นิทานก่อนนอน เรื่อง ภารกิจพิชิตใจเธอ

นิทานก่อนนอน
เรื่อง ภารกิจพิชิตใจเธอ
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติอยู่ในนครพาราณสี  มีดาบสผู้ทรงอภิญญาและสมาบัติท่านหนึ่ง อาศัยอยู่ป่าหิมพานต์
   เวลานั้นสัตวโลกตนหนึ่งเป็นผู้มีบุญ จุติจากดาวดึงสพิภพเกิดเป็นเด็กหญิงที่กลีบบัวกลีบหนึ่งในสระบัว ณ ที่นั้น เมื่อดอกบัวอื่นเหลืองเหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป ดอกบัวดอกนั้น ยังกลีบพองท้องป่องอยู่ไม่ร่วงโรย. ท่านดาบสได้มายังสระบัวนั้น เพื่ออาบน้ำ เห็นดอกบัวดอกนั้น คิดว่า เมื่อดอกบัวดอกอื่น ร่วงโรยไปแล้ว แต่ดอกนี้ยัง คงกลีบพองท้องป่องอยู่ จะมีเหตุอะไรหนอ จึงผลัดผ้าอาบน้ำลงไปเปิดดูดอกบัวดอกนั้น เห็นเด็กหญิงคนนั้นแล้ว เกิดความรักดังบุตรสาว จึงนำมายังบรรณศาลาเลี้ยงดูไว้. 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ต่อมานางอายุได้ ๑๖ ปี มีรูปร่างสวยงามเลอโฉมเกินผิวพรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงผิวพรรณเทวดา. ครั้งนั้น ท้าวสักกะได้เสด็จมาสู่ที่อุปัฏฐากท่านพระดาบส. ท้าวเธอทอดพระเนตรเห็นนาง จึงตรัสถามว่า หญิงนี้มาจากไหน  ทรงสดับการมาของนาง  จึงตรัสถามว่า นางควรจะได้อะไร
พระดาบสทูลว่า มหาบพิตร ควรจะเนรมิตรปราสาทแก้วผลึกเพื่อเป็นที่อยู่ และการจัดแจงที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดาวัตถาภรณ์ และโภชนะอันเป็นทิพย์ให้แก่นาง. 
ท้าวสักกะทรงสดับคำนั้นแล้วตรัสว่า ดีแล้วพระคุณเจ้า ได้ทรงเนรมิตปราสาทแก้วผลึกให้เป็นที่อยู่ของนาง เสร็จแล้วทรงเนรมิตรที่นอนทิพย์ เครื่องประดับประดาวัตถาภรณ์ และข้าวน้ำอันเป็นทิพย์ให้. 
ปราสาทนั้น เวลานางขึ้น ก็ลดต่ำลงมาสถิตอยู่ที่พื้นดิน แต่เวลานางลงแล้ว ก็เลื่อนขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศ. นางทำวัตรปฏิบัติพระดาบสอยู่ในปราสาท. 
ต่อมาพรานป่าคนหนึ่ง เห็นนางเข้าจึงเรียนถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ หญิงคนนี้เป็นอะไรกับพระคุณเจ้า. ได้ทราบว่าเป็นธิดา จึงไปยังเมืองพาราณสี ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ได้เห็นธิดาของดาบสรูปหนึ่ง มีรูปร่างงดงามในท้องที่ป่าหิมพานต์. 
พระองค์ทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงสนพระทัย  จึงให้พรานป่าเป็นผู้นำทางเสด็จไปยังที่นั้น ด้วยจตุรงคเสนา ทรงตั้งค่ายไว้  จากนั้นมีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม  ทรงให้พรานป่านำทาง เสด็จเข้าไปยังอาศรมบท ทรงไหว้พระดาบส  ประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
ผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าหญิง เป็นมลทินของพรหมจรรย์ โยมจะเลี้ยงดูธิดาของพระคุณเจ้าเอง.


พระดาบสได้ตั้งชื่อให้กุมาริกานั้นว่า อาสังกากุมารี เพราะว่าท่านแคลงใจว่า อะไรหนออยู่ดอกบัวนั้น แล้วจึงลงน้ำไปเอาขึ้นมา.  ท่านไม่ทูลพระราชานั้นตรง ๆ ว่า มหาบพิตรจงรับเอานางนี้ไปแต่ทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์หากทรงทราบชื่อของกุมาริกาคนนี้ จงทรงรับเอาไปเถิด.
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อพระคุณเจ้าบอกโยมก็จักรู้.
พระดาบส ทูลว่า อาตมภาพจะไม่ทูลบอกมหาบพิตร ขอให้มหาบพิตรทรงทราบนามด้วยกำลังพระปัญญาของมหาบพิตรเอง แล้วทรงรับเอาไปเถิด. 
พระราชาทรงรับคำท่านแล้ว จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งหลายจึงทรงใคร่ครวญดูชื่อของนางว่า หญิงนี้ชื่ออะไรหนอ     ทรงกำหนดชื่อไว้หลายชื่อที่รู้กันยาก แล้วตรัสบอกกับดาบสว่า ควรเป็นชื่อนี้
พระดาบสทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ปฏิเสธว่า ไม่ใช่ชื่อนี้. 
เมื่อพระราชาทรงใคร่ครวญดูชื่ออยู่นั่นแหละ กาลเวลาได้ล่วงไป ๑ ปีแล้ว.

ครั้งนั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายมีสิงโตเป็นต้น ตะครุบช้าง ม้า และมนุษย์ทั้งหลายกิน. อันตรายจากสัตว์เลื้อยคลานก็มี. อันตรายจากเหลือบก็มี. คนทั้งหลายลำบากเพราะตายกันไปมาก. 
พระราชาทรงกริ้วคิดว่า เราจะต้องการหญิงนี้ไปทำไม  จึงตรัสบอกพระดาบสแล้วก็เสด็จไป
วันนั้นอาสังกากุมาริกา เปิดหน้าต่างแก้วผลึกได้ยืนแสดงตัวให้เห็น. 
พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้วตรัสว่าเราไม่อาจจะรู้จักชื่อของเธอได้ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิด พวกฉันจักไปละ. 
นางทูลว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์จะเสด็จไปที่ไหนจึงจะได้ผู้หญิงเช่นหม่อมฉัน ขอพระองค์ทรงสดับคำของหม่อมฉัน เถาวัลย์ชื่ออาสาวดี มีอยู่ที่จิตรลดาวัน ในเทวโลกชั้นดาวดึงส์ น้ำทิพย์เกิดขึ้นภายในผลของมัน เทพยดาทั้งหลายดื่มน้ำนั้นครั้งเดียว นอนเมาอยู่บนที่นอนทิพย์ถึง ๔ เดือน แต่เถาอาสาวดีนั้น หนึ่งพันปี จึงจะออกผล พวกเทพบุตรที่เป็นนักเลงสุรา คิดว่า พวกเราจักได้ผลจากเถาอาสาวดีนี้จึงยับยั้งความกระหายในการดื่มน้ำทิพย์ไว้ พากันไปดูเถานั้นเนือง ๆ ว่า
ยังปลอดภัยอยู่หรือ  ตลอดพันปี. ส่วนพระองค์ปีเดียวเท่านั้นเอง ก็ท้อพระราชหฤทัยเสียแล้ว ธรรมดาความหวังที่มีผล คือความสมหวังเป็นเหตุให้เกิดความสุข ขอพระองค์อย่าทรงท้อพระราชหฤทัยเลย 
พระราชาทรงหวั่นไหวพระทัยในถ้อยคำของนาง จึงทรงประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย ทรงแสวงหาชื่อของนางโดยทรงตั้งชื่อ ๑๐ ชื่อ ได้ประทับอยู่อีกหนึ่งปี. ในชื่อทั้ง ๑๐ นั้นไม่มีชื่อของนาง เมื่อพระราชดำรัสว่า ชื่อนี้ พระดาบสก็ปฏิเสธอีก. พระราชาจึงทรงม้าเสด็จออกไปอีก ด้วยทรงดำริว่า เราจะต้องการหญิงคนนี้ไปทำไม
ส่วนนางก็ยืนที่หน้าต่างแสดงตัวให้เห็นอีก. 

พระราชาทรงเห็นนางแล้วได้ตรัสว่า พวกเราไม่สามารถรู้จักชื่อเธอ เธอจงอยู่ที่ป่าหิมพานต์ไปเถิด พวกฉันจักกลับละ.
ข้าแต่มหาราช เหตุไหนพระองค์จึงจะเสด็จไปเสีย 
ฉันไม่สามารถจะรู้จักชื่อของเธอ.
นางทูลว่า ข้าแต่มหาราช เหตุไฉน  พระองค์ไม่ทรงรู้จักชื่อ ธรรมดาความหวังที่จะไม่ให้สำเร็จตามประสงค์ไม่มี ขอพระองค์ จงทรงสดับคำของหม่อมฉันก่อน ได้ทราบว่านกยางตัวหนึ่งเกาะอยู่บนยอดเขา แต่ก็ได้รับสิ่งที่ตนปรารถนา เหตุไฉนพระองค์จักไม่ได้รับ ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงทรงยับยั้งอยู่เถิดพระเจ้าข้า. 
เล่าต่อกันมาว่า นกยางตัวหนึ่งบินไปคาบเอาเหยื่อที่สระบัวแห่งหนึ่ง แล้วกลับมาซ่อนอยู่บนยอดเขา มันอยู่ที่นั้น ตลอดวันนั้น รุ่งขึ้นคิดว่า เราได้เกาะอยู่อย่างสบายบนยอดเขาสูงนี้ ถ้าหากเราจะไม่เคลื่อนย้ายไปจากที่ตรงนี้ เจ่าอยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น คาบเอาเหยื่อดื่มน้ำแล้วอยู่ตลอดวันนี้ คงจะดีหนอ. 
ในวันนั้นนั่นเอง ท้าวสักกเทวราชทรงทำการย่ำยีพวกอสูร ได้ความเป็นใหญ่ในเทวโลก ในดาวดึงส์พิภพแล้วทรงดำริว่า ก่อนอื่นมโนรถของเราได้ถึงที่สุดแล้วมีอยู่หรือไม่ ใครอื่นที่มีมโนรถยังไม่ถึงที่สุด. ท้าวเธอทรงใคร่ครวญอยู่ก็ทรงเห็นนกยางตัวนั้น จึงทรงดำริว่า เราจักให้มโนรถของมันถึงที่สุด แล้วได้ทรงบันดาลให้แม่น้ำสายหนึ่ง ที่อยู่ไกลจากที่ที่นกยางนั้นเกาะอยู่ เต็มไปด้วยห้วงน้ำแล้วส่งน้ำไปทางยอดเขา. นกยางเกาะอยู่ยอดเขานั้น จิกกินปลาดื่มน้ำแล้วอยู่ ณ ที่นั้นนั่นเอง ตลอดวันนั้นภายหลังแม้น้ำก็เหือดหายไป. 
ข้าแต่มหาราช นกยางยังได้รับผล เพราะความหวังของตนอย่างนี้ก่อน  เหตุไร พระองค์จักไม่ทรงได้รับเล่า
ครั้งนั้น พระราชาได้ทรงสดับคำของนางแล้ว ทรงติดพระทัยในรูป ทรงข้องพระทัยอยู่ในถ้อยคำของนาง ไม่อาจจะเสด็จไปได้ ทรงประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย ตั้งชื่อ ๑๐๐ ชื่อ. เมื่อพระองค์ทรงแสวงหาชื่อ๑๐๐ ชื่ออยู่ ก็ล่วงไปอีกปีหนึ่ง.  ท้าวเธอเข้าไปหาพระดาบส ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ นางจักมีชื่อนี้ จักมีชื่อนี้. 
พระดาบสทูลว่าขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์ไม่ทรงรู้จักชื่อของนาง. 
ท้าวเธอตรัสว่า บัดนี้พวกกระผมจักลาไปละ. ทรงไหว้พระโพธิสัตว์แล้วเสด็จออกไป. 
อาสังกากุมาริกา ก็ได้ยืนพิงประตูหน้าต่างแก้วผลึก อีกเช่นเคย. 
พระราชาทอดพระเนตรเห็นนางแล้ว ตรัสว่า เธอจงอยู่ไปเถิดพวกเราจักไปล่ะ. 
นางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช เหตุไร พระองค์จึงจักเสด็จไปเสียเล่า. 
พระราชาตรัสว่า    เธอให้ฉันเอิบอิ่มด้วยวาจา แต่หาให้ เอิบอิ่มด้วยสิ่งที่ควรทำไม่ เหมือนดอกหงอนไก่มีสีสวยแต่ไม่มีกลิ่น ผู้ใดไม่ให้ปันไม่เสียสละ โภคะ พูดแต่คำอ่อนหวานที่ไร้ผล ในมิตรทั้งหลาย ความสัมพันธ์กับมิตรนั้น ของผู้นั้นจะจืดจางไป. เพราะว่าคนควรพูดแต่สิ่งที่จะ ต้องทำ ไม่ควรพูดถึงสิ่งที่ไม่ต้องทำ บัณฑิตทั้งหลายรู้จักคนไม่ทำ ดีแต่พูด. ก็แลกำลังพลของเราร่อยหรอแล้ว และเสบียงก็ไม่มี  เราสงสัยว่าอาจต้องสิ้นชีวิตในที่นี้ เอาเถิด เราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ.
อาสังกากุมาริกา ได้ฟังพระราชดำรัสแล้ว ทูลปราศรัยกับพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรงทราบชื่อของหม่อมฉันเถิด ชื่อของหม่อมฉัน พระองค์ตรัสอยู่แล้วนั่นเอง ขอพระองค์จงทรงบอกชื่อนี้แก่บิดาของหม่อมฉัน แล้วรับหม่อมฉันไปเถิด 
พระราชา ครั้นทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงได้เสด็จเข้าไปหาท่านดาบสทรงไหว้แล้ว ตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ธิดาของพระคุณเจ้า ชื่อว่า อาสังกา. 
พระดาบส ครั้นได้ฟังคำนั้นแล้วจึงทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร เมื่อมหาบพิตร ทรงรู้จักชื่อแล้ว ขอมหาบพิตรจงทรงรับนางไปเถิด. 
พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว ทรงไหว้พระมหาสัตว์เสด็จมายังวิมานแก้วผลึก ตรัสว่า น้อง
นางเอ๋ย วันนี้บิดาได้ให้น้องแก่พี่แล้ว มาเถิด เราจักไปกันเดี๋ยวนี้.
นางได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่มหาราชจงทรงรอก่อน หม่อมฉันขอบอกบิดาก่อน แล้วลงจากปราสาท ไหว้พระดาบส ร่ำไห้ขอขมาโทษแล้วได้ไปยังราชสำนัก. 
พระราชาทรงพานางเสด็จไปนครพาราณสีประทับอยู่ครองกันด้วยความรัก ทรงจำเริญด้วยพระราชโอรสและพระราชธิดา. 
พระดาบสไม่เสื่อมจากฌาน ครั้นมรณภาพแล้วเกิดในพรหมโลก.
จบเรื่อง ภารกิจพิชิตใจเธอ
พบกันใหม่โอกาสหน้า
ราตรีสวัสดิ์พระรัตนตรัย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่