวกเศรษฐีจะมีราคาสูงเป็นเท่าตัว
ครั้นถึงเวลาพลบค่ำพระราชาก็เลี้ยงอาหารมือใหญ่ให้แก่พระเวสสันดรเช่นเคย  ทว่าพอพระองค์เข้ามานั่งร่วมโต๊ะมองดู
อาหารเหล่านั้นแล้วก็ทำให้รู้สึกหดหู่จนเสวยไม่ลง  จากนั้นราชบุตรค่อยถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจก่อนจะลุก
เดินออกไป  ทำให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน 
 
         ราชบุตรเห็นว่าชาวบ้านเดือดร้อนและอดอยากจริงอย่างที่คณะทูตเคยบอก  เช้าวันต่อมาจึงสั่งให้คนรับใช้ทั้งหลาย
นำขบวนเกวียนไปจัดตั้งโรงทานขึ้นที่เขตชนบทนั้น  เพื่อทำอาหารจ่ายแจกคนยากจนผู้หิวโหย  
วันถัด ๆ มาพระเวสสันดรก็เสด็จไปยังเมืองรอบนอกอื่นๆ อีกหลายที่และประทานอาหารเช่นกัน  จนวันหนึ่งมีชายคนหนึ่ง
เข้ามาถามว่า  “พระเวสสันดรไหนว่าท่านพาช้างปัจจัยนาคมาด้วยมิใช่หรือ”
          “เรานำช้างมาด้วยแต่ให้ควานช้างของพระนครรับตัวไปดูแลที่คอกช้างแล้ว  เราจึงมิได้ขี่ช้างไปมาให้ผู้ใดเห็น”  
          “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเมืองของพวกเราจึงยังคงแห้งแล้ง  ช้างของท่านเป็นช้างวิเศษอย่างที่เขาล่ำลือกันจริงหรือ”
         “เราก็ไม่รู้แน่ชัดหรอก  เราก็ได้ยินครั้งแรกจากทูตที่ส่งไปหาเราที่เมืองเชตุดรนั่นแหละ  ก่อนหน้านี้เราไม่เคยได้ยิน
มาก่อนเลยว่าช้างของเราเป็นช้างวิเศษ”
          พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็จากไปด้วยสีหน้าอันหดหู่และสิ้นหวัง
          ชายหนุ่มเลยได้รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี้การขาดแคลนน้ำยังมิได้บรรเทาลงเลยแม้แต่น้อย  การแจกอาหารให้เป็น
เพียงการชะลอเวลาอดตายเท่านั้น  เขาเลยครุ่นคิดอย่างหนักเพื่อหาวิธีช่วยเหลือชาวบ้าน  และอดสงสัยมิได้กับ
การกินอยู่สุขสบายเกินควรอันดูไม่ชอบมาพากลของเหล่าชนชั้นสูง  
 
          เช้าวันต่อมาราชบุตรจึงเขียนราชสาสน์มอบให้กับทหารองครักษ์นายหนึ่งพร้อมด้วยแผนที่  “เรามีสาสน์สำคัญเร่งด่วน
ที่จะให้กับคนผู้หนึ่ง  เจ้าจงนำไปให้เขาตามที่อยู่ในแผนที่นี้และห้ามบอกคนอื่นเด็ดขาด”  แล้วยื่นม้วนกระดาษให้
“พระเจ้าค่ะ”  เขาค้อมศีรษะก่อนจะรับมันมาจากนั้นค่อยไปยังคอกม้าเพื่อขี่ออกนอกเมืองไป
 ระหว่างที่รอบุคคลผู้นั้นมาพระเวสสันดรก็เสด็จออกจากพระราชวังไปยังตลาด  แล้วนั่งกับพื้นตะโกนเสียงดัง
ท่ามกลางหมู่ชนมากมายว่า  “เราพระเวสสันดรราชบุตรแห่งสีพีนครจะทานอาหารเพียงหนึ่งมื้อต่อวันเพื่อประท้วง  
จนกว่าเชื้อพระวงศ์  ขุนนาง  และเศรษฐีทั้งหลาย  จะยอมแบ่งอาหารของตนที่กินเหลือทิ้งขว้างมาช่วยเหลือ
ชาวบ้าน  ประชาชนชาวกาลิงคะอดมื้อกินมื้อ  บางคนก็นอนรอความตายอยู่ข้างถนน  ผู้มีอันจะกินทั้งหลาย
ได้โปรดแบ่งอาหารของพวกท่านมาให้ชาวบ้านผู้หิวโหยไม่มีจะกินด้วยเถิด”
 
          ยิ่งนานวันเข้าชาวบ้านก็ยิ่งทยอยกันมาเข้าร่วมนั่งประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ  จนแทบไม่เป็นอันทำงานทำการใดๆ  
เช้าวันหนึ่งเจ้าเมืองจึงบอกให้ข้าหลวงเดินทางไปหากลุ่มผู้ประท้วง  เพื่อประกาศราชโองการต่อหน้าพวกเขา
“บัดนี้พระราชาทรงมีรับสั่งให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ในวัง  ขุนนาง  และเศรษฐีทั้งหลาย  ลดการทานและทิ้งอาหาร
ที่เหลือกินลงเพื่อนำมาแบ่งให้แก่ชาวบ้านผู้อดอยาก  โดยผู้ที่อาศัยอยู่ในวังรวมถึงเชื้อพระวงศ์จะทานอาหาร
ให้น้อยลงเพียงพอให้อิ่มท้อง  สองมื้อต่อวันคือมื้อเช้าและกลางวันเท่านั้น  และขอให้พระเวสสันดรกลับมา
ประทับที่พระราชวังดังเดิม
          ประชาชนทั้งหลายที่อยู่บริเวณนั้นได้ยินต่างก็โห่ร้องออกมาด้วยความดีใจเป็นอันมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่