เรื่อง ขุนศึกสะท้านปฐพี ตอน ยอดขุนศึก ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก

เรื่อง ขุนศึกสะท้านปฐพี
ตอน ยอดขุนศึก
ขุมทรัพย์จากพระไตรปิฎก
    
ในอดีตกาล พระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติอยู่ในพระนครทันตปุระ แคว้นกาลิงครัฐ. พระราชาพระนามว่า อัสสกะครองราชสมบัติในนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ.
พระเจ้ากาลิงคะทรงสมบูรณ์ด้วยรี้พลและพาหนะ แม้พระองค์เองก็มีกำลังดังช้างสารไม่เห็นผู้จะต่อกรได้ พระองค์เป็นผู้ประสงค์จะทรงกระทำการรบ จึงตรัสบอกแก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า เรามีความต้องการจะทำการรบ แต่ไม่เห็นผู้จะต่อกรได้ เราจะกระทำอย่างไรดี.
อำมาตย์ทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช มีอุบายอย่างหนึ่ง พระราชธิดาทั้ง ๔ ของพระองค์ทรงพระรูปโฉมอันงดงาม พระองค์โปรดให้ประดับตบแต่งพระราชธิดาเหล่านั้น แล้วให้นั่งในราชยานอันมิดชิด แวดล้อมด้วยรี้พล ให้เที่ยวไปยังคามนิคม และราชธานีทั้งหลาย โดยป่าวร้องว่าพระราชาพระองค์ใดมีพระประสงค์จะรับไว้ พวกเราจะขอรบกับพระราชาพระองค์นั้น.
พระราชาจึงทรงให้กระทำอย่างนั้น. ในสถานที่พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จไปถึง  พระราชาทั้งหลายไม่ยอมให้พระราชธิดาเหล่านั้นเข้าพระนคร เพราะความกลัวภัย พากันส่งเครื่องบรรณาการออกไป แล้วให้ประดับอยู่เฉพาะภายนอกพระนคร.
พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเที่ยวไปอย่างนี้ ตลอดทั่วชมพูทวีป  จนบรรลุถึงพระนครโปตละ แคว้นอัสสกรัฐ.
ฝ่ายพระเจ้าอัสสกะก็ทรงให้ปิดประตูพระนคร แล้วทรงส่งเครื่องบรรณาการออกไปถวาย.
อำมาตย์ของพระเจ้าอัสสกะนั้น ชื่อว่านันทเสนเป็นบัณฑิตเฉลียวฉลาดในอุบาย. เขาคิดว่า ข่าวว่าพระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชเหล่านี้ เสด็จเที่ยวไปทั่วชมพูทวีปก็ไม่ได้ผู้จะต่อกร เมื่อเป็นอย่างนี้ ชมพูทวีปก็ชื่อว่าว่างจากนักรบ เราจักรบกับพระเจ้ากาลิงคราชเอง.
เมื่อคิดดังนั้นจึงไปยังประตูพระนครเรียกคนรักษาประตูมากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเปิดประตูถวาย เพื่อให้พระราชธิดาเหล่านั้นเสด็จเข้าภายในพระนคร ซึ่งพระนครนี้ข้าพเจ้าชื่อว่านันทเสน   ผู้เป็นอำมาตย์ดุจราชสีห์ของพระเจ้าอรุณราช  ผู้อันอาจารย์สั่งสอนไว้อย่างดี ได้จัดการรักษาไว้ดีแล้ว.
ครั้นอำมาตย์นันทเสนนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้เปิดประตูรับพระราชธิดาทั้ง ๔ นั้นไปถวายพระเจ้าอัสสกะ กราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย เมื่อมีการรบกัน ข้าพระองค์จักรับอาสาเอง พระองค์โปรดทรงอภิเษกพระราชธิดาผู้ทรงพระรูปโฉมอันเลอเลิศเหล่านี้ให้เป็นพระอัครมเหสีเถิด แล้วให้ประทานอภิเษกแก่พระราชธิดาเหล่านั้น ส่งราชบุรุษผู้มากับพระราชธิดากลับไปพร้อมกับกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงกราบทูลพระราชาของท่านว่า  พระเจ้าอัสสกะราชทรงตั้งพระราชธิดาทั้ง ๔ ไว้ในตำแหน่งอัครมเหสีแล้ว.
ราชบุรุษเหล่านั้นไปกราบทูลให้ทรงทราบ. พระเจ้ากาลิงคราช ทรงดำริว่า พระเจ้าอัสสกะนั้นชะรอยจะไม่ทราบกำลังของเราแน่นอน จึงยกกองทัพใหญ่เสด็จออกไปทันที.
นันทเสนอำมาตย์ทราบการเสด็จของพระเจ้ากาลิงคราช จึงส่งสาส์นไปว่า ขอพระเจ้ากาลิงคราชจงอยู่เฉพาะแต่ในรัฐสีมาของพระองค์ อย่าล่วงล้ำเข้ามารัฐสีมาแห่งพระราชาของข้าพระองค์ การสู้รบจะมีระหว่างแคว้นทั้งสอง.
พระเจ้ากาลิงคราชทรงสดับสาส์นแล้ว ได้ทรงหยุดกองทัพไว้เฉพาะปลายพระราชอาณาเขตของพระองค์ ฝ่ายพระเจ้าอัสสกราชก็ได้ทรงหยุดกองทัพ เฉพาะปลายราชอาณาเขตของพระองค์เหมือนกัน.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษี อยู่ที่บรรณศาลาระหว่างอาณาเขตของพระราชาทั้งสองนั้น.   พระเจ้ากาลิงคราชทรงพระดำริว่า ธรรมดาสมณะทั้งหลายย่อมจะรู้อะไร ๆ ดี ใครจะรู้ว่าใครจะมีชัย ใครจะพ่ายแพ้ เราจะถามพระดาบสดู จึงแปลงพระองค์เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง กระทำปฏิสันถารแล้วถามว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้ากาลิงคะกับพระเจ้าอัสสกะประสงค์จะรบกัน พากันตั้งทัพยันกันอยู่เฉพาะในรัฐสีมาของตน  ในพระราชาทั้งสองพระองค์นั้น ใครจักมีชัยใครจักปราชัย.
พระดาบสโพธิสัตว์กราบทูลว่า ท่านผู้มีบุญมากอาตมภาพไม่ทราบว่า พระองค์ใดจะชนะ พระองค์ใดจะพ่ายแพ้ แต่ท้าวสักกเทวราชเสด็จมาที่นี้ อาตมภาพถามท้าวสักกเทวราชนั้นแล้วจะบอกให้ทราบ. พรุ่งนี้ท่านมาฟังเอาเถิด.
ท้าวสักกะเสด็จมาสู่ที่บำรุงพระโพธิสัตว์แล้วประทับนั่ง.
ทีนั้น พระโพธิสัตว์จึงทูลถามเนื้อความกะท้าวสักกเทวราช ท้าวเธอจึงตรัสทำนายว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญพระเจ้ากาลิงคราชจักมีชัย พระเจ้าอัสสกะจักปราชัย อนึ่ง บุรพนิมิตนี้จักปรากฏ.
ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้ากาลิงคราชเสด็จมาถาม แม้พระโพธิสัตว์ก็ทูลแก่พระเจ้ากาลิงคราชนั้น. พระเจ้ากาลิงคราชไม่ตรัสถามเลยว่า บุรพนิมิตอะไรจะปรากฏ ทรงหลีกลาไปด้วยพระทัยยินดีว่า ท่านว่าเราจะชนะ.
เรื่องนั้นได้แพร่ไปแล้ว พระเจ้าอัสสกะได้ทรงสดับเรื่องนั้นจึงรับสั่งให้เรียกอำมาตย์นันทเสนมา แล้วรับสั่งว่า เขาว่าพระเจ้ากาลิงคราชจักชนะ เราจักพ่ายแพ้ เราควรจะทำอย่างไรกัน.
นันทเสนอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ใครจะทราบข้อนั้นได้ ชัยชนะหรือความปราชัยจะเป็นของใคร ขอพระองค์อย่าทรงคิดไปเลย ครั้นกราบทูลเอาพระทัยพระราชาแล้ว เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ไหว้แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ถามว่า ท่านผู้เจริญ ใครจักชนะ ใครจักแพ้.
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระเจ้ากาลิงคะจะชนะ พระเจ้าอัสสกะจะพ่ายแพ้.
ท่านผู้เจริญ บุรพนิมิตอะไรจะมีแก่ผู้ชนะ บุรพนิมิตอะไรจะมีแก่ผู้พ่ายแพ้.
ท่านผู้มีบุญมาก อารักขเทวดาของผู้ชนะจะเป็นโคผู้ขาวปลอด  อารักขเทวดาของผู้แพ้จะเป็นโคผู้ดำปลอด อารักขเทวดาของทั้งสองฝ่ายรบกันแล้ว จะทำความมีชัยและปราชัยกันให้เกิดขึ้น.
นันทเสนอำมาตย์ได้ฟังดังนั้น จึงลุกขึ้นลาไป พานายทหารประมาณพันคนผู้เป็นสหายของพระราชา ขึ้นไปยังภูเขาในที่ไม่ไกลนัก แล้วถามว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่านสามารถถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราได้หรือไม่.
นายทหารเหล่านั้นกล่าวว่า ได้สิ ท่านอำมาตย์.
นันทเสนอำมาตย์กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกท่านจงกระโดดลงไปในเหวนี้.
นายทหารเหล่านั้นเตรียมจะกระโดดลงเหว.
นันทเสนอำมาตย์จึงห้ามนายทหารเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า อย่ากระโดดลงเหวนี้ พวกท่านเป็นผู้มีกำลังขวัญเข้มแข็ง  จงช่วยกันรบเพื่อถวายชีวิตแก่พระราชาของพวกเราเถิด
ทหารใหญ่เหล่านั้นก็รับคำแล้ว.
ครั้นเมื่อสงครามประชิดกัน พระเจ้ากาลิงคราชทรงวางพระทัยว่า เราจะชนะ แม้หมู่พลนิกายของพระองค์ก็พากันวางใจว่าจะชนะเช่นกัน จึงไม่ตระเตรียมการใดๆ พากันหลีกไปตามความชอบใจ  ในเวลาจะฝึกซ้อมก็ไม่ยอมฝึกซ้อม
ครั้นได้เวลา พระราชาทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าเข้าไปหากันและกันด้วยหมายมั่นว่า จะรบ.
อารักขเทวดาของพระราชาทั้งสองออกไปข้างหน้า อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของพระเจ้าอัสสกะเป็นโคผู้ดำปลอด. โคผู้เหล่านั้นแสดงอาการต่อสู้เข้าไปหากันและกัน  นิมิตนี้ปรากฏเฉพาะแก่พระราชาทั้งสองพระองค์เท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนอื่น.
อำมาตย์นันทเสนทูลถามพระเจ้าอัสสกะว่า ข้าแต่มหาราช อารักขเทวดาปรากฏแก่พระองค์แล้วหรือยัง.
พระเจ้าอัสสกะตรัสว่า ปรากฏแล้ว.
เป็นอย่างไร  พระเจ้าข้า.
อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะปรากฏเป็นโคผู้ขาวปลอด อารักขเทวดาของเราปรากฏเป็นโคผู้ดำปลอด.
ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงเกรงกลัวเลย พวกเราจะชนะ พระเจ้ากาลิงคะจะพ่ายแพ้ พระองค์จงเสด็จลงจากหลังม้า ทรงถือพระแสงหอกนี้ เอาพระหัตถ์ซ้ายแตะด้านท้องม้าสินธพที่ฝึกดีแล้วรีบไปพร้อมกับบุรุษพันคนนี้ เอาหอกประหารอารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะให้ล้มลง ต่อแต่นั้น พวกข้าพระองค์ประมาณหนึ่งพัน จักประหารด้วยหอกพันเล่ม เมื่อทำอย่างนี้ อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะจะยิ้ม จากนั้นพระเจ้ากาลิงคะจะพ่ายแพ้ พวกเราจะชนะ
พระราชาทรงรับว่า ได้ แล้วเสด็จไปเอาหอกแทงตามสัญญาที่นันทเสนอำมาตย์ถวายไว้ พวกอำมาตย์ทั้งหลายก็แทงด้วยหอกพันเล่มติดตามไป.
อารักขเทวดาของพระเจ้ากาลิงคะก็ถึงแก่ความตาย ณ ที่นั้นนั่นเอง. ทันใดนั้น พระเจ้ากาลิงคะตกพระทัยเสียขวัญ เมื่อถึงคราสองทัพประจันหน้า พระองค์ก็ไม่อาจสู้ได้ แม้เหล่าทหารของพระองค์ก็ไม่อาจต้านทานกองทัพของพระเจ้าอัสสกะซึ่งมีกำลังขวัญเต็มเปี่ยม มีความฮึกเหิมเต็มกำลัง รบกันไม่นาน พระองค์ก็ทรงพ่ายแพ้เสด็จหนีไป.
ทหารของพระเจ้าอัสสกะเห็นพระเจ้ากาลิงคะเสด็จหนีไปก็พากันโห่ร้องว่า พระเจ้ากาลิงคราชหนีไปแล้ว.
พระเจ้ากาลิงคะทรงกลัวต่อมรณภัยเสด็จหนีไป ก่อนแต่เสด็จเข้าเมืองก็ไม่ทรงลืมที่จะเสด็จเข้าไปหาพระดาบส ด้วยทรงพิโรธ จึงทรงด่าพระดาบสนั้น ว่า
แน่ะดาบสโกง ท่านได้พูดไว้อย่างนี้ว่า ชัยชนะจะมีแก่พวกพระเจ้ากาลิงคราชผู้           สามารถย่ำยีบุคคลที่ใคร ๆ ย่ำยีไม่ได้   ความปราชัยจักมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ  ชนทั้งหลายผู้ซื่อตรงย่อมไม่พูดเท็จ.
พระเจ้ากาลิงคราช เมื่อด่าพระดาบสจนสาแก่ใจแล้ว ก็เสด็จหนีไปยังพระนครของพระองค์ ไม่อาจที่จะเหลียวมามองดูอีก.
จากนั้นเมื่อล่วงไป ๒-๓ วัน ท้าวสักกะได้เสด็จมายังที่บำรุงของพระดาบส.
พระดาบสจึงทูลถามท้าวเธอว่า
ข้าแต่ท้าวสักกะ เทวดาทั้งหลายยังประพฤติล่วงมุสาวาทอีกหรือ  พระองค์ควรกระทำถ้อยคำให้จริงแท้แน่นอนมิใช่หรือ ข้าแต่ท้าวมัฆวาฬผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระองค์ทรงอาศัยเหตุอะไรหรือ จึงได้ตรัสมุสา.
ท้าวสักกะทรงสดับดังนั้นจึงตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อคนทั้งหลายพูดกันอยู่ ท่านก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือว่า  เทวดาทั้งหลายย่อมกีดกันความพยายามของลูกผู้ชายไม่ได้  ความข่มใจ ความตั้งใจแน่วแน่  ความไม่แตกสามัคคีกัน  ความไม่แก่งแย่งกัน การรุกในกาลควรรุก ความเพียรมั่นคง และความบากบั่นของลูกผู้ชาย มีอยู่ในพวกพระเจ้าอัสสกะ เพราะเหตุนั้นแหละ  ชัยชนะจึงมีแก่พวกพระเจ้าอัสสกะ.
เมื่อพระเจ้ากาลิงคราชเสด็จหนีไปแล้ว พระเจ้าอัสสกราชให้กวาดต้อนเชลยและยุทธภัณฑ์แล้วเสด็จไปยังพระนครของพระองค์.
อำมาตย์นันทเสนส่งสาส์นไปถวายพระเจ้ากาลิงคราชว่า  พระองค์จงส่งส่วนทรัพย์มรดกไปถวายพระราชธิดาทั้ง ๔ พระองค์นี้ถ้าไม่ทรงส่งไป พวกเราจักรู้กิจที่จะต้องทำในข้อนี้.
พระเจ้ากาลิงคราชได้ทรงสดับข่าวสาส์นนั้นแล้ว ทั้งกลัวทั้งสะดุ้งหวาดเสียว จึงส่งพระราชทรัพย์มรดกที่พระราชธิดาเหล่านั้นจะพึงได้ไปประทาน. จำเดิมแต่นั้นมา พระราชาทั้งสอง ก็อยู่อย่างสมัครสมานกัน
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า. พระราชธิดาของพระเจ้ากาลิงคราชในกาลนั้น ได้เป็นภิกษุณีสาวเหล่านี้ ในบัดนี้ อำมาตย์นันทเสนในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรในบัดนี้ ส่วนดาบสในครั้งนั้น ได้เป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบเรื่อง ขุนศึกสะท้านปฐพี

ประเด็นน่าสนใจ
    เทพอำนาจหรือจะสู้ความเพียรของบุรุษ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น หรือ ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน  เหล่านี้ล้วนเป็นสุภาษิตเป็นสำนวนที่บ่งบอกถึงความเพียรพยายามที่ไม่ลดละ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีความเชื่อมั่นว่าทำได้ ที่สุดความสำเร็จย่อมมาถึง
    ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า  นี่ก็เป็นอีกสำนวนที่บ่งบอกถึงความเพียรพยายาม และยอมรับผลของความพยายาม ซึ่งผลออกมาอาจเป็นความสำเร็จหรือเป็นความล้มเหลว อันเนื่องมาจากปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่ถึงอย่างไร ชื่อว่าพยายามแล้ว ตนเองก็ไม่เดือดร้อนใจในภายหลัง และใครๆก็ไม่อาจติเตียนได้  ดังที่พระมหาชนกได้กล่าวเป็นธรรมภาษิตไว้ว่า
บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ชื่อว่า
      ไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติเทวดา และบิดามารดา
      อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อน
      ในภายหลัง

Cr.ขุนพลไร้เงา
พบกันใหม่โอกาสหน้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่